ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 985 อบรมสั่งสอน
ตอนที่ 985 อบรมสั่งสอน
เซียวเหวินอวี๋อุ้มซิงซิงเดินเข้ามานั่งในตำหนัก
เขามองประเมินพระสนมเนี่ยผิน พระสนมเนี่ยผินเข้าวังหลายปีมานี้สงบเสงี่ยมมาโดยตลอด ความจริงด้วยสถานะนาง หากในปีนั้นไม่เข้าวัง ก็แต่งกับตระกูลที่ดีได้ ปรากฏเพราะเขา ทำให้นางแต่งเข้าวังมาและสูญเสียเวลาในวัยแรกแย้มไปเช่นนี้
เพราะในใจรู้สึกผิด หลายปีมานี้หากมีเวลาก็จะไปนั่งในตำหนักพูดคุยกับพวกนางบ้าง
คนในวังจึงไม่กล้าล่วงเกินพวกนาง
แต่ระยะนี้เพราะเขากับฮองเฮาไม่ลงรอยกัน ดังนั้นสตรีวังหลังหลายคนก็มักจะปรากฏตัวต่อหน้าเขา ไม่ก็แสร้งทำบังเอิญ ไม่ก็ส่งน้ำแกงมา
พระสนมเนี่ยผินกลับไม่เคยทำเลย
เซียวเหวินอวี๋มองนาง เดาว่าอย่างไรหญิงผู้นี้ก็คงไม่ทำทารุณซิงซิง
พระสนมเนี่ยผินเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาด้วยเรื่องอันใดเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋มองไปยังซิงซิงในอ้อมกอดเขาพลางเอ่ยขึ้นว่า “วันหน้าเจ้าดูแลองค์หญิงรองได้หรือไม่”
พระสนมเนี่ยผินได้ฟังก็นิ่งอึ้งไป ยังคงตั้งสติไม่ทัน
เซียวเหวินอวี๋เห็นนางนิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใด คิดว่านางไม่ยินดี แต่ก็มิได้ตำหนินาง เพียงแค่ขมวดคิ้วครุ่นคิด หากพระสนมเนี่ยผินไม่ยินดี เขาก็ไม่คิดมอบองค์หญิงรองให้พระสนมอื่นในวังหลังดูแล เขาคิดส่งองค์หญิงรองไปตระกูลเซี่ยมอบให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ดูแล
ขณะเซียวเหวินอวี๋กำลังคิดอยู่ พระสนมเนี่ยผินก็ถามอย่างตื่นเต้นดีใจขึ้นว่า “ฝ่าบาทตรัสจริงหรือเพคะ”
นางกล่าวจบก็มองไปยังองค์หญิงรอง เด็กน้อยน่ารักกะพริบตาปริบๆ มองนาง นางน่ารักน่าเอ็นดู เช่นนี้ คล้ายลูกแมวน้อยเกาจิตใจพระสนมเนี่ยผินจนอ่อนยวบ
นางแทบจะแย่งอุ้มเด็กน้อยออกมาจากอ้อมแขนฝ่าบาท
อยู่ในวังหลายปีมานี้นางรู้สึกเหงา จิตใจแทบไร้ความรู้สึก ตอนนี้ฝ่าบาทพลันส่งหนูน้อยน่ารักเพียงนี้มาให้นางดูแล นางจะไม่ยินดีได้อย่างไร
เซียวเหวินอวี๋เงยหน้าเห็นพระสนมเนี่ยผินตื่นเต้นดีใจ ก็อดมองประเมินพระสนมเนี่ยผินอย่างละเอียดไม่ได้ พบว่านางดีใจจริงๆ
เซียวเหวินอวี๋ก็โล่งอก ยิ้มเอ่ยว่า “เราบอกว่าให้เจ้าดูแลก็ย่อมต้องจริง”
พระสนมเนี่ยผินแน่ใจแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ฝ่าบาทให้หม่อมฉันอุ้มองค์หญิงได้หรือไม่เพคะ”
เซียวเหวินอวี๋ปล่อยองค์หญิงลง
องค์หญิงรองกลับไม่ขยับ มองเซียวเหวินอวี๋อย่างไม่ค่อยเข้าใจ “เสด็จพ่อ เหตุใดหม่อมฉันต้องให้พระสนมเนี่ยดูแล เสด็จแม่ล่ะเพคะ”
เซียวเหวินอวี๋ยื่นมือไปลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง กล่าวว่า “น้องชายเจ้าป่วย เสด็จแม่เจ้าต้องดูแลเขา ดังนั้นวันหน้าเจ้าก็มาอยู่กับพระสนมเนี่ยผินดีไหม”
องค์หญิงรองได้ฟังเซียวเหวินอวี๋ก็ไม่ได้คิดอิจฉาริษยาแม้แต่น้อย นางชินกับการที่เสด็จแม่ลำเอียงรักน้องชายมากกว่าแล้ว
“เช่นนั้นก็ได้เพคะ เสด็จพ่อวางใจ หม่อมฉันจะเชื่อฟังเพคะ”
องค์หญิงรองรับรองแข็งขัน
เซียวเหวินอวี๋ยิ้มลูบศีรษะนาง “เสด็จพ่อจะมาเยี่ยมเจ้าบ่อยๆ”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
เซียวเหวินอวี๋มองไปยังพระสนมเนี่ยผิน “ดูแลองค์หญิงรองให้ดี”
“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
เพราะมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก เซียวเหวินอวี๋จึงลุกขึ้นพาคนกลับไป เขาเพิ่งจะเดินถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงพระสนมเนี่ยผินดังมา “เจ้าชื่อซิงซิงหรือ ข้าพาเจ้าไปเตรียมห้องกัน ซิงซิงชอบห้องแบบใด เรามาจัดด้วยกันดีหรือไม่”
องค์หญิงรองกล่าวอย่างดีใจว่า “หม่อมฉันอยากได้หน้าต่างชมพู ต้องการมุ้งสีชมพูลายดอก หม่อมฉันยังต้องการ…”
ทั้งสองคนพูดจาสนทนากัน
เซียวเหวินอวี๋ด้านนอกค่อยๆ หรี่ตาสั่งการโจวโย่วจิ่น “ส่งคนสองคนมาเฝ้าดูที่นี่ว่าพระสนมเนี่ยผินปฏิบัติต่อองค์หญิงรองอย่างไรบ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ตกค่ำ รัชทายาทรู้ข่าวฮองเฮาถูกกักบริเวณ อดนำคนไปเข้าเฝ้าเซียวเหวินอวี๋ไม่ได้
“เสด็จพ่อ ทรงกักบริเวณเสด็จแม่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเหวินอวี๋มองรัชทายาทอายุสิบปี รัชทายาทหน้าตาคล้ายหวังเมิ่งเหยามาก เห็นเขาก็เหมือนได้เห็นหวังเมิ่งเหยา อารมณ์เซียวเหวินอวี๋พลันเหมือนถูกกระทบ เขารู้ว่ารัชทายาทไม่ได้มีความผิดใด แต่เห็นรัชทายาทก็นึกถึงเรื่องที่หวังเมิ่งเหยากระทำ ทำให้เขาพลอยไม่อยากเห็นหน้ารัชทายาทไปด้วย
เซียวเหวินอวี๋รู้ว่าตนเองคิดเช่นนี้ผิดต่อเขา แต่เขาไม่อาจควบคุมตนเองได้ ยามนี้พยายามมองรัชทายาทด้วยแววตาอ่อนโยน
“เรากักบริเวณนาง เจ้ารู้ไหมว่าเสด็จแม่เจ้าทำเรื่องอันใด”
เซียวเหวินอวี๋ไม่คิดปิดบังรัชทายาทเรื่องที่ฮองเฮาเคยกระทำมา
“นางคิดหาทางให้เรากลับไปหานาง นางถึงกับลงมือกับน้องสาวเจ้าโดยไม่คิดทะนุถนอมนางแม้แต่น้อย น้องสาวเจ้าอายุยังน้อยเพียงนั้น นางถึงกับใส่ปาโต้วให้นางกินเพื่อให้เราไปเยี่ยมนาง นางยังแอบเขียนจดหมายไปหาท่านตาเจ้า ให้ท่านตาเจ้ากุมอำนาจทหารที่ด่านเยว่กู่กวนให้มั่น ปรากฏท่านตาเจ้าได้รับจดหมายนาง จึงได้ตัดสินใจการรบกับเป่ยฉีผิดพลาด ทำให้ทหารบาดเจ็บล้มตายเศร้าสลดไปถึงสองหมื่นนาย”
รัชทายาทได้ฟังเซียวเหวินอวี๋ก็เบิกตาโตตกใจ
เซียวเหวินอวี๋กวักมือเรียกรัชทายาทเข้าไปหา ตอนนี้เขากับฮองเฮาดังคนแปลกหน้าเดินไปคนละเส้นทาง เขาไม่อยากให้รัชทายาทต้องลำบากใจอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา ดังนั้นจึงคิดบอกรัชทายาทเรื่องระหว่างเขากับฮองเฮา
“ตอนนี้เจ้าอายุสิบปีแล้ว ในฐานะรัชทายาทก็คงรู้ความได้แล้ว เสด็จพ่อจะบอกเจ้าเรื่องระหว่างเสด็จพ่อกับเสด็จแม่เจ้า”
ผิดถูกอย่างไรก็ควรให้รัชทายาทรู้ เขาควรรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง
“ก่อนหน้านี้เสด็จแม่เจ้าอภิเษกกับเสด็จพ่อได้ก็เพราะตอนนั้นไท่ซั่งหวงให้ท่านย่าเจ้าเข้าวังมาช่วยเลือกพระชายาให้เรา ตอนนั้นเรายังเป็นท่านอ๋อง ท่านย่าเจ้าไม่ค่อยรู้จักสตรีในเมืองหลวง ไท่ซั่งหวงยังให้นางเป็นประธานเลือก นางจึงได้เลือกสตรีที่นางคุ้นเคยสามคน เดิมนางคิดให้ไท่ซั่งหวงเลือกเพียงหนึ่งมาเป็นพระชายา”
“ผู้ใดจะรู้ว่าไท่ซั่งหวงถึงกับเลือกพระชายาเอกและพระชายารอง ตอนนั้นคุณหนูตระกูลเผย ซึ่งก็คือเสด็จแม่ของเสด็จพี่หญิงเจ้าเป็นหลานสาวคนโตของโส่วฝู่ในสำนักมนตรี ตอนนั้นเราเพิ่งกลับเข้าวัง สถานะยังไม่มั่นคง ไท่ซั่งหวงคิดอาศัยอิทธิพลตระกูลเผยช่วยให้รากฐานเรามั่นคง ส่วนเสด็จแม่เจ้า นางเป็นบุตรีคนโตตระกูลหวัง ไม่ใช่ชนชั้นสูงศักดิ์ในเมืองหลวง เป็นกลุ่มที่จะถูกเลือกรอบหลัง แต่ท่านตาเจ้าเป็นแม่ทัพ ตอนนั้นเป็นที่ไว้วางพระทัยของไท่ซั่งหวงมาก ไท่ซั่งหวงจึงพระราชทานนางให้เป็นพระชายารอง เช่นนั้นเสด็จพ่อจึงได้รับการสนับสนุนทั้งจากขุนนางในราชสำนักและกองทัพ”
เซียวเหวินอวี๋เล่าหมดเปลือกเช่นนี้ก็เพื่อให้รัชทายาทเข้าใจ เรื่องทุกเรื่องของฮ่องเต้ล้วนต้องผ่านการพิจารณาอย่างดี ไม่ใช่ตนเองคิดทำอันใดก็ได้
เป็นครั้งแรกที่รัชทายาทได้ฟังเซียวเหวินอวี๋เล่าเรื่องราวในอดีต อดฟังจนตกในภวังค์ไม่ได้ เซียวเหวินอวี๋เห็นเขาตั้งใจฟังก็เล่าต่อ
“เดิมเราคิดว่าหญิงตระกูลเผย ในฐานะหลานสาวคนโตตระกูลเผย นางจะเหมาะสมกับการเป็นฮองเฮาที่สุด ผู้ใดจะรู้ว่านางถูกตระกูลเผยเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ มีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง สุดท้ายทำความผิดมหันต์ ตอนนั้นเราเห็นเสด็จแม่เจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา แม้เราไม่ดีต่อนาง นางก็ไม่ปริปากตำหนิแม้แต่คำเดียว กลับกันยังช่วยเราหลายเรื่อง เราจึงคิดจะดีต่อนาง ใช้ชีวิตร่วมกับนางให้ดี ต่อมาเราแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาแคว้นต้าโจว”
“ตอนเริ่มต้น เสด็จแม่เจ้าก็สงบเสงี่ยมวางตัวดี เป็นคนอ่อนโยน แต่พอผ่านไปสามสี่ปี นางก็เปลี่ยนไป วางตัวหยิ่งยโสต่อหน้าบรรดาฮูหยิน บรรดาฮูหยินไม่กล้าว่านางต่อหน้า แต่แอบวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังไม่น้อย นางไม่ใส่ใจเราไม่พอ ยังไม่สนใจห่วงใยบุตรตนเอง”
—————————