ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 950 กดให้ขาดอากาศตาย
ตอนที่ 950 กดให้ขาดอากาศตาย
ลู่เจียวคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกคับแค้นใจ หลายปีมานี้นางมีชีวิตที่อิสรเสรี สุดท้ายถึงกับต้องมาถวายคำนับ ช่างโชคร้ายเสียจริง
แต่มาคิดดูสถานะตอนนี้ ก็ตื่นนอนดีกว่า
ฮองเฮาพระองค์นี้ไม่ธรรมดา เป็นบุตรีมหาเสนาบดี มหาเสนาบดีกุมอำนาจราชสำนักมาหลายปี ดันบุตรีขึ้นสู่ตำแหน่ง ให้ฝ่าบาทพระราชทานแต่งตั้งเสนาบดีเป็นจิ้งผิงโหว
ตระกูลเฉาเองก็ก้าวขึ้นเป็นตระกูลทรงอิทธิพลกุมอำนาจ ขุนนางแคว้นเหยาล้วนมีชะตากรรมอยู่ในกำมือเขา
อาจกล่าวได้ว่าแผ่นดินตระกูลจีครึ่งหนึ่งตกอยู่ในมือคนตระกูลเฉาและเสนาบดีเฉาก็จัดการทุกอย่างได้ดีมาก ได้ใจคนทุกคน แม้เขาจะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่านี้ ก็ย่อมได้ ตระกูลทรงอิทธิพลอื่นในแคว้นเหยาต่างอยู่ร่วมกันได้สมานฉันท์ยิ่ง ทุกคนในแคว้นเหยาล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาหมดสิ้น
แม้จีชางคิดต่อต้าน แต่ก็ไร้กำลัง
เพราะอิทธิพลตระกูลเฉา ทำให้สถานะฮองเฮาในวังมั่นคงอย่างที่สุด และคนปกติย่อมไม่กล้าล่วงเกิน ฮองเฮาพระองค์นี้
ลู่เจียวพลิกอ่านในห้วงความคิดรอบหนึ่งเสร็จแล้ว ก็ลุกขึ้นอาบน้ำไปถวายคำนับฮองเฮา
ก่อนนางไปยังถามถึงองค์ชายเจ็ด รู้ว่าตอนนี้จีซิวหายดีแล้ว นางก็โล่งอก
ฮองเฮาประทับตำหนักเฟิ่งหยางกง ห่างจากตำหนักหย่งฝูกงไม่ไกลนัก แต่ก็ไม่ใกล้มาก
ลู่เจียวไม่มีเกี้ยวนั่ง นำคนเดินไป พอนางไปถึงตำหนักเฟิ่งหยางกงหน้าประตูตำหนักเฟิ่งหยางกง ก็หมดแรง เริ่มก้าวไม่ไป สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ คล้ายต้องลมก็ล้มลง พระสนมอื่นที่มาจากตำหนักอื่นเห็นท่าทางนางก็อดเห็นใจไม่ได้
ตอนนี้ท่านนี้น่าอนาถเช่นนี้เลยหรือนี่
สวรรค์ ช่างน่าสงสารจริง
น่าสงสารจริงๆ
นี่ก็คือเป้าหมายของลู่เจียว นางทำให้ตนเองดูอนาถก็จะได้ไม่ต้องเข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดีในวังหลังนี้ ตอนนี้จีซิวยังเล็ก ยังไม่อาจต่อสู้กับบรรดาพระเชษฐาได้ ดังนั้นวันนี้นางมาก็เพราะคิดว่าวันหน้าจะหลบอยู่แต่ในตำหนักหย่งฝูกง
ดังคาด พอลู่เจียวก้าวเข้าไป ฮองเฮากับบรรดาพระสนมต่างเห็นท่าทางนางแล้วก็มิได้คิดหัวเราะเยาะ นาง ถึงกับคาดเดาว่าที่ฮ่องเต้เลื่อนตำแหน่งให้ไป๋กุ้ยเหริน น่าจะเพราะนางใกล้จะไม่ไหวแล้ว จึงได้เลื่อนตำแหน่งให้นางกระมัง
แต่ฮองเฮายังคงคิดระแวง
หญิงผู้นี้คงไม่เสแสร้งกระมัง
“พระสนมไป๋ผินสีหน้าไม่ค่อยดี สุขภาพไม่ดีหรือ”
ฮองเฮากล่าวจบก็ไม่รอให้ลู่เจียวเอ่ย แต่สั่งการขันทีไปตามหมอหลวงมาทันที
หมอหลวงมาตรวจแล้วก็ซุบซิบกับฮองเฮาสองสามคำ คนในตำหนักไม่ได้ยินกระจ่าง แต่เห็นสีหน้าสงสารของฮองเฮาแล้วก็รู้ว่าสุขภาพพระสนมไป๋ผินน่าจะไม่ได้การแล้วจริงๆ ดังนั้นทุกคนจึงไม่คิดสนใจนางอีก
ลู่เจียวเบาใจลงได้แล้ว นั่งเงียบๆ ดูความครึกครื้นต่อ หากมีคนมองนาง นางก็จะพยายามแสร้งทำหอบหนัก ใกล้หายใจไม่ทันแล้ว
ฮองเฮาทนดูไม่ไหว เอ่ยขึ้นว่า “พระสนมไป๋ผิน สุขภาพเจ้าไม่ดี วันหน้าทุกวันที่ห้าหรือสิบก็ค่อยมาถวายคำนับ วันอื่นๆ ก็อยู่แต่ในตำหนักเจ้าดูแลสุขภาพไปให้ดี”
ลู่เจียวรีบลุกขึ้นกล่าวว่า “ขอบพระทัยฮองเฮา หม่อมฉันขอบพระทัยฮองเฮา”
ขอบพระทัยเสร็จ ฮองเฮาก็บอกให้ทุกคนถอยออกไป
เดิมวันนี้คนไม่น้อยวางแผนจะจัดการพระสนมไป๋ผิน คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายถึงกับไม่ได้ทำอันใด
ลู่เจียวกลับตำหนักหย่งฝูกง เห็นฮ่องเต้จีชางเสด็จมา
นางถวายบังคมจีชาง “ถวายบังคมฝ่าบาท”
จีชางเห็นนางเข่าอ่อนหมดแรงยืนไม่มั่นก็รีบตรัสว่า “เอาละ เจ้านั่งลงเถอะ”
ลู่เจียวขอบพระทัยแล้วก็เดินไปนั่ง จากนั้นก็เริ่มหอบหนัก ท่าทางเช่นนี้คล้ายปลากำลังจมน้ำ จีชางเห็นท่าทางนางเช่นนี้ก็เห็นใจ พร้อมกับรู้สึกใจสงสารลู่เจียวขึ้นมา
เขาสุขภาพไม่ดี มักจะต้องเผชิญกับบรรดาขุนนางในราชสำนักบีบคั้น หลายครั้งก็เหมือนหอบหายใจไม่ทัน ใกล้จะหมดลม
ความรู้สึกเช่นนั้นช่างยากทนรับไหวเสียจริง
จีชางเอ่ยว่า “เจ้าพักอยู่ที่นี่ สบายดีหรือไม่”
ลู่เจียวพยักหน้า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย หม่อมฉันดีขึ้นมากแล้วเพคะ”
จีชางถอนหายใจ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ตอนนี้เจ้าอ่อนโยนขึ้นมาก หากเมื่อก่อนไม่ทำกับเราเช่นนั้น เราจะลงโทษเจ้าหรือ”
ลู่เจียวเบะปาก คิดอยากหัวเราะเยาะใส่เขา
ในวังเจ้าเป็นฝ่าบาทยังตัดสินใจอันใดไม่ได้ เจ้าบอกไม่ลงโทษก็ไม่ลงโทษหรือ
แต่นางไม่ได้เอ่ยอันใด แต่กลับแสดงท่าทางบอกให้คนรินน้ำชามา
เช้าวันนี้นางแสดงละครอยู่ที่ตำหนักฮองเฮามา ทำให้ฮองเฮากับบรรดาพระสนมไม่สนใจนางแล้ว แต่ต่อหน้าจีชาง ยังคงต้องเปลี่ยนกลวิธี
นางต้องทำให้จีชางรู้สึกว่านางไม่เหมือนผู้ใด เช่นนี้เขาก็จะมาหานางอยู่เสมอ ขอเพียงจีชางมาที่นี่บ้าง แม้ไม่ได้ค้างคืน แต่คนในวังย่อมไม่กล้าหาเรื่องพวกนางแม่ลูก
ลู่เจียวครุ่นคิด รอชิงเหลียนยกน้ำชามา นางก็รับมาด้วยตนเอง และยังอาศัยจังหวะที่ชิงเหลียนไม่ทันสังเกต หยดน้ำพุจิตวิญญาณลงไปในแก้วน้ำชา
นางจะไม่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตผู้ใด แต่ให้จีชางได้ดื่มน้ำพุจิตวิญญาณบ้าง ให้เขารู้สึกว่ามาหานางแล้วสุขภาพจะดี ไม่แน่ว่าเขาอาจคิดว่านางเป็นดาวมงคลวาสนาของเขาก็เป็นได้
เดิมจีชางไม่คิดดื่ม แต่เห็นลู่เจียวประคองมาให้ด้วยตนเอง ก็รับไปจิบคำหนึ่ง พอจิบไปแล้วก็รู้สึกว่าชานี้คล้ายว่ามีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดื่มไปอีกสองคำ ไม่รู้ว่าเหตุใดดื่มแล้วจึงได้รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
จีชางดื่มชาหมดก็ลุกขึ้นเอ่ยว่า “เจ้าพักผ่อนให้ดี หากมีอันใดต้องการ ก็ให้คนไปรายงานเรา”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ส่งจีชางไปแล้ว ลู่เจียวกลับห้องไปนอน จนกระทั่งมีแสงหนึ่งสาดมาทางนาง ลู่เจียวแม้หลับฝัน แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าราวกับศีรษะจะระเบิดออก นางตกใจลืมตาขึ้นทันที เห็นเหนือสายตามีหมอนใบหนึ่งกำลังจะกดใบหน้านาง
นางยกมือปัดหมอนนั้นออก จากนั้นก็เห็นจีซิวยืนอยู่ข้างเตียง กำลังจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
ลู่เจียวถอนหายใจมองเขา เอ่ยขึ้นว่า “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าไม่ใช่เสด็จแม่เจ้า ข้าเป็นเทพธิดาจากสวรรค์มาปกป้องเจ้า เหตุใดเจ้าจะเอาหมอนมากดข้าให้ตายกัน เจ้าทำข้าไม่ตายหรอก”
นางกล่าวจบก็เอ่ยเตือนจีชาง “เจ้าลืมแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เจ้าวางยาพิษข้า หากข้าเป็นเสด็จแม่เจ้า ข้าคงถูกเจ้าวางยาพิษตายไปแล้ว แต่ข้าไม่ใช่ ข้าไม่ตาย เจ้าดู ตอนนี้เจ้าคิดเอาหมอนกดข้าให้ตาย ข้าก็รู้สึกตัวทันที ใช่หรือไม่”
จีซิวยังอายุน้อยเกินไป ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดลู่เจียว ยามนี้เอาแต่จ้องมองลู่เจียว
ลู่เจียวมองเขาพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยนขึ้นว่า “มา เจ้าดูให้ดี ข้าเหมือนเสด็จแม่เจ้าหรือไม่”
ลู่เจียวส่องกระจกแล้วพบว่าตอนนี้ใบหน้านางคล้ายกับใบหน้านางเอง แต่เจ้าของร่างเดิมมักจะเอาแต่ทำหน้าตึงปั้นปึ่ง คล้ายว่าผู้อื่นติดค้างนางมากมาย กอปรกับนางอยู่ตำหนักอวิ๋นหวายังถูกคนทรมาน ใบหน้าจึงมีแต่ความเคร่งเครียดกดดัน อายุดูแล้วก็มากกว่าเดิม
แต่ลู่เจียวสีหน้านิ่งสงบ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้แลดูคล้ายว่าเปลี่ยนไปมาก ไม่มีความอ่อนแอเปราะบางดังเดิมอีกแล้ว แต่เหมือนบุปผาที่ผ่านการต้องน้ำฝนมา ทำให้คนรู้สึกอยากทะนุถนอม
จีซิวได้ฟังคำพูดนาง จ้องมองนางเป็นนานไม่เอ่ยอันใด ก่อนจะหันหลังจากไป