ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 980 กริ้วหนัก
ตอนที่ 980 กริ้วหนัก
นางข้าหลวงหลี่รีบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาอิดโรยเช่นนี้เพราะดูแลองค์หญิงรองเพคะ”
หวังเมิ่งเหยาหันไปมองนางข้าหลวงหลี่ ตำหนิว่า “หุบปาก ฝ่าบาทยุ่งราชกิจทั้งวัน อย่าได้ให้ฝ่าบาทต้องการร้อนพระทัยกับเรื่องพวกนี้”
นางข้าหลวงหลี่รีบเงียบลงทันที
หวังเมิ่งเหยาหันไปมองเซียวเหวินอวี๋ เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า “ฝ่าบาท หากไม่ใช่ซิงซิงเอาแต่ร้องไห้งอแงไม่ยอมกินยาต้องการหาแต่ฝ่าบาท หม่อมฉันก็คงไม่ให้แม่นมนางไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
นางกล่าวจบก็ยกมือปิดปากไอเบาๆ ทีหนึ่ง เซียวเหวินอวี๋มองลงมาเห็นสีหน้านางซีดขาว ไม่ซับสีโลหิตแม้แต่น้อย
หวนคิดถึงความอ่อนโยนนุ่มนวลในตอนแรกที่พวกเขาสองคนรู้จักกัน ตอนนี้เห็นนางแลดูอิดโรยเพราะดูแลองค์หญิงรอง ความรังเกียจในใจเขาที่มีต่อนางก็เบาบางลงไม่น้อย
“ลำบากเจ้าแล้ว รีบนั่งลงพักสักครู่ก่อน”
เขากล่าวจบหันไปมององค์หญิงรองบนเตียง พบว่าบุตรสาวตัวน้อยคล้ายว่าผ่ายผอมลงไปมาก ใบหน้าซูบตอบไร้เนื้อหนัง
เซียวเหวินอวี๋เห็นแล้วก็สงสารจับใจ ถามขึ้นว่า “ซิงซิง เป็นอันใดหรือ เหตุใดล้มป่วยไม่หาย”
หวังเมิ่งเหยาเอ่ยขึ้นว่า “สุขภาพนางอ่อนแอ ล้มป่วยง่าย ไม่อาจกระทบไอเย็น ของหลายอย่างก็กินไม่ได้ กินลงไปก็จะถ่ายท้อง ทำให้มีไข้ตัวร้อน”
หวังเมิ่งเหยากล่าวจบก็เอ่ยอย่างปวดใจว่า “หม่อมฉันมีบุตรสามคน มีเพียงนางที่ทำให้หม่อมฉันเป็นห่วงที่สุด ไม่รู้ว่าเหตุจึงเป็นเช่นนี้”
กล่าวจบก็หลั่งน้ำตา
เซียวเหวินอวี๋เห็นนางเสียใจเช่นนี้ก็ปลอบใจว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้า เจ้าอย่าได้ตำหนิตนเอง”
หวังเมิ่งเหยาสะอื้นกล่าวว่า “หากท่านแม่อยู่เมืองหลวงก็คงดี ให้นางเข้าวังมาตรวจ ไม่แน่ว่าซิงซิงอาจจะดีขึ้น”
เซียวเหวินอวี๋ได้ฟังหวังเมิ่งเหยา สีหน้าพลันเย็นเยียบหรี่ตาลงทันที เขาคิดว่าหวังเมิ่งเหยากำลังเสแสร้งหาเรื่องลู่เจียว
แต่พอมาคิดให้ถี่ถ้วน พบว่าสีหน้าหญิงผู้นี้มีเพียงความเสียใจ คล้ายว่าคิดถึงเพียงแค่ลู่เจียวเก่งวิชาการแพทย์
เซียวเหวินอวี๋เอ่ยว่า “ในวังมีหมอหลวงมากมาย ไยต้องให้ฮูหยินโจวกั๋วเข้าวังมารักษา”
หวังเมิ่งเหยาได้ฟังเซียวเหวินอวี๋ก็แอบกัดฟันรับคำเบาๆ “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋ถามหมอหลวงในตำหนักว่า “องค์หญิงรองเป็นอันใดกันแน่ เหตุใดล้มป่วยไม่หาย”
หมอหลวงหวงทูลว่า “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงสุขภาพไม่ดี หากต้องลมเย็นก็จะล้มป่วยได้ง่าย หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็จะล้มป่วยได้”
“ไม่มีวิธีรักษาองค์หญิงรองให้หายหรือ”
เซียวเหวินอวี๋กล่าวจบก็นั่งลงข้างองค์หญิงรอง ยื่นมือไปจับชีพจรองค์หญิงรอง
ในตำหนักบรรทมหวังเมิ่งเหยาอดเกร็งตัวแน่นขึ้นมาไม่ได้ แต่เซียวเหวินอวี๋ตรวจแล้วก็ปล่อยมือองค์หญิงรอง สีหน้ายังคงเป็นปกติ
หวังเมิ่งเหยาพลันโล่งอก คิดแล้วก็แอบนึกขันตนเอง นางไม่ได้วางยาบุตรสาว กลัวอันใด
หวังเมิ่งเหยากำลังคิดอยู่ เซียวเหวินอวี๋สั่งการโจวโย่วจิ่นไปตามหมอหลวงฉี
หมอหลวงฉีเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวง ปกติรับหน้าที่ดูแลงานในสำนักหมอหลวง และเขายังเป็นหมอหลวงประจำฮ่องเต้ ไม่ต้องดูแลผู้ใดในวัง
ครั้งเซียวเหวินอวี๋มีราชโองการตาม หมอหลวงฉีรีบมาถึงทันที เซียวเหวินอวี๋บอกให้หมอหลวงฉีตรวจอาการให้องค์หญิงรอง เขายืนยันว่าองค์หญิงรองกระทบไอเย็น ทำให้เกิดไข้ตัวร้อน กินยาลดไข้ก็พอ
แต่หมอหลวงฉีเป็นห่วงมาก “ฝ่าบาท องค์หญิงรองอายุยังน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่า…”
เขาไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ แต่ทุกคนในพระที่นั่งล้วนเข้าใจความหมายของวาจานี้
ฮองเฮาอดร้องไห้ตรงไปข้างเตียงองค์หญิงรองไม่ได้
องค์หญิงรองตื่นเพราะเสียงร้องไห้ของนาง จึงยื่นมือขึ้นลูบใบหน้านาง เอ่ยเสียงเบาหวิวราวกับลูกแมวว่า “เสด็จแม่อย่าร้องไห้”
ในเวลานี้หวังเมิ่งเหยานึกเสียใจภายหลังแล้ว นางไม่ควรลงมือกับบุตรสาวตัวน้อยของตนเอง นางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงช่วยเหลือตนเองเช่นนี้ นางลงมือกับนางได้อย่างไรกัน
แต่ไม่นาน นางคิดถึงความสัมพันธ์ตนเองกับเซียวเหวินอวี๋ หากไม่ลงมือกับองค์หญิงรอง นางก็ไม่มีทางคลายความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างนางกับฝ่าบาทได้ หรือว่าจะนั่งมองดูความสัมพันธ์เย็นชาลงเรื่อยๆ ต่อไปเช่นนี้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะส่งผลต่อบุตรชายนางอย่างแน่นอน
ดังนั้นนางได้แต่เสียสละองค์หญิงรอง นางไม่เคยแม้แต่จะคิดลงมือกับบุตรชายคนเล็ก
หวังเมิ่งเหยามองบุตรสาวตัวน้อยบนเตียงในใจแอบสาบานว่า รอให้นางคืนดีกับฝ่าบาทได้ก่อน นางจะดีต่อซิงซิงให้มากขึ้น จะต้องรักนางให้มากกว่าเดิม
ขณะหวังเมิ่งเหยากำลังคิดอยู่ ซิงซิงบนเตียงเห็นเซียวเหวินอวี๋ข้างเตียง ก็มองเซียวเหวินอวี๋ด้วยท่าทางอ่อนแรง ยิ้มเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ทรงมาเยี่ยมซิงซิงแล้ว”
เซียวเหวินอวี๋เดินไปยื่นมือไปลูบใบหน้านาง “อืม ซิงซิงป่วยแล้ว แต่ไม่นานก็จะหายนะ”
“เสด็จพ่อ มาเยี่ยมซิงซิง ซิงซิงดีใจมาก พอดีใจก็จะหายดี”
เซียวเหวินอวี๋ได้ยินคำพูดซิงซิงก็นึกตำหนิตนเอง แม้งานราชกิจยุ่งรัดตัว แต่ก็ควรเจียดเวลามาเยี่ยมบุตรสาว
นางอ่อนแอคล้ายลูกแมวเช่นนี้ น่าสงสารมาก
โดยเฉพาะพอคิดถึงที่หมอหลวงฉีบอกว่าหากไม่ดูแลองค์หญิงรอง ปล่อยเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าก็คงเลี้ยงไม่ถึงเติบใหญ่
แม้ว่าฉีเหล่ยไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา แต่เซียวเหวินอวี๋ก็ฟังความนัยในวาจาเขาออก
พอคิดถึงบุตรสาวตัวน้อย ในใจเซียวเหวินอวี๋ก็เจ็บปวด ตัดสินใจว่าวันหน้าจะมาเยี่ยมบุตรสาว
“วันหน้าเสด็จพ่อจะมาเยี่ยมเจ้าวันเว้นวัน เจ้าต้องดูแลตนเองให้หายดี ดีหรือไม่”
องค์หญิงรองย่อมดีใจมาก “อืม หม่อมฉันจะรอเสด็จพ่อมาเยี่ยมหม่อมฉันเพคะ”
กล่าวจบก็หลับลงอย่างหมดแรง เดิมสุขภาพก็ไม่ดี คุยได้ครู่หนึ่งก็ผล็อยหลับไป
เซียวเหวินอวี๋มองไปยังหมอหลวงฉี กล่าวว่า “มีสูตรน้ำแกงบำรุงสุขภาพให้องค์หญิงรองหรือไม่”
ฉีเหล่ยกล่าวว่า “น้ำแกงก็พอมี เพียงแต่สุขภาพองค์หญิงรองตอนนี้ต้องปรับให้ดีก่อนจึงจะได้ อาหารการกินก็ต้องใส่ใจ รวมกับดื่มน้ำแกงบำรุงก็จะไม่เป็นอันใดแล้ว เพียงแต่หากละเลยไม่ระวังอีก ครานี้คงเกินรับไหว”
ฉีเหล่ยไม่เข้าใจว่าองค์หญิงรองล้มป่วยอีกได้อย่างไร ความจริงองค์หญิงรองเกิดมา สุขภาพก็ไม่ได้ย่ำแย่เช่นนี้ ตอนแรกเกิดก็แข็งแรงดี ต่อมาก็เอาแต่ล้มป่วย ระยะนี้ยังป่วยหนักมากเป็นพิเศษ
เซียวเหวินอวี๋ได้ยินคำว่าละเลยไม่ระวัง ก็มองไปยังฮองเฮาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ฮองเฮารีบทูลว่า “อาจเพราะระยะนี้หม่อมฉันดูแลองค์หญิงรองจนนอนหลับไม่ค่อยสนิท เมื่อคืนดูแลองค์หญิงรองจนหลับไป องค์หญิงรองปัดผ้าห่มออกกลางดึก จึงได้กระทบไอเย็น ทำให้ตัวร้อนขึ้นมาอีก”
เซียวเหวินอวี๋ได้ฟังหวังเมิ่งเหยาก็รู้สึกว่าไม่อาจตำหนินางทั้งหมด นางเองก็อิดโรยเช่นกัน
“เอาละ เราไม่โทษเจ้า”
เขากล่าวจบก็มองไปยังแม่นมกับนางกำนัลที่ปรนนิบัติองค์หญิงรอง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “พวกเจ้าได้ยินหมอหลวงฉีแล้วใช่หรือไม่ วันหน้าดูแลองค์หญิงรองให้ดี หากองค์หญิงรองเกิดเรื่องอันใด พวกเจ้าที่ปรนนิบัตินางล้วนต้องโดนโทษโบยจนตาย”
แม่นมกับนางกำนัลที่ปรนนิบัติองค์หญิงรองลงคุกเข่ารับคำ แต่ละคนทูลตอบด้วยท่าทางลนลานว่า “พวกบ่าวจะต้องทุ่มเทปรนนิบัติองค์หญิงรองให้ดีเพคะ”
พวกแม่นมหวาดกลัวกันอย่างมาก
แรกสุดพวกนางติดตามปรนนิบัติองค์หญิงรองอย่างตั้งใจทุ่มเท ต่อมาพบว่าฮองเฮาไม่ค่อยใส่ใจบุตรสาวคนนี้ ดังนั้นพวกนางเองก็เริ่มละเลยเช่นกัน แต่ก็แค่มีล้มป่วยบ้าง ผู้ใดจะรู้ว่าระยะนี้เอาแต่ล้มป่วยไม่หาย พอพวกนางจะดูแลเอง ฮองเฮาก็ไม่ยินยอม ฮองเฮาต้องการดูแลด้วยตนเอง
แต่ดูแลไปดูแลมาก็เอาแต่ล้มป่วยไม่หาย ดูแลไปมาก็ป่วยแล้วป่วยอีก
แม่นมเองก็ไม่รู้ว่าควรทูลเรื่องนี้อย่างไร
เซียวเหวินอวี๋ตำหนิแม่นมกับนางกำนัลที่ปรนนิบัติองค์หญิงรอง จากนั้นก็กำชับหวังเมิ่งเหยาให้ไปพักผ่อน องค์หญิงรองมีคนดูแลแล้ว
หวังเมิ่งเหยาดีใจมาก ความพยายามครั้งนี้ของนางเห็นผลแล้ว
ก่อนหน้านี้แววตาที่เซียวเหวินอวี๋มองนางมีแต่ความรังเกียจ ไหนเลยจะมีความสงสารเห็นใจดังเช่นตอนนี้ ดูท่าระหว่างนางกับเขาเริ่มดีขึ้นแล้ว
ฮองเฮารู้สึกจิตใจผ่อนคลายลงไม่น้อย
“ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋นำขันทีเดินออกไป นอกจากสงครามซีเป่ย เขายังส่งคนไปเฝ้าดูด่านหลงไห่ ดูว่าซีเหลียงจะยกทัพบุกโจมตีด่านหลงไห่หรือไม่
หากบุกโจมตีชายแดนแคว้นต้าโจวสองด้าน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อแคว้นต้าโจว
เซียวเหวินอวี๋เพิ่งจะก้าวเข้าห้องหนังสือ ฉีเหล่ยก็ตามมาขอเข้าเฝ้า
เซียวเหวินอวี๋ให้เขาเข้ามา แม้ว่าฉีเหล่ยเป็นเพียงแค่หมอหลวง แต่เพราะเขาเป็นศิษย์ลู่เจียวและเห็นพวกเขามาแต่เล็ก ฮ่องเต้จึงเชื่อใจเขามาก เอ่ยกับเขาอย่างค่อนข้างอ่อนโยนว่า “หมอหลวงฉีมาได้อย่างไร”
หมอหลวงฉีมองไปยังเซียวเหวินอวี๋ กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท เพราะมีเรื่องกราบทูลฝ่าบาท”
เซียวเหวินอวี๋พอได้ฟังก็รู้ว่าเรื่องที่ฉีเหล่ยจะบอกเขาน่าจะเป็นอาการป่วยขององค์หญิงรอง
สีหน้าเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยน ถามขึ้นว่า “องค์หญิงรองเป็นอันใดหรือ นาง…”
เซียวเหวินอวี๋พูดไม่ออก ฉีเหล่ยถอนหายใจเบาๆ เดิมเขาไม่คิดเอ่ย แต่เห็นแก่องค์หญิงรองตัวน้อย ก็ยังคงอดมาไม่ได้
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดกราบทูลฝ่าบาทเรื่องหนึ่ง องค์หญิงรองเกิดมาก็สุขภาพแข็งแรงดีมาก ต่อมาแม้ว่ามีล้มป่วยบ้าง แต่ก็ไม่หนักหนา ระยะหนึ่งเดือนกว่ามานี้ นางล้มป่วยติดกันหลายครั้ง ครั้งก่อนนางทั้งถ่ายท้องทั้งอาเจียน กระหม่อมสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง”
เซียวเหวินอวี๋สีหน้ายากคาดเดา แววตาที่มองฉีเหล่ยอับแสงเย็นเยียบลงอย่างไม่รู้ตัว
ฉีเหล่ยกล่าวต่อว่า “กระหม่อมสงสัยว่าครั้งก่อนองค์หญิงรองถูกคนใส่ปาโต้ว[1]ลงไปในอาหาร เพราะใส่ปาโต้วน้อย จึงตรวจไม่พบ แต่กระหม่อมยังคงสงสัยว่าองค์หญิงรองถูกคนวางยาด้วยการใส่ปาโต้ว เพราะนางอายุยังน้อย แม้กินไปเพียงนิดก็จะทำให้กระเพาะและลำไส้เกิดอาการได้ง่าย ปรากฏต่อมาไม่ได้ดูแลให้ดี จึงได้ล้มป่วยติดต่อกันหลายครั้ง”
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอาจเกิดเหตุกับองค์หญิงรองได้ กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทส่งคนไปดูแลองค์หญิงรองให้ดี ระยะนี้อย่าให้นางกินอาหารเผ็ด อย่าให้กระทบไอเย็น อาหารที่กินก็อย่าได้มีฤทธิ์เย็น หากกินของพวกนี้อีก เกรงว่าองค์หญิงรองก็คงจะ…”
ฉีเหล่ยไม่ได้เอ่ยต่อ แต่เซียวเหวินอวี๋กลับเปล่งประกายเย็นเยียบดุดันรอบกายอย่างไม่อาจระงับ แววตาดำทะมึน คล้ายโกรธแค้นมา
แต่ไรมาเขาไม่เคยคิดมาก ดังนั้นจึงได้มองข้ามไปหลายเรื่อง ตอนนี้ฉีเหล่ยเอ่ยขึ้นมา เขาก็คิดเรื่องที่ผิดปกติขึ้นมาได้มากมาย
เช่นว่า แต่ไรมาฮองเฮาไม่เคยให้ความสำคัญกับองค์หญิงรอง เหตุใดพลันให้ความสำคัญกับนางขึ้นมา ยังดูแลด้วยตนเอง เห็นอยู่ว่ามีแม่นมและนางกำนัล ขอเพียงนางคอยกำชับแม่นมและนางกำนัล คนพวกนั้นย่อมไม่กล้าดูแลขาดตกบกพร่อง เหตุใดนางต้องมาดูแลด้วยตนเอง อีกอย่าง เหตุใดดูแลแล้ว องค์หญิงรองก็ยังล้มป่วย
เด็กน้อยเกิดมาก็รักมารดา เหตุใดองค์หญิงรองรักเขามากกว่า พอเห็นเขาก็เอาแต่มองตาปริบๆ เพราะนางรู้ว่าเสด็จแม่นางไม่ชอบนาง หรือนางรู้สึกว่าอาการป่วยของนางเกี่ยวข้องกับเสด็จแม่นาง
เซียวเหวินอวี๋คิดถึงสุดท้ายก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้ ยกมือกวาดกองฎีกาบนโต๊ะร่วงลงพื้นหมดสิ้น
เขาไม่เคยคิดเลยว่าสตรีจะร้ายกาจเพียงนี้ ถึงกับใจร้ายกับบุตรสาวตนเองได้ลงคอ ไยนางลงมือโหดเหี้ยมได้เช่นนี้ นี่เป็นบุตรสาวนางนะ พยัคฆ์ร้ายยังไม่กินลูกตน หญิงผู้นี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าพยัคฆ์ ตอนนั้นเหตุใดเขาจึงได้ต้องใจหญิงเช่นนี้กัน
[1] สลอด