ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 957 เกียรติอันใด
ตอนที่ 957 เกียรติอันใด
อู่เป่าน้อยพอได้ฟังก็ฟังออกว่าพี่ใหญ่หมายความเช่นไร แต่กลับไม่เห็นด้วย ส่งเสียงดังขึ้นว่า “พี่ใหญ่อย่าคิดเหลวไหล สิ่งที่พี่ใหญ่ทำตอนนี้ได้สร้างผลงานไว้ไม่น้อยแล้ว นับประสาอันใดกับแคว้นต้าโจวไม่อาจขาดพี่ใหญ่ได้”
ในฐานะเจ้ากรมศาลอาญาต้าหลี่ เซี่ยเหวินเหยาตัดสินคดีความเก่งกาจ คดียากตัดสินล้วนส่งมาเมืองหลวงให้เขาดำเนินการ
เขาเป็นใต้เท้าผู้ทรงธรรมในใจราษฎรแคว้นต้าโจว ทุกคนเรียกเขาว่า เซี่ยชิงเทียน[1]
เขาลาออกไปเช่นนี้ไม่ได้ มีเขาอยู่ ราษฎรก็ดั่งมีชิงเทียนสดใสผืนหนึ่งอยู่เหนือศีรษะ
พี่น้องถกเถียงกันไม่หยุด
เซี่ยหลิงหลงเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ให้พี่สามกับพี่ห้าไปตามหาท่านพ่อกับท่านแม่ พี่ใหญ่เป็นบุตรชายคนโตตระกูลเซี่ย ต้องรับหน้าที่ดูแลตระกูลเซี่ย พี่ใหญ่ไปแล้วผู้ใดจะดูแลตระกูลเซี่ย”
เซี่ยหลิงหลงพูดไปก็ตาแดงไป “หากท่านพ่อกับท่านแม่ยังอยู่ ย่อมไม่มีทางเห็นด้วยที่พี่ใหญ่จะลาออก”
ได้ยินคำว่าท่านพ่อกับท่านแม่ ทุกคนในห้องโถงต่างพากันปวดร้าวใจขึ้นมา ขอบตาแต่ละคนค่อยๆ แดงก่ำ เงียบกริบไปทั้งห้องโถง คิดถึงว่าตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาก็รู้สึกปวดร้าวในใจ
โดยเฉพาะเซี่ยอู่เป่ากับเซี่ยหลิงหลงที่ตื่นตระหนกกว่าทุกคน เพราะพวกเขากับท่านแม่มีความลับหนึ่ง พวกเขาเข้าไปในห้วงอากาศท่านแม่ได้ แต่หนึ่งปีมานี้ พวกเขาทดลองเข้าไปหลายครั้งก็เข้าไปไม่ได้
อู่เป่ากับเซี่ยหลิงหลงสงสัยว่าท่านพ่อกับท่านแม่เกิดเรื่องแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจเข้าไปในห้วงอากาศได้
แต่พวกเขาไม่กล้าพูด กลัวบรรดาพี่ชายตั้งสติควบคุมอารมณ์กันไม่ได้
ในห้องโถง เซี่ยเหวินเหยาได้ฟังเซี่ยหลิงหลงก็คิดถึงนิสัยท่านพ่อกับท่านแม่ รู้ว่าหากพวกท่านยังอยู่ จะไม่มีทางยอมให้พวกเขาลาออกไปตามหาพวกท่านเป็นแน่ แต่หากไม่ออกตามหา ให้เอาแต่นั่งรอข่าวเช่นนี้ พวกเขาเองก็ร้อนใจ
เซี่ยเหวินเหยาคิดไปมา สุดท้ายก็เห็นด้วยที่จะให้ซานเป่ากับอู่เป่าลาออก นำคนแยกออกเป็นสองเส้นทางไปตามหาท่านพ่อกับท่านแม่
“เช่นนั้นก็ให้ซานเป่ากับอู่เป่าลาออก แยกเป็นสองเส้นทางออกตามหาท่านพ่อกับท่านแม่”
ซานเป่ากับอู่เป่าลุกขึ้น รับคำน้ำเสียงนิ่งขรึม “ตกลง”
ความจริงก่อนหน้านี้เอ้อร์เป่าได้ยินว่าท่านพ่อกับท่านแม่หายตัวไป เขาก็พาภรรยาและบุตรกลับเมืองหลวง เขาคิดเข้าวังไปเข้าเฝ้าเพื่อขอลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพ จะได้นำคนไปตามหาท่านพ่อกับท่านแม่ แต่ถูกเซี่ยเหวินเหยาตำหนิยกใหญ่ ไล่ให้กลับด่านหลงไห่ไป
แม้ว่าเอ้อร์เป่าไปแล้ว แต่จ้าวอวี้หลัวกับบุตรชายหญิงทั้งสาม ยังรอข่าวอยู่เมืองหลวง
เซี่ยเหวินเหยากวาดตามองทุกคนในห้องโถงทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าทุกคนไม่มีความเห็นอันใดแล้วใช่หรือไม่”
วาจานี้ถามซือหว่านอิ๋งภรรยาซานเป่ากับหลู่หนิงภรรยาอู่เป่า
หากพวกนางสองคนไม่เห็นด้วยที่สามีตนจะลาออกจากราชการ เขาก็ไม่บังคับฝืนใจ อย่างไรตอนนี้น้องชายทั้งสองก็ไม่ใช่ตัวคนเดียว แต่มีภรรยาและบุตรแล้ว จะต้องคิดถึงความรู้สึกของคนในครอบครัวด้วย
แต่ซือหว่านอิ๋งกับหลู่หนิงต่างไม่คัดค้าน พยักหน้าตอบรับทันทีว่า “ได้ ให้พวกเขาทั้งสองคนลาออกไปตามหาท่านพ่อกับท่านแม่ พวกเรารอพวกเขาอยู่ที่นี่”
“ได้ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
ต้าเป่าลุกขึ้นพาสองพี่น้องเดินออกไปเพื่อเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท
ในวัง เซียวเหวินอวี๋กำลังฟังรายงานจากองครักษ์ลับที่เขาส่งออกไป ก็เอ่ยถามว่า “หาใต้เท้าเซี่ยกับฮูหยินโจวกั๋วไม่พบหรือ”
กล่าวจบเซียวเหวินอวี๋ก็ขอบตาแดง เขากำลังเป็นห่วงว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเกิดเหตุขึ้นแล้ว
องครักษ์ลับหันไปมองเซียวเหวินอวี๋ทีหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงหนักแน่นว่า “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมตามหาร่องรอยใต้เท้าเซี่ยกับฮูหยินโจวกั๋วไม่พบ”
เซียวเหวินอวี๋ยกมือนวดหว่างคิ้ว มักรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดมาก ตามหลักแล้ว ท่านแม่พาท่านพ่อไปหาสมุนไพร น่าจะมีร่องรอยบ้าง แต่เหตุใดกลับหาร่องรอยไม่พบแม้แต่น้อย แท้จริงเกิดปัญหาอันใดกัน ควรรู้ว่าหนึ่งปีมานี้ เขาส่งคนออกไปสืบหาข่าวไม่น้อย เหตุใดจึงสืบข่าวอันใดไม่ได้แม้แต่น้อย
เซียวเหวินอวี๋คิดไม่เข้าใจจริงๆ นอกพระที่นั่ง โจวโย่วจิ่นเดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท รัชทายาทขอเข้าเฝ้า”
เซียวเหวินอวี๋ขมวดคิ้ว ให้โจวโย่วจิ่นนำรัชทายาทเซียวจิ่งเข้ามา
หนึ่งปีมานี้ เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นช่วยรัชทายาทจนบาดเจ็บสาหัส เซียวเหวินอวี๋จึงไม่ค่อยได้เรียกพบรัชทายาท
เขารู้ว่าตนเองระบายโทสะใส่รัชทายาทเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่เขาไม่อาจระงับใจตนเองได้ เทียบกับเมื่อก่อนที่เขารักรัชทายาทมาก ตอนนี้เขากลับไม่ใส่ใจรัชทายาท ไม่ได้ทุ่มเทให้ความรักดังเช่นเมื่อก่อน โดยเฉพาะยามนี้ที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับบางเรื่อง ทำให้เขาไม่พอใจ รัชทายาทในฐานะโอรสฮองเฮา ถึงกับคิดหาทางให้เขาคืนดีกับฮองเฮา
ในฐานะบุตร สิ่งที่เขาทำนั้นไม่ผิด แต่เขาไม่พอใจ
แต่แม้ว่าไม่พอใจแต่ก็มิได้ไม่ให้เข้าเฝ้า
โจวโย่วจิ่นออกไปเชิญรัชทายาทเข้ามา รัชทายาทสิบชันษา เริ่มมีบารมีน่าเกรงขามแล้ว เขาก้าวเท้าเข้ามาในพระที่นั่ง
“หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จพ่อ”
เซียวเหวินอวี๋บอกให้เขาลุกขึ้น “มาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อดึกเพียงนี้ มีเรื่องอันใด”
เซียวจิ่งเงียบงันครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เสด็จพ่อ หม่อมฉันคิดอยากทูลถามเสด็จพ่อว่า ได้ข่าวท่านปู่กับท่านย่าบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
แววตาเซียวเหวินอวี๋พลันเผยให้เห็นความปวดร้าวขึ้นมา “ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวคราวใด”
“เสด็จพ่อไม่ต้องทรงเป็นกังวลมากจนเกินไป หม่อมฉันเชื่อว่าท่านปู่กับท่านย่าจะไม่เป็นอันใด”
เซียวเหวินอวี๋มองรัชทายาททีหนึ่ง โบกมือกล่าวว่า “เจ้ากลับไปเถอะ หากมีข่าวท่านปู่ท่านย่าเจ้า เสด็จพ่อจะให้คนไปบอกเจ้าทันที”
รัชทายาทพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างห่วงใยว่า “เสด็จพ่อยังไม่เสวยพระกระยาหารค่ำ พวกเราไปตำหนักเฉาหยางกงรับอาหารค่ำกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเหวินอวี๋มองไปยังรัชทายาท ทำตัวเป็นตัวแทนมารดามาดึงเขาไปหรือ
แววตาเซียวเหวินอวี๋เคร่งขรึม เอ่ยเย็นเยียบว่า “รัชทายาท ในฐานะรัชทายาท เจ้าควรเรียนรู้สิ่งที่รัชทายาทควรเรียนรู้ อย่าได้วันๆ เอาแต่จับจ้องเรื่องในวังหลัง เรากับเสด็จแม่เจ้าเป็นเรื่องของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรเป็นกังวล”
กล่าวจบก็ไม่พูดอันใดต่อ โบกมือกล่าวว่า “เอาล่ะ กลับไปได้แล้ว”
รัชทายาทเห็นว่าเซียวเหวินอวี๋โมโหแล้วก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดต่อ ได้แต่ขอบพระทัยในพระเมตตาก่อนจะออกไป
พอเขาถอยออกไปก็หยุดกลับมามองตำหนักด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจหนักหน่วง
เขารู้ว่าเสด็จพ่อโมโหเสด็จแม่เพราะท่านปู่ช่วยเขาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาไม่ควรคิดให้เสด็จพ่อคืนดีกับเสด็จแม่ในตอนที่ยังไม่รู้ว่าท่านปู่กับท่านย่าเป็นเช่นไร เสด็จพ่อไม่มีทางมีอารมณ์ห่วงใยเสด็จแม่
แต่ในฐานะบุตร ทุกวันได้เห็นเสด็จแม่เอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด จะให้เขาทำอย่างไรได้
โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาเชิญท่านยายเข้าวังมาปลอบใจเสด็จแม่ หวังว่าเสด็จแม่จะรั้งพระทัยเสด็จพ่อกลับคืนมาได้
ในตำหนักเฉาหยางกง ฮูหยินขุนพลหวังกำลังพูดคุยกับฮองเฮาหวังเมิ่งเหยา
“หากไม่ใช่รัชทายาทบอกท่านแม่ ท่านแม่ยังไม่รู้ว่าเจ้ามีเรื่องกับฝ่าบาทเช่นนี้ ในฐานะฮองเฮา ฝ่าบาทดีต่อเจ้ามากแล้ว เจ้าจะเอาเรื่องอันใดกับพระองค์”
ฮูหยินหวางมองบุตรสาวตนเองด้วยสีหน้าไร้วาจาจะกล่าว หลายปีมานี้นางอายุมากแล้ว กอปรกับต้องจัดการเรื่องราวในจวนหวังทั้งหมด ไม่ค่อยมีเวลามาสนใจเรื่องฮองเฮา
คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวตนถึงกับมีเรื่องกับฝ่าบาทจนเป็นเช่นนี้ไปได้
ฮูหยินหวางปวดหัวไม่น้อย
ฮองเฮาได้ฟังฮูหยินหวางก็โมโหกล่าวว่า “ข้าไปมีเรื่องกับพระองค์เมื่อใดกัน พระองค์ต่างหากที่ทรงมีเรื่องกับข้า เพราะจิ่งเอ๋อร์ถูกจับไป ข้าเศร้าเสียใจมากเกินไป จึงระบายโทสะใส่คนตระกูลเซี่ย เขาก็คับแค้นใจ ข้าคิดไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้าทำผิดอันใดกันแน่ สถานการณ์เช่นนั้น ข้าจะไม่ระบายโทสะได้หรือ หากไม่ใช่พวกเขาพาจิ่งเอ๋อร์ออกไป จิ่งเอ๋อร์ก็คงไม่ถูกคนจับตัวไป”
ฮูหยินหวางได้ฟัง ก็มองบุตรสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สมองเจ้าจมน้ำหรือ รัชทายาทถูกจับ หรือว่าใต้เท้าเซี่ยกับฮูหยินโจวกั๋วจงใจกัน แม้พวกเขาไม่ใช่ท่านปู่ท่านย่าแท้จริงของรัชทายาท แต่ก็ไม่ได้แตกต่าง พวกเขาก็รักรัชทายาทไม่ได้น้อยไปกว่าเจ้า เจ้าระบายโทสะใส่พวกเขาได้อย่างไร”
ฮูหยินหวางยิ่งพูดก็ยิ่งไร้วาจาจะกล่าว “พวกเขาช่วยอบรมรัชทายาทให้เจ้า เจ้าไม่ขอบคุณ แต่กลับตำหนิ ฝ่าบาทจะไม่กริ้วได้อย่างไร พวกเขาเลี้ยงดูฝ่าบาทมาจนเติบใหญ่ ใต้เท้าเซี่ยกับฮูหยินโจวกั๋วไม่ได้คิดอบรมรัชทายาทให้พวกเจ้า แต่เพราะฝ่าบาทขอ ดังนั้นพวกเขาไม่อยากทำให้ฝ่าบาทเสียน้ำพระทัย จึงได้ยอมอบรมรัชทายาทให้ พอรัชทายาทเกิดเรื่อง เจ้าก็ตำหนิพวกเขา มีเหตุผลหรือ เจ้าอยากให้พวกเขาอบรมบุตรให้ แต่พอเกิดเรื่องก็ไปตำหนิพวกเขา สมองเจ้าคิดอย่างไรกัน”
ฮูหยินหวางมองบุตรสาวอย่างผิดหวัง “เห็นอยู่ว่าเจ้ากำลังไปได้ดี แต่เจ้าถึงกับทำจนเป็นเช่นนี้ไปได้ รัชทายาทถูกจับตัวไป หากเจ้าคิดคำนึงถึงตระกูลเซี่ยให้มาก คิดว่าฝ่าบาทจะยอมรับน้ำใจเจ้า ปรากฏเจ้ากลับดีเลย ตำหนิตระกูลเซี่ย ตำหนิฝ่าบาท เจ้าคิดว่าความเป็นห่วงของพวกเขาน้อยกว่าเจ้าหรือ และข้าได้ยินว่ารัชทายาทถูกจับไปก็เพราะนางกำนัลในตำหนักเจ้าเผยเรื่องของรัชทายาท เหตุใดเจ้าไม่ตำหนิตนเอง เอาแต่โทษผู้อื่นกัน”
ฮองเฮาได้ฟังฮูหยินหวางก็โมโหเอ่ยว่า “พวกเขาในฐานะขุนนาง ฝ่าบาทให้พวกเขาอบรมรัชทายาทก็ถือว่าให้พระเมตตาต่อพวกเขา ในฐานะขุนนาง ตามหลักก็ควรแบ่งเบาภาระฝ่าบาท ทำงานนิดหน่อยเป็นอันใดไป”
ฮูหยินหวางได้ฟังหวังเมิ่งเหยา ในที่สุดเข้าใจแล้วว่าสาเหตุหลักอยู่ที่ใด
บุตรสาวตนเองเป็นฮองเฮา ไม่เห็นตระกูลเซี่ยอยู่ในสายตา เห็นฝ่าบาทใกล้ชิดสนิทสนมกับตระกูลเซี่ย ในใจนางก็ทนรับไม่ได้ ดังนั้นจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ฮูหยินหวางมองหวังเมิ่งเหยา เอ่ยอย่างผิดหวังว่า “ข้าว่าเจ้าดำรงตำแหน่งฮองเฮาจนลำพองใจไปสักหน่อยแล้ว คิดไปเองว่าตนเองถูกต้อง ดูท่าคงเพราะเมื่อก่อนฝ่าบาทให้พระเมตตาต่อเจ้ามากเกินไป เจ้าไม่ลองคิดดูบ้างว่าตัวเจ้าเองมีความสามารถ มีคุณธรรมอันใดทำให้ฝ่าบาทโปรดปรานเช่นนี้”
ในฐานะฮ่องเต้ การให้พระเมตตาต่อฮองเฮาเพียงพระองค์เดียว ไม่แตะต้องหญิงอื่น ไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อนในประวัติศาสตร์
หวังเมิ่งเหยาได้ฟังฮูหยินหวางก็ยิ่งไม่พอใจ “ท่านแม่ ท่านพูดอันใดกัน ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาต่อข้าก็เพราะรักข้า ในเมื่อทรงรักข้า ก็ควรวางข้าไว้บนตำแหน่งสูงสุด”
ฮูหยินหวางไม่รู้ควรเอ่ยอันใด ได้แต่มองหวังเมิ่งเหยา หากไม่ใช่ว่าเป็นบุตรสาวนาง นางก็อยากจะระเบิดอารมณ์ใส่ไปแล้ว เจ้ามีหน้ามีตาใหญ่โตมาจากไหนกัน ฝ่าบาทรักเจ้า?
ฮองเฮาเห็นสีหน้าฮูหยินหวาง ก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เป็นอันใดหรือ”
“เหยาเอ๋อร์ ท่านแม่อยากถามเจ้า เจ้ามีอันใดคู่ควรให้ฝ่าบาททรงรัก เจ้ารูปโฉมงามล่มบ้านล่มเมือง ใต้หล้าเป็นหนึ่งไม่มีสอง หรือว่ามีความสามารถโดดเด่น ความกล้าเหนือสามัญ หรือว่าในตัวเจ้ามีแสงทอประกายอันใด ทำให้ฝ่าบาททรงรักอย่างนั้นหรือ”
หวังเมิ่งเหยานิ่งอึ้งไปนานพูดอันใดไม่ออก ความจริงนางเองก็รู้ว่าตนเองเป็นคนธรรมดา ตอนเริ่มแรกที่ ฝ่าบาทบอกว่าชีวิตนี้จะมีเพียงนาง นางยังรู้สึกว่าฝันไป รู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง แต่ต่อมาฝ่าบาททำได้ตามรับสั่งจริง มีเพียงนางผู้เดียว ไม่แตะต้องหญิงอื่นใด นางก็คิดว่าฝ่าบาททรงรักนาง นางจึงค่อยๆ นับวันยิ่งไม่พอใจในสิ่งที่มี
ทุกครั้งที่เห็นฝ่าบาทให้ความสำคัญของคนตระกูลเซี่ยที่ดูเหมือนจะมากกว่ารักนาง ในใจนางก็รู้สึกไม่สบายใจ เริ่มมีวาจาไม่พอใจต่อตระกูลเซี่ย รัชทายาทถูกจับตัวไปเป็นเพียงแต่ชนวนระเบิดเท่านั้น
ฮองเฮาคิดเป็นนานก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หากฝ่าบาทไม่รักข้า เหตุใดไม่แตะต้องหญิงอื่น เหตุใดบอกว่าชีวิตนี้จะมีข้าเพียงคนเดียว”
ฮองเฮาพูดด้วยความมั่นใจ หันกลับมามองฮูหยินหวางกล่าวว่า “ใต้หล้านี้ไม่ใช่ว่ามีเพียงสตรีงดงามยอดพธูที่จะควรคู่กับความรัก การรักคนคนหนึ่งนั้นไม่มีเหตุผล”
ฮูหยินหวางอดสะกิดให้นางรู้ตัวไม่ได้ “หากฝ่าบาทรักเจ้าจริง ตอนนี้ไยพวกเจ้าจึงมีเรื่องกันจนเป็นเช่นนี้ไปได้”
สีหน้าฮองเฮาพลันซีดเผือด ฮูหยินหวางกล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “เจ้าไม่ลองคิดดูถึงความเป็นไปได้หนึ่ง ฝ่าบาทเติบโตมาจากตระกูลเซี่ย กฎตระกูลเซี่ยเข้มงวด ชายล้วนมีภรรยาเดียว ไม่รับอนุ ไม่เจ้าชู้ ฝ่าบาทต้องการแสดงให้บิดามารดาพระองค์ได้เห็นว่าตนเองมิใช่คนเจ้าชู้ละโมบนารี ดังนั้นจึงได้มีเจ้าเพียงผู้เดียว เรื่องเหล่านี้อาจมิใช่เพราะความรัก เป็นเพียงแค่จิตใจรับผิดชอบของพระองค์ เพราะตระกูลเซี่ย ทำให้เจ้าได้เป็นที่โปรดปรานเพียงหนึ่งเดียวของฝ่าบาท เพราะเซี่ยโส่วฝู่กับฮูหยินโจวกั๋วอบรมฝ่าบาทมา ทำให้ทรงต้องการแสดงให้บิดามารดาพระองค์ได้เห็นว่าตนเองก็เป็นบุตรชายตระกูลเซี่ย เจ้าเป็นคนเดียวที่เหมาะสมที่สุดในตอนนั้น”
ฮองเฮาได้ฟังฮูหยินหวางก็สมองอื้ออึงนิ่งไปชั่วขณะ สีหน้าซีดเผือดแทบไร้สีโลหิต
[1] ชิงเทียน แปลว่า ฟ้าใสปราศจากเมฆหมอก เป็นสัญลักษณ์ของความเที่ยงธรรม เปาบุ้นจิ้นได้รับการขนานนามว่าเปาชิงเทียนผู้ผดุงความยุติธรรม