ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 984 พาไปอบรมเลี้ยงดู
ตอนที่ 984 พาไปอบรมเลี้ยงดู
หวังเมิ่งเหยารู้สึกเพียงแค่ในใจคุกรุ่นไปด้วยโทสะแผดเผา
เซียวเหวินอวี๋มองนาง หรี่ตาเล็กน้อยเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “วันนี้ที่เจ้ายังนั่งอยู่ในตำแหน่งฮองเฮาต่อไปได้ น่าจะต้องขอบคุณรัชทายาท เราเห็นแก่รัชทายาท จึงได้ให้เจ้าดำรงตำแหน่งฮองเฮาต่อไป แต่เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า หากวันหน้าเรารู้ว่าเจ้าทำเรื่องไม่ดีอีก เราก็จะมีราชโองการปลดเจ้า”
ยามนี้สีหน้าหวังเมิ่งเหยาไร้สีโลหิต ซีดขาวราวกับกระดาษ
“เหตุใด เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้”
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้
เซียวเหวินอวี๋มองนางกล่าวว่า “วันหน้าเจ้าอยู่แต่ในตำหนักเฉาหยางกง ค่อยๆ คิดให้ดีว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เจ้าไม่คู่ควรเป็นบุตรีผู้ใด ไม่คู่ควรเป็นภรรยาผู้ใด ไม่คู่ควรเป็นสะใภ้ผู้ใด และไม่คู่ควรเป็นมารดาผู้ใด”
“ในฐานะบุตรี เจ้าถึงกับไม่สนใจความเป็นความตายของบิดาเจ้า เขียนจดหมายถึงบิดาเช่นนั้นเป็นการทำร้ายบิดาเจ้า หลายปีมานี้เขาสร้างความดีความชอบต่อแคว้นต้าโจวไว้มากมาย เดิมควรฝากชื่อเสียงดีงามไว้ในประวัติศาสตร์ให้คนยกย่องสรรเสริญ ปรากฏเพราะจดหมายของเจ้า เขาจึงได้ทำความผิดมหันต์ ทำให้คนบาดเจ็บล้มตายไปถึงสองหมื่น คนพวกนั้นเอ่ยถึงบิดาเจ้า เกรงว่าคงมีแต่เสียงด่าทอ ชื่อเสียงบิดาเจ้าพังทลายลงด้วยน้ำมือเจ้าคนเดียว”
“เจ้าไม่คู่ควรเป็นภรรยาผู้ใด เพราะในฐานะฮองเฮา หลายปีมานี้ เจ้าไม่ค่อยได้ใส่ใจเรา เจ้ายโสลำพอง เอาแต่คิดว่าเราโปรดไม่โปรดเจ้า รักไม่รักเจ้า ว่าเราไม่ทำตามสัญญา แต่เจ้าลองคิดให้ดี สิบปีมานี้เจ้าเคยให้ความใส่ใจห่วงใยเราจากใจบ้างหรือไม่”
หวังเมิ่งเหยาได้ฟังเซียวเหวินอวี๋ สมองก็พลันว่างเปล่า จากนั้นนางก็ส่ายหน้าไม่อาจระงับสติตนเอง “ไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ใช่”
ความจริงนางรักเซียวเหวินอวี๋มาก ครั้งแรกที่ได้พบหน้าเขาก็หลงรักเขาแล้ว แต่นางรู้ดีกว่าตนเองเป็นหญิงที่ไม่มีอันใดโดดเด่น เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ความรักจากเขา
ต่อมาโชคดีได้แต่งเป็นพระชายารองของเขา นางเองก็ไม่กล้าคิดว่าเขาจะชอบนาง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายนางถึงกับได้กลายเป็นฮองเฮา ยังได้รับคำสัญญาจากเขา
เพราะมีคำสัญญาเช่นนี้ ทำให้ในใจนางเกิดความหยิ่งทะนง เพราะคำสัญญานี้ ทำให้นางลำพองใจ แต่ไรมาไม่เคยคิดดูแลฝ่าบาทแม้สักครั้ง
เซียวเหวินอวี๋เองไม่สนใจท่าทางหวังเมิ่งเหยา เอ่ยต่อทันทีว่า “ในฐานะสะใภ้ เจ้าทำอันใดให้ฮูหยินโจวกั๋วบ้าง เห็นเราให้ความสำคัญกับนาง แต่กลับไม่คิดหาเหตุผลว่าเหตุใดเราให้ความสำคัญกับนาง เพราะนางทำเพื่อเรามากมาย เจ้าเคยทำอันใดให้เราบ้าง เจ้าถือสิทธิ์อันใดมาแย่งชิงสถานะในใจเรากับนาง แคว้นต้าโจวเราให้ความสำคัญกับกตัญญูอันดับหนึ่ง อย่าว่าแต่ในฐานะฮองเฮา แม้แต่คนทั่วไป ผู้เป็นสะใภ้จะต้องถูกแม่สามีทรมาน ทุกวันตั้งกฎให้เจ้าดำรง ส่วนเจ้า ฮูหยินโจวกั๋วเคยตั้งกฎอันใดให้เจ้าดำรงหรือไม่ นางยังคงดำรงธรรมเนียมดีงามกับเจ้า ปรากฏเจ้ากลับยังไม่พอใจ เจ้าว่าเจ้าคู่ควรเป็นสะใภ้ผู้ใดหรือ”
หวังเมิ่งเหยานิ่งอึ้ง สมองค่อยๆ กระจ่างขึ้นมามาก นางรู้ว่าเซียวเหวินอวี๋พูดไม่ผิด แม้ว่าลู่เจียวไม่ใช่แม่สามีนาง แต่ก็ไม่ได้แตกต่างมากนัก แต่ไรมานางไม่เคยทำอันใดให้อีกฝ่าย แม้แต่เรื่องเดียวก็ไม่เคย
วาจาเซียวเหวินอวี๋เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “นางอบรมเรามา เราติดค้างนางมาก มักคิดหาทางตอบแทนบุญคุณนาง หากในใจเจ้ามีเราก็ควรคิดช่วยเราแบ่งเบาบ้าง หากเจ้าให้ความเคารพนาง รักนาง ไหนเลยเราจะไม่ซาบซึ้งใจเจ้า ปรากฏสิ่งที่เจ้าทำมีแต่ทำให้เรายิ่งติดค้างนางมากยิ่งขึ้น”
เซียวเหวินอวี๋กล่าวจบก็ไม่คิดเอ่ยเรื่องนี้อีก หันไปเอ่ยถึงเรื่ององค์หญิงรอง
“ในฐานะมารดา เจ้าถึงกับใส่ปาโต้วให้บุตรสาวเจ้ากินเองกับมือ เจ้าคู่ควรเป็นมารดาผู้ใดหรือ”
เสียงเซียวเหวินอวี๋คล้ายดังอสุนีบาตฟาดลงกลางกระหม่อมหวังเมิ่งเหยา นางเงยหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง
ดังนั้นฮ่องเต้รู้แล้วว่านางให้องค์หญิงรองกินปาโต้วลงไป และอาจรู้ด้วยว่านอกจากใส่ปาโต้วให้องค์หญิงรองกิน ยังรู้ว่านางดึงผ้าห่มองค์หญิงรองออกยามดึก ให้นางกระทบไอเย็นจนล้มป่วย
หวังเมิ่งเหยาล้มลงกับพื้นหมดแรงจะขยับตัวได้อีก
เซียวเหวินอวี๋ก้มลงมองนาง กล่าวว่า “เจ้าว่า เราจะวางใจมอบองค์หญิงรองกับองค์ชายรองให้เจ้าดูแลต่อไปได้อย่างไร หากเจ้ามีความคิดสำนึกผิดแม้เพียงสักนิด ก็สงบเสงี่ยมอยู่แต่ในตำหนักเฉาหยางกง คิดถึงรัชทายาทให้มาก นี่คือเรื่องที่เหลือในชีวิตของเจ้าที่จะทำเพื่อรัชทายาทได้”
หวังเมิ่งเหยาได้ฟังเซียวเหวินอวี๋ก็สิ้นหวังหมดแรง ที่แท้นางผิดแต่ต้นจนจบ ทุกอย่างผิดไปหมด แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เหตุใด?
เซียวเหวินอวี๋เห็นท่าทางนางเช่นนี้ ก็สั่งโจวโย่วจิ่น “ไป พาองค์หญิงรองกับองค์ชายรองไปได้แล้ว”
วาจานี้ทำเอาหวังเมิ่งเหยาตกใจ หากให้นางห่างรัชทายาท ห่างจากองค์หญิงรอง นางทำได้ แต่นางไม่อาจตัดใจจากองค์ชายรองได้
นางเลี้ยงดูอุ้มชูองค์ชายรองมาด้วยสองมือของนางเอง แต่ไรมาเขาไม่เคยห่างกายนาง
เขาไม่เหมือนรัชทายาท ตอนเด็กรัชทายาทมักถูกฝ่าบาทพาไป บางครั้งเขาพาไปค้างด้วย บางครั้งก็ส่งไปค้างที่ตระกูลเซี่ย
แต่องค์ชายรองแต่ไรมาไม่เคยห่างจากกายนางแม้แต่ก้าวเดียว นางตัดใจไม่ได้ วันหน้าถูกกักบริเวณในตำหนักเฉาหยางกง หากเหลือเพียงแค่นางคนเดียว ย่อมต้องเงียบเหงาอย่างมาก
“ฝ่าบาท ขอได้ทรงโปรดไห้หม่อมฉันได้ดูแลองค์ชายรองนะเพคะ หม่อมฉันขาดองค์ชายรองไม่ได้เพคะ”
หวังเมิ่งเหยาขอร้องอย่างน่าสงสาร
เซียวเหวินอวี๋มองนางเย็นเยียบเป็นนานก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าไม่คู่ควรอบรมดูแลบุตร หากหวังดีต่อองค์ชายรอง เจ้าควรปล่อยเขาไป”
หวังเมิ่งเหยาส่ายหน้าน้ำตาไหลนองร่ำไห้ปานจะขาดใจ “ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้สำนึกผิดแล้ว ทุกอย่างเป็นความผิดหม่อมฉันเอง ทรงให้องค์ชายรองอยู่กับหม่อมฉันนะเพคะ วันหน้าหม่อมฉันจะอบรมองค์ชายรองให้ดี ขอฝ่าบาทอย่าได้พาองค์ชายรองไปนะเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋มองนาง ค่อย ๆ เอ่ยว่า “เจ้าจำคำพูดตนเองไว้ให้ดี อบรมองค์ชายรองให้ดี หากวันหน้าองค์ชายรองทำความผิดอันใด เราจะไม่ยอมละเว้นเป็นแน่”
วาจานี้เป็นทั้งคำเตือนและคำขู่
หวังเมิ่งเหยาโขกศีรษะ “หม่อมฉันจะจดจำรับสั่งฝ่าบาทไว้เพคะ”
เซียวเหวินอวี๋บอกให้โจวโย่วจิ่นอุ้มองค์หญิงรองออกไป
โจวโย่วจิ่นรีบเข้าอุ้มองค์หญิงรองอย่างรวดเร็ว
องค์หญิงรองเห็นเซียวเหวินอวี๋ก็ดีใจ วิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้ “เสด็จพ่อ เสด็จมาหาซิงซิงแล้ว”
เซียวเหวินอวี๋อุ้มนางหันหลังเดินออกไป องค์หญิงรองเอ่ยอย่างตกใจว่า “เสด็จพ่อ จะทรงพาหม่อมฉันไปที่ใดเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เสด็จพ่อพาเจ้าไปหาพระสนมเนี่ยผินดีหรือไม่”
ทั้งสองคนเดินกันไปคุยกันไปได้ไม่ไกลนัก ฮองเฮาเข่าอ่อนทรุดอยู่กับพื้นร่ำไห้ดัง ครั้งนี้นางร้องไห้อย่างปวดร้าวปิ่มว่าจะขาดใจ
เซียวเหวินอวี๋ได้ยินเสียงร้องไห้ด้านหลัง แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉย อุ้มองค์หญิงรองขึ้นเกี้ยวหน้าตำหนักเฉาหยางกง
องค์หญิงรองได้ยินเสียงร้องไห้ด้านหลังดังแว่วมาก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา “เสด็จพ่อ เหมือนเสด็จแม่จะร้องไห้ เหตุใดนางจึงร้องไห้เพคะ”
“ซิงซิงฟังผิดแล้วกระมัง เสด็จพ่อไม่เห็นได้ยิน”
ซิงซิงสงสัย “ไม่ได้ยินจริงหรือเพคะ”
นางเงี่ยหูฟังอีกครั้ง ปรากฏไม่ได้ยินจริงๆ จึงอดหัวเราะไม่ได้ ท่าทางทั้งไร้เดียงสาและน่ารัก
เซียวเหวินอวี๋อุ้มซิงซิงไปตำหนักพระสนมเนี่ยผิน
เพราะในวังหลังมีพระสนมไม่มาก ดังนั้นนางกำนัลหลายคนก็จะอยู่รวมกันในตำหนักกลาง
พระสนมเนี่ยผินเองก็เช่นกัน นางได้ยินคนในวังรายงานก็รีบลุกออกไปรอรับเสด็จ
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นได้”