ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 970 ขอร้อง
หวังเมิ่งเหยาร้อนตัวทันที นางยิ่งคิดถึงตู้เยี่ยนก็ยิ่งไม่วางใจ วันนี้จัดงานเลี้ยงในวังย่อมเพราะคิดหาตระกูลให้นางออกเรือน
หวังเมิ่งเหยาเงยหน้ามองเซียวเหวินอวี๋กล่าวว่า “ใต้เท้าเซี่ยกับฮูหยินโจวกั๋วกลับเมืองหลวง หม่อมฉันดีใจ ดังนั้นเรียกบรรดาฮูหยินเข้าวังมาร่วมฉลอง ฝ่าบาทคิดว่าไม่เหมาะสมหรือเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋แค่นหัวเราะมองหวังเมิ่งเหยาพลางกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “หวังเมิ่งเหยา อย่าเห็นผู้อื่นเป็นคนโง่ อีกอย่างวันหน้าอย่ายื่นมือมาเข้ายุ่งเรื่องผู้อื่น”
เขากล่าวจบก็หันหลังเดินออกไป หวังเมิ่งเหยานิ่งอึ้ง นางรู้ว่าฝ่าบาทรู้จุดประสงค์นาง แต่ไม่นานนางก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำผิด
“ใช่เพคะ หม่อมฉันต้องการหาคู่หมายให้ตู้เยี่ยน ทรงดู วันนี้หม่อมฉันเรียกฮูหยินขุนนางสูงศักดิ์กับ ฮูหยินราชนิกุลเข้าวังมา แม้ตู้เยี่ยนรูปโฉมงดงาม แต่อย่างไรก็ไร้สถานะ หม่อมฉันหาคู่หมายสูงศักดิ์ให้นาง ไม่เหมาะหรือเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋แค่นหัวเราะ ไม่คิดสนใจหญิงผู้นี้อีก หันหลังจะออกไป แต่หวังเมิ่งเหยากลับแผดเสียงร้องไห้ดังขึ้น “ฝ่าบาทต้องพระทัยนางใช่หรือไม่เพคะ ดังนั้นพอทรงได้ยินว่าหม่อมฉันหาคู่หมั้นหมายให้นาง ก็ทรงทนไม่ไหว ต้องมาฉีกหน้าหม่อมฉันถึงที่นี่”
เซียวเหวินอวี๋รู้สึกเพียงแค่หญิงผู้นี้ไร้เหตุผลจนแทบไม่น่าเชื่อ ครั้งนี้เขาไม่ได้อดทนดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ยอมรับทันที “ใช่ เราต้องใจนาง อีกอย่าง เจ้าไม่คู่ควรเป็นฮองเฮา วันหน้าอย่าได้กุมอำนาจสั่งการในวังหลังอีกเลย มอบงานให้ผู้อื่นดีไหม”
เซียวเหวินอวี๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง ครุ่นคิดถึงว่าควรมอบหมายงานในวังหลังให้ผู้ใด สุดท้ายก็คิดถึงพระสนมเนี่ยผินจวนอู่กั๋วกง แม้ว่าพระสนมเนี่ยผินสถานะตำแหน่งไม่สูง แต่นางก็มีชาติกำเนิดจากตระกูลใหญ่ จัดการงานในวังก็คงไม่ยากนัก
“วันหน้างานในวังก็มอบให้พระสนมเนี่ยผินก็แล้วกัน”
ฮองเฮาตัวแข็งทื่อไปทันที เซียวเหวินอวี๋ก้าวออกไปอย่างไม่เหลียวกลับมามองอีก
ตกค่ำ รัชทายาทได้ข่าวก็มาปลอบใจฮองเฮา
“เสด็จแม่อย่าได้ทรงเสียพระทัยไป เสด็จพ่อเพียงแต่เรียกคืนอำนาจสั่งการวังหลังของเสด็จแม่เท่านั้น ไว้อีกสักพักย่อมต้องคืนให้เสด็จแม่”
หวังเมิ่งเหยาได้ฟังรัชทายาทก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้น แต่กลับส่งเสียงตวาดใส่ว่า “ถือสิทธิ์อันใด เขาถือสิทธิ์อันใดทำกับข้าเช่นนี้ เขาทำเช่นนี้ เห็นชัดว่าเป็นการตบหน้าข้า คนทั้งในและนอกวังรู้เรื่องนี้ย่อมต้องหัวเราะเยาะข้า วันหน้าแม้ข้าได้อำนาจสั่งการกลับคืน ใครๆ ก็คงดูแคลนข้า”
นางกล่าวจนสุดท้ายก็ส่งเสียงร้องไห้โฮดังขึ้น
รัชทายาทปลอบใจนางต่อว่า “เสด็จแม่ อย่าได้ร้องไห้ ไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะเสด็จแม่ นอกจากทรงเป็นฮองเฮาแล้ว ยังเป็นเสด็จแม่ข้า วันหน้าข้าขึ้นครองราชย์ ก็ทรงเป็นไทเฮา คนพวกนั้นไม่กล้าหัวเราะเยาะเสด็จแม่แน่”
รัชทายาทรู้สึกว่าปวดหัว เหตุใดเสด็จพ่อกับเสด็จแม่มีเรื่องกันจนเป็นเช่นนี้ไปได้
เขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
ฮองเฮาดึงมือเขามาร้องไห้ กล่าวว่า “ไม่ได้ เจ้าไปหาเสด็จพ่อ ให้ทรงถอนรับสั่ง ให้มาขอโทษข้า”
รัชทายาทไม่ขยับ เขารู้ว่าตนเองไปพูดก็ไร้ประโยชน์ เสด็จพ่อตัดสินพระทัยแล้วไม่มีทางเปลี่ยนพระทัยง่ายๆ
ฮองเฮาเห็นรัชทายาทนิ่งก็โมโหเสียงดังว่า “เจ้ายังเป็นบุตรชายข้าหรือไม่ เสด็จพ่อเจ้ารักเจ้ามาก เจ้าไปช่วยพูด ต้องทรงยอมรับฟังเป็นแน่”
รัชทายาทไร้หนทาง ได้แต่ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันไปหาเสด็จพ่อ เสด็จพ่อก็ไม่มีทางเปลี่ยนพระทัย หม่อมฉันไปหาท่านปู่กับท่านย่า ให้พวกเขาออกหน้ามาคุยกับเสด็จพ่อ ให้เสด็จพ่อถอนรับสั่งน่าจะดีกว่า”
ฮองเฮาได้ยินคำพูดรัชทายาท พลันโมโหตวาดแหวเสียงดังขึ้นว่า “อย่าได้เอ่ยถึงพวกเขา เพราะพวกเขา พวกเขาทำร้ายข้าจนเป็นเช่นนี้”
ฮองเฮากล่าวจบ ก็มองรัชทายาทเหมือนคิดอันใดขึ้นมาได้ “จิ่งเอ๋อร์ เจ้าเป็นบุตรชายเสด็จแม่ จำไว้ว่าคนที่ใกล้ชิดกับเจ้าที่สุดคือเสด็จแม่ วันหน้าเจ้าครองแผ่นดินแคว้นต้าโจว จะต้องกตัญญูต่อเสด็จแม่ อย่าได้ใกล้ชิดกับพวกคนตระกูลเซี่ย พวกนั้นทั้งตระกูลล้วนมีแต่อุบายในใจ ไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าอย่าได้ให้ความใกล้ชิดกับพวกเขาอย่างเด็ดขาด”
รัชทายาทได้ยินฮองเฮายิ่งพูดยิ่งยากรับฟัง จึงรีบเอ่ยยับยั้งว่า “เสด็จแม่ กล่าววาจาเหลวไหลอันใด”
ฮองเฮากลับมองรัชทายาทอย่างดื้อดึง “เจ้าดู เจ้าถูกพวกเขากล่อมไปแล้ว นี่คือความน่ากลัวของตระกูลเซี่ย จิ่งเอ๋อร์ เจ้าต้องรู้ความบ้าง ผู้ใดควรเชื่อ ผู้ใดไม่ควรเชื่อ”
รัชทายาทรับคำอย่างเสียไม่ได้ “ลูกทราบแล้ว เสด็จแม่อย่าได้เอ่ยอีกเลย”
ฮองเฮาแววตาเปล่งประกายวาบขึ้นมา แอบตัดสินในใจแล้วว่าวันหน้าจะไม่มีทางยอมให้รัชทายาทเข้าใกล้คนตระกูลเซี่ยอีก ไม่เช่นนั้นบุตรชายตนคงเลี้ยงมาเสียเปล่าแล้ว เท่ากับช่วยเลี้ยงดูจนเติบใหญ่แทนตระกูลเซี่ย ดูเซียวเหวินอวี๋ที่เป็นถึงฮ่องเต้ก็พอรู้ได้แล้ว
หวังเมิ่งเหยาคิดไปก็เร่งรัชทายาทให้ไปหาเซียวเหวินอวี๋ ให้เซียวเหวินอวี๋ถอนรับสั่ง
รัชทายาทตกปากรับคำ แต่ในใจกลับตัดสินใจว่าจะไปตระกูลเซี่ยหาท่านปู่กับท่านย่า ขอเพียงพวกเขาทั้งสองคนออกหน้า เสด็จพ่อต้องไม่ทำให้เสด็จแม่ลำบากพระทัยอย่างแน่นอน
ยามนี้ตระกูลเซี่ยกำลังกินอาหารค่ำในโถงห้องอาหาร โถงกว้างขวางมีถึงสามโต๊ะ ผู้ใหญ่หนึ่งโต๊ะ สะใภ้หนึ่งโต๊ะ จากนั้นก็พวกเด็กๆ อีกหนึ่งโต๊ะ
ฉินม่อกับตู้เยี่ยนนั่งร่วมโต๊ะกับลู่เจียว
ทุกคนกำลังคุยกันถึงพฤติกรรมของฮองเฮาวันนี้ ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินชื่อฮองเฮาก็มีสีหน้าเย็นเยียบทันที
“หญิงผู้นี้ช่างไร้เหตุผลจนแทบไม่น่าเชื่อ สมองวันๆ ไม่รู้คิดอันใด น่าสงสารฝ่าบาทต้องมาทนรับคนเช่นนี้”
ทุกคนในโถงห้องอาหารต่างเห็นด้วยกับคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่ละคนรู้สึกว่าเซียวเหวินอวี้โชคร้ายมากที่ต้องมีภรรยาเช่นฮองเฮา
เซี่ยเหวินเหยาพลันคิดถึงรัชทายาทขึ้นมา ก็ค่อยๆ กล่าวว่า “รัชทายาทคงไม่ได้รับอิทธิพลจากนางกระมัง จะมีความคิดเห็นเชิงลบต่อตระกูลเซี่ยเราไหม”
พอเอ่ยวาจานี้ ทุกคนก็พลันกล่าวอันใดไม่ออก
กล่าวตามตรง ตอนนี้รัชทายาทใกล้ชิดกับตระกูลเซี่ยมาก แต่เขาก็อายุแค่สิบขวบ และเพราะเขาโตมากับหวังเมิ่งเหยา ใกล้ชิดกับหวังเมิ่งเหยาผู้เป็นเสด็จแม่มาก แม้ว่าต่อมาติดตามเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวไปเมือง หนิงโจว แต่ในใจเขายังคงรู้สึกสนิทสนมกับเสด็จแม่ตนเอง
หากหวังเมิ่งเหยาคอยล้างสมองรัชทายาททุกวัน ยากจะรับรองว่าวันใดรัชทายาทจะเอาใจออกหากจากตระกูลเซี่ย ถึงตอนนั้นเกรงว่าตระกูลเซี่ยก็คงไม่อาจมีบทสรุปที่ดีแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “พวกเจ้าคิดไกลเกินไปแล้ว ตอนนี้รัชทายาทยังเล็ก ฝ่าบาทยังหนุ่ม วันหน้าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้”
วาจาแม้กล่าวเช่นนี้ แต่อารมณ์เขาก็เคร่งเครียดไม่น้อย ซื่อเป่ารักรัชทายาทมาก เรื่องนี้คนตระกูลเซี่ยต่างรู้ดี
ลู่เจียวเห็นบรรยากาศเคร่งเครียดก็ยิ้มเอ่ยว่า “เอาละ ข้าคิดว่าพวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ตอนนี้ฝ่าบาทเพิ่งจะยี่สิบเจ็ด ยังทรงหนุ่มและสุขภาพก็ดี และข้าเชื่อว่าในใจทรงรู้อยู่ ไม่มีทางปล่อยให้รัชทายาทห่างเหินจากตระกูลเซี่ยเป็นแน่”
ลู่เจียวกล่าวจบยิ้มเอ่ยว่า “กินข้าว”
กล่าวจบก็มีคนรีบร้อนวิ่งเข้ามารายงานว่า “ใต้เท้า ฮูหยิน รัชทายาทมา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสบตากับลู่เจียวทีหนึ่ง รัชทายาทยามนี้อยู่ดีๆ มาทำอันใด
แต่ไม่ว่าทำอันใด ก็ยังคงต้องพาทั้งครอบครัวลุกขึ้นไปต้อนรับ อย่าคิดว่ารัชทายาทอายุยังน้อย อย่างไรเขาก็เป็นรัชทายาทแคว้นต้าโจว พวกเขาเป็นข้าใต้ปกครอง ไม่ออกไปต้อนรับไม่ได้
ทุกคนเพิ่งจะเดินออกไป รัชทายาทก็นำผู้ติดตามเดินเข้ามา พอเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวก็เอ่ยทักทายอย่างสนิทสนม “ท่านปู่ ท่านย่า”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองไปยังรัชทายาท ตอนนี้รัชทายาทใกล้ชิดกับตระกูลเซี่ยมาก ก็ไม่รู้ว่าได้รับผลกระทบจากเสด็จแม่พระองค์หรือไม่ จะเกิดความไม่พอใจในตระกูลเซี่ยหรือไม่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไปก็เอ่ยรับคำอ่อนโยนไปว่า “เจ้าออกจากวังหลวงมาได้อย่างไร กินอาหารค่ำมาแล้วหรือยัง จะกินด้วยกันไหม”
รัชทายาทส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า ข้ามาหาท่านปู่ท่านย่าเพราะมีเรื่องหารือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวพอได้ฟัง ในใจก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ทั้งสองคนคิดถึงเรื่องในวันนี้ตอนพวกเขาออกจากวังหลวงมา หากไม่เหนือความคาดหมาย ฝ่าบาทย่อมต้องลงโทษฮองเฮา เกรงว่ารัชทายาทมาเพื่อให้พวกเขาออกหน้าไปเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้กระมัง
หากพวกเขาไม่เห็นด้วย ในใจรัชทายาทก็คงเกิดรอยร้าว
ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวครุ่นคิด แต่สีหน้าก็ยังคงเป็นปกติ
ทั้งสองคนรีบกล่าวว่า “รัชทายาทตามพวกเรามา”
ทุกคนเดินไปยังห้องโถงกลาง เซี่ยเหวินเหยากับเซี่ยเหวินอวี้สบตากันทีหนึ่ง พร้อมกับแววตากังวลใจ หากไม่เหนือความคาดหมาย รัชทายาทมาหาเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเพราะเรื่องฮองเฮา
หากท่านพ่อกับท่านแม่ไม่รับปาก เกรงว่าในใจรัชทายาทต้องไม่พอใจเป็นแน่
ในห้องโถง เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวสองคนเพิ่งจะลงนั่ง รัชทายาทก็เอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านย่า ข้ามาตระกูลเซี่ยก็อยากขอให้พวกท่านทูลให้เสด็จพ่อถอนรับสั่งยึดอำนาจปกครองวังหลังของเสด็จแม่ อีกอย่างก็คือจะขอให้พวกท่านไปทูลเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อให้คืนดีกับเสด็จแม่ได้หรือไม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองไปยังรัชทายาท เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบขึ้นว่า “เหตุใดรัชทายาทต้องให้พวกเราไปทูลเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อพระองค์”
รัชทายาทอมยิ้มกล่าวว่า “เพราะเสด็จพ่อฟังคำท่านปู่กับท่านย่า”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มกล่าวว่า “งั้นหรือ เพราะเขาฟังคำพวกเรา ดังนั้นพวกเราก็ต้องให้เขาทนกล้ำกลืนหรือ เขาไม่ชอบเสด็จแม่พระองค์ พวกเราก็ต้องให้เขาอดทนกับเสด็จแม่พระองค์หรือ รัชทายาทเคยคิดถึงปัญหาหนึ่งหรือไม่ เหตุใดรัชทายาทต้องให้เสด็จพ่อทนกล้ำกลืน แต่ไม่ให้เสด็จแม่พระองค์ทนกล้ำกลืนบ้าง พวกเขาสองคนก้าวมาถึงขั้นนี้ล้วนเพราะเสด็จแม่พระองค์ก่อเรื่องขึ้น เหตุใดไม่ให้เสด็จแม่พระองค์สงบเสงี่ยม ไปพูดจาเอาใจเสด็จพ่อพระองค์”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดรัวเป็นชุด ทำเอารัชทายาทมึนงง เขาอายุเพียงสิบขวบ คิดปัญหามิได้ถี่ถ้วนเช่นนั้น ได้แต่ครุ่นคิดหาทางให้เสด็จพ่อดีกับเสด็จแม่ ไม่ได้คิดสาเหตุมากมายเช่นนี้
ยามนี้ได้ยินคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็พูดไม่ออก
ลู่เจียวกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “รัชทายาท ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ช่วย แต่พวกเราไม่อาจทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย เขาเป็นบุตรชายที่พวกเราเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ พวกเราอยากให้เขาเบิกบานใจ ในเมื่อปลดอำนาจเสด็จแม่พระองค์แล้ว ก็แสดงว่าเสด็จแม่พระองค์ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย หากพวกเราไปเกลี้ยกล่อมให้ทรงคืนดีกับเสด็จแม่พระองค์ดังเดิม ก็ย่อมทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยเป็นแน่”
“คนเราล้วนมีคนที่ใกล้ชิดมากกว่าใกล้ชิดน้อยกว่า ก็เหมือนในใจรัชทายาทใกล้ชิดเสด็จแม่มากกว่า แต่พวกเราใกล้ชิดฝ่าบาทมากกว่า ดังนั้นพวกเราไม่อยากให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย”
รัชทายาทได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็รู้สึกว่าวาจานี้ไม่ใช่ดังที่คิด ก็รีบกล่าวว่า “ท่านย่า ไม่ใช่ ข้าเองก็อยากให้เสด็จพ่อดีพระทัย แต่พวกเขาเป็นเช่นนี้ไม่ดีเลย”
ไม่ดีอย่างไร รัชทายาทเองก็บอกไม่ถูก