ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 969 ตบหน้า
ตอนที่ 969 ตบหน้า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวไม่ได้คัดค้าน ทุกคนออกจากห้องหนังสือตรงไปยังตำหนักเฉาหยางกง
ตำหนักเฉาหยางกง ฮองเฮากำลังยิ้มพูดคุยกับบรรดาฮูหยินขุนนางด้วยท่าทางเบิกบานได้ใจยิ่ง
ฮูหยินขุนพลหวังมองบุตรสาวตนเองอย่างเป็นห่วง
นางคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ฮองเฮาให้นางหมั้นหมายตู้เยี่ยนให้บุตรชายอนุตระกูลหวัง เห็นอยู่ว่านางได้บอกกับฮองเฮาไปแล้วว่า บุตรอนุไม่คู่ควรกับตู้เยี่ยน แต่บุตรสาวตนเองกลับพูดจามีนัยชี้ทางให้บรรดาฮูหยินขุนนางในราชสำนักเช่นนี้
หากวาจานี้แพร่ไปถึงหูใต้เท้าเซี่ยกับฮูหยินโจวกั๋ว เกรงว่าต้องไม่พอใจเป็นแน่ และฝ่าบาทเองก็คงไม่พอพระทัยเช่นกัน
ฮูหยินขุนพลหวังไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุตรสาวจึงต้องทำเช่นนี้
นางครุ่นคิดพลางจ้องมองตู้เยี่ยน สมองพลันวาบขึ้นมาทันที เข้าใจแล้วว่าที่ฮองเฮาทำเช่นนี้เพราะกลัวว่าฝ่าบาทจะต้องพระทัยตู้เยี่ยนและรับตู้เยี่ยนเข้าวัง
ฮูหยินขุนพลหวังคิดขึ้นมาได้ก็พลันหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่รู้ว่าควรตำหนิบุตรสาวตนเองเช่นไร
หากฝ่าบาททรงคิด ไหนเลยที่เจ้าจะป้องกันได้ เจ้ามีความคิดเช่นนี้ไม่สู้มุ่งไปเอาพระทัยฝ่าบาทดีกว่า ใช้ใจแลกใจ
เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร รังแต่จะทำให้ฝ่าบาทยิ่งทรงกริ้ว
ฮูหยินขุนพลหวังตัดสินใจแล้วว่าอีกสักครู่จะพูดจากล่อมบุตรสาวให้ดีๆ
ยามนี้นางรู้สึกว่าเหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรง เห็นอยู่ว่าบุตรสาวนางเป็นถึงฮองเฮาแล้ว แต่ทุกเรื่องยังต้องให้นางเป็นห่วง ไม่เคยทำให้นางเบาใจได้เลย
ฮูหยินขุนพลหวังเพิ่งคิดจบนอกพระที่นั่ง ขันทีก็ส่งเสียงแหลมดังเข้ามาว่า “ฝ่าบาทเสด็จ”
ในพระที่นั่ง ทุกคนรีบลุกขึ้นออกไปต้อนรับ
ฮองเฮาสะอึกกึกในใจทันที หันขวับไปมองซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนด้วยสัญชาตญาณ
นางไม่เคยคิดว่าฝ่าบาทจะรู้เรื่องที่นางกระทำแล้วจะทรงกริ้วหรือไม่ เพราะยามนี้นางเป็นห่วงเพียงแค่ฝ่าบาทจะต้องพระทัยซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนหรือไม่
แต่แม้เป็นห่วง ฮองเฮาก็ยังนำบรรดาฮูหยินออกไปรอรับที่หน้าประตูตำหนัก
“หม่อมฉันถวายพระพร”
เซียวเหวินอวี๋พาเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเดินเข้ามา ตามด้วยฉินม่อ
พอฉินม่อเข้ามาก็ตรงไปดูซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยน เห็นนางไม่ได้มีเรื่องอันใดก็โล่งอก
ตั้งแต่รู้ว่าซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเป็นบุตรอีกคนจากอีกภพของท่านแม่ ฉินม่อก็เห็นนางเป็นดังน้องสาวแท้จริง
เซียวเหวินอวี๋พาคนเดินเข้ามาตรงหน้าฮองเฮาเป็นนานไม่เอ่ยอันใด
ในพระตำหนัก ฮูหยินขุนนางต่างรู้สึกแปลกใจ แม้ไม่ได้เงยหน้าก็รู้สึกได้ว่าฮ่องเต้คล้ายกำลังทรงกริ้วมาก และทรงกริ้วฮองเฮา ไม่เช่นนั้นเหตุใดเป็นนานก็ไม่สนใจรับสั่งให้ฮองเฮาลุกขึ้น
ในใจฮูหยินขุนพลหวังเริ่มเคร่งเครียด นางคิดถึงเซียวเหวินอวี๋ ฝ่าบาทคงมิได้ทรงกริ้วเรื่องคิดหมั้นหมายตู้เยี่ยนกับผู้อื่นกระมัง
หากเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาททรงต้องพระทัยตู้เยี่ยนจริงหรือ แต่แม้ฝ่าบาทต้องพระทัยตู้เยี่ยนก็ไม่ได้มีอันใด ทรงมั่นคงต่อบุตรสาวนางมาหลายปี นับว่าดีต่อบุตรสาวนางมากแล้ว ยังแต่งตั้งบุตรชายคนโตของบุตรสาวนางเป็นรัชทายาทอีก
ฮูหยินขุนพลหวังรู้สึกว่าแม้ฝ่าบาทรับตู้เยี่ยนเข้าวัง ก็ไม่ผิดอันใดต่อบุตรสาวนาง เพราะบุตรสาวนางไม่เอาไหนเอง
ในพระที่นั่ง เซียวเหวินอวี๋เย็นชาต่อฮองเฮาได้ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ลุกขึ้นได้”
แม้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยอันใด แต่เป็นครั้งแรกที่แสดงอำนาจใส่ฮองเฮาต่อหน้าคนนอก หวังเมิ่งเหยารู้สึกเพียงแค่สมองพลันอื้ออึง นางรู้สึกว่าตนเองเสียหน้าหมดสิ้นแล้ว เกรงว่าหากบรรดาฮูหยินรู้ว่านางไม่เป็นที่พอพระทัยของฝ่าบาท วันหน้าพวกนางพบเจอนาง ยังจะให้ความเคารพนางเหมือนเมื่อก่อนอีกหรือไม่
หวังเมิ่งเหยาคิดแล้วขอบตาก็เริ่มแดงอย่างไม่อาจระงับ เหตุใดฝ่าบาททำกับนางเช่นนี้
เซียวเหวินอวี๋ไม่สนใจฮองเฮาอีก เงยหน้ามองไปยังซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยน องค์หญิงแปดซีเหลียง
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเห็นเซียวเหวินอวี๋มองมา นางก็เงยหน้ามองเซียวเหวินอวี๋ทีหนึ่ง
ก่อนหน้านี้นางคิดหาเหตุผลที่ฮองเฮาคิดหมั้นหมายให้นาง ยามนี้ได้เห็นเซียวเหวินอวี๋ก็อดมองหลายทีไม่ได้
กล่าวตามตรงฮ่องเต้แคว้นต้าโจวพระองค์นี้เป็นหนุ่มรูปงามจริงๆ ดุจมังกรในหมู่คนที่หาได้ยาก
แต่ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนไม่คิดว่าตนเองจะกระทำเรื่องแย่งชิงผู้ชายของผู้อื่น นางวางแผนไว้แล้วว่าชีวิตนี้จะไม่ออกเรือน นางต้องการเพียงได้อยู่กับท่านแม่
ดังนั้นหวังฮองเฮาคิดมากไปแล้วจริงๆ
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนค่อยๆ ย่อกายคำนับเซียวเหวินอวี๋ แววตากระจ่างใสราวกับหงส์งามเคลื่อนสายตามองไปยังลู่เจียวต่อ
เซียวเหวินอวี๋เห็นนางเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกสลดอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับผิดหวังเล็กน้อย
แต่ไม่นานเขาก็เลื่อนสายตามองไปยังลู่เจียว “ฮูหยินโจวกั๋วสุขภาพไม่ดี พาครอบครัวออกจากวังหลวงไปก่อนได้”
เดิมลู่เจียวคิดให้เกียรติฮองเฮาสักหน่อย หลังงานเลี้ยงในวังจบค่อยกลับไป ตอนนี้ได้ยินเซียวเหวินอวี๋เอ่ยเช่นนี้ ก็รู้ว่าเซียวเหวินอวี๋ไม่คิดให้เกียรติฮองเฮาแม้สักนิด
นางได้แต่รับคำ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
นางกล่าวจบมองไปยังพวกหูหลิงเสวี่ย กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเรากลับก่อนเพคะ”
พวกหูหลิงเสวี่ยพยักหน้า ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเองก็ตามหลังพวกนางออกไป แต่ต้นจนจบ นางไม่ได้มองเซียวเหวินอวี๋อีก
ในเวลานี้ ฮูหยินขุนนางในราชสำนักต่างเข้าใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ฮ่องเต้เกิดปัญหากับฮองเอา
ฝ่าบาทที่เคยโปรดปรานฮองเฮามาตลอด ถึงกับกระทำการดังตบหน้าฮองเฮาเช่นนี้
ดูท่าระหว่างพวกเขามีปัญหาหนักหนาเกิดขึ้นแล้ว
ในพระตำหนัก ในที่สุดฮองเฮาก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “ฝ่าบาททรงหมายความเยี่ยงไรเพคะ”
นางขอบตารื้นแดงมองเซียวเหวินอวี๋ เซียวเหวินอวี๋ไม่คิดสนใจนาง หันหลังคิดจะไป ฮองเฮาไม่สนใจเหตุผลอันใดอีก เสียงดังถามว่า “ฝ่าบาท ไม่ทรงคิดจะอธิบายอะไรให้หม่อมฉันฟังสักนิดหรือเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋ให้ตระกูลเซี่ยกลับไปก่อน เห็นชัดว่าเป็นการตบหน้านาง เหตุใดเขาไม่ไว้หน้านางเช่นนี้
นางเป็นฮองเฮา จัดงานเลี้ยงในวัง ฝ่าบาทถึงกับให้ตระกูลเซี่ยกลับไปก่อน ยังบอกว่าฮูหยินโจวกั๋วสุขภาพไม่ดี หากฮูหยินโจวกั๋วสุขภาพไม่ดีจริง ก็คงไม่รับเทียบเชิญในวังก่อนหน้านี้แล้ว
เชื่อว่าคนในพระตำหนักตอนนี้ต่างเข้าใจเรื่องนี้ดี
ฮ่องเต้ตบหน้านางฉาดใหญ่ต่อหน้าทุกคน
หวังเมิ่งเหยาแทบอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
ฮูหยินขุนพลหวังไม่เคยแม้แต่จะคิดว่า บุตรสาวถึงกับเอาเรื่องฮ่องเต้ต่อหน้าบรรดาฮูหยินเช่นนี้
นางทำเช่นนี้มิใช่เป็นการหักหน้าตนเองให้ยิ่งย่ำแย่หรือ
ฮูหยินขุนพลหวังปวดหัวอย่างที่สุด แต่นางไม่รอให้ฮองเฮาเอ่ยอันใด ชิงเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ฝ่าบาท ฮองเฮา หม่อมฉันสุขภาพไม่ดี อยากขอกลับก่อนเพคะ”
ฮูหยินขุนพลหวังกล่าวจบ ก็ส่งสายตาจ้องเตือนบุตรสาวทีหนึ่ง
หวังฮองเฮาจึงได้สติ
บรรดาฮูหยินในพระตำหนักพากันลุกขึ้นอำลา สุดท้ายในพระตำหนักเหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮา สองคน แม้แต่ขันทีกับนางกำนัลก็ถอยออกไปแล้ว
ในที่สุดหวังเมิ่งเหยาอดร้องไห้ขึ้นมาไม่ได้ “ฝ่าบาท เหตุใดต้องทำกับหม่อมฉันเยี่ยงนี้ ทรงทำกับหม่อมฉันเยี่ยงนี้ เกรงว่าวันหน้าคนพวกนั้นก็คงดูแคลนหม่อมฉัน หากทรงไม่พอพระทัยหม่อมฉัน เหตุใดไม่คุยกับหม่อมฉันภายหลัง ต้องทำให้หม่อมฉันเสียหน้าต่อหน้าบรรดาฮูหยินด้วยเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋ไม่ได้ใจอ่อนเพราะน้ำตานาง แต่กลับมองนางด้วยสายตาเย็นชายิ่ง “เพราะเราอดทนมานานแล้ว แต่เจ้าไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเสียที”
เขากล่าวจบก็ก้มลงมองหวังเมิ่งเหยา ค่อยๆ เอ่ยว่า “เราขอถามเจ้า วันนี้เจ้าเรียกบรรดาฮูหยินเข้าวัง มาเพื่อการใด”