ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 991 เนรเทศ
ตอนที่ 991 เนรเทศ
สุดท้ายขุนนางครึ่งหนึ่งในราชสำนักคุกเข่าลงขอให้ซั่งกวนเฉินมีราชโองการเจรจาสันติกับแคว้นโจว อีกครึ่งหนึ่งยืนนิ่งไม่ขยับ คนเหล่านี้คิดการใหญ่เช่นเดียวกับซั่งกวนเฮ่อ พวกเขาคิดยึดครองแคว้นต้าโจว
พวกเขาเห็นขุนนางคุกเข่าในราชสำนักเช่นนี้ก็ไม่พอใจอย่างมาก
“รัชทายาทต้องการครอบครองใต้หล้า พวกเจ้าถึงกับกล่าวถึงรัชทายาทเช่นนี้ รวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้ แผ่นดินซีเหลียงเราก็จะได้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงตอนนั้นพวกเราเองก็จะได้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์เช่นกัน”
“ซีเหลียงเราประชากรน้อย ราษฎรมีชีวิตที่ไม่ดี พวกเราบุกโจมตีแคว้นต้าโจว รวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ราษฎรซีเหลียงมีชีวิตที่ดีขึ้น เข้าใจหรือไม่”
“แคว้นต้าโจวทรัพยากรอุดม ประชาร่ำรวย หากยึดครองแคว้นต้าโจวได้ ซีเหลียงเราก็จะร่ำรวยก้าวกระโดด”
คนที่คุกเข่าอยู่ในท้องพระโรงมองขุนนางที่เอ่ยเช่นนี้ด้วยสีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ นี่ไม่ใช่หลักการโจรหรือ เห็นคนอื่นมีของดีก็คิดแย่งชิง ถุย รวมแผ่นดินครองใต้หล้าอันใด ก็แค่ตนเองคิดเป็นใหญ่เท่านั้น ไม่คำนึงถึงราษฎรแม้สักนิด ไม่มองทหารว่าเป็นคนมีชีวิต
คนที่คุกเข่าไม่คิดโต้คารมกับคนเหล่านี้ หันไปมองซั่งกวนเฉิน “ขอฝ่าบาทมีราชโองการให้แม่ทัพหวงด่านชายแดนเจรจาสันติกับแคว้นต้าโจว วันหน้าพวกเรายินดีรักษาสันติภาพกับแคว้นต้าโจวตลอดไป”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซั่งกวนเฉินเหลือบมองซั่งกวนเฮ่อเย็นเยียบทีหนึ่ง จากนั้นก็กำลังจะมีราชโองการ
ซั่งกวนเฮ่อรีบเอ่ยขึ้นก่อนว่า “หม่อมฉันยินดีนำทัพไปช่วยแม่ทัพหวงที่ด่านชายแดนบุกโจมตีแคว้นต้าโจวพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวจบ ทุกคนก็รู้ว่ารัชทายาทยังคิดรบต่อ
ยามนี้ในใจซั่งกวนเฮ่อโมโหอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองจัดการได้เหมาะสมเช่นนั้น แม่ทัพหวงถึงกับไม่อาจคว้าชัย เช่นนี้เขาย่อมต้องนำทัพด้วยตนเอง
ซั่งกวนเฮ่อมีความมั่นใจในเรื่องนี้มาก ภพก่อนเขาเอาชนะกองทัพมากมาย รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง หรือว่ายังต้องกลัวแคว้นต้าโจวเล็กๆ นี่ด้วย
แต่แม้ว่าซั่งกวนเฮ่อมั่นใจ ทว่าฮ่องเต้ไม่เชื่อเขา และฮ่องเต้เองก็รักสันติ เขาไม่อยากทำสงคราม ดังนั้นมองไปยังซั่งกวนเฮ่อด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
“เจ้าไม่ได้ยินคำพูดเราหรือ สงครามครั้งนี้ทำทหารบาดเจ็บล้มตายไปเกือบหมื่นนาย เจ้ารู้ไหม เพราะการกระทำของเจ้าเช่นนี้ทำร้ายครอบครัวผู้คนไปมากมายเพียงใด หรือว่าคนตายไปมากมายเพียงนี้ เจ้ายังไม่ยอมเลิกรา ยังคิดให้คนตายมากขึ้นอีกหรือ ยามนี้แคว้นต้าโจวมั่งคั่งประชาร่ำรวย เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ พวกเราจะสู้พวกเขาได้อย่างไร เจ้ากำลังส่งทหารซีเหลียงเราไปตาย”
ซั่งกวนเฉินกล่าวจบก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่า ศึกนี้ไม่อาจรบต่อไปได้อีกแล้ว เขามองไปยังขุนนางในราชสำนักผู้หนึ่ง มีราชโองการว่า “เจ้ากรมคลังรับราชโองการ นำราชโองการไปด่านชายแดน เดินทางไปเจรจาสันติกับแคว้นต้าโจวพร้อมแม่ทัพหวง ซีเหลียงเรายินดีธำรงมิตรภาพกับแคว้นต้าโจวตลอดไป ไม่รุกรานแคว้นต้าโจว อีก”
เจ้ากรมมู่รีบรับพระบัญชา “ฝ่าบาท เพราะพวกเรายกทัพไปรุกรานแคว้นต้าโจวก่อน ทำให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้น กระหม่อมเกรงว่าแคว้นต้าโจวคงไม่ยินยอมเจรจา อาจจะต้องชดใช้ค่าสงครามพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เองก็รู้ว่าตนเองไร้เหตุผลก่อน ได้แต่ถอนหายใจกล่าวว่า “ขอเพียงแค่พวกเขายอมรับปาก พวกเรายินดีชดใช้”
ฮ่องเต้ตรัสจบ เจ้ากรมมู่ไม่ทันได้รับพระบัญชา
รัชทายาทซั่งกวนเฮ่อก็ส่งเสียงดังขึ้นก่อน “เสด็จพ่อ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
น่าเสียดายซั่งกวนเฮ่อเพิ่งกล่าวจบ คนที่เสนอความเห็นก่อนหน้านี้รีบรับพระบัญชาทันที “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
ฮ่องเต้โบกมือเลิกประชุม
สุดท้ายทุกคนไปกันแล้ว เหลือเพียงซั่งกวนเฮ่อกับขุนนางครึ่งหนึ่งที่ติดตามเขา คนเหล่านี้เห็นฮ่องเต้กับขุนนางส่วนหนึ่งที่เห็นด้วยกับการเจรจาสันติ แต่ละคนเดินล้อมซั่งกวนเฮ่อไปพลางกล่าวว่า “รัชทายาท หรือว่าจะทรงปล่อยไปเช่นนี้”
“หากปล่อยไปเช่นนี้ ที่พวกเราทำมาก่อนหน้านี้คงไร้ความหมาย นับประสาอันใดกับสงครามครั้งนี้ทำทหารบาดเจ็บล้มตายเกือบหมื่นนาย เรื่องพวกนี้หากแพร่ไปทั่วซีเหลียง เกรงว่าราษฎรคงต้องเดือดดาล ย่อมส่งผลกระทบต่อบารมีรัชทายาทอย่างมาก”
“ใช่ วันหน้าผู้ใดจะยังยอมฟังรับสั่งรัชทายาท”
ซั่งกวนเฮ่อได้ยินวาจาเหล่านี้ แทบจะฉีกหน้าซั่งกวนเฮ่อหมดสิ้น สีหน้าเขาดำทะมึนอย่างที่สุด โบกมือกล่าวว่า “พวกเจ้าออกจากวังหลวงไปได้แล้ว เราจะตัดสินใจเอง”
พอทุกคนไปกันแล้ว ซั่งกวนเฮ่อก็มองไปทางฮ่องเต้อย่างโมโหสุดขีด
เขาไม่มีทางยอมให้ฮ่องเต้ส่งคนไปเจรจาสันติที่ด่านชายแดนอย่างเด็ดขาด หากเป็นเช่นนี้ เขาก็คงไม่อาจธำรงบารมีน่าเกรงขามในซีเหลียงอีกต่อไป เพราะสงครามครั้งนี้ทหารบาดเจ็บล้มตายไปเกือบหมื่นนาย คนพวกนั้นต้องตามมาด่าทอเขาเป็นแน่
เขาไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นฮ่องเต้สมควรตายได้แล้ว
เพราะเรื่องเร่งด่วน ซั่งกวนเฮ่อไม่อาจสนใจอันใดมากมาย เขาจำเป็นต้องยับยั้งไม่ให้ซั่งกวนเฉินส่งคนไปเจรจาสันติที่ด่านชายแดน ดังนั้นซั่งกวนเฮ่อตัดสินใจว่าจะวางยาซั่งกวนเฉิน หากฮ่องเต้สิ้น เขาในฐานะรัชทายาทซีเหลียงย่อมได้ขึ้นครองราชย์ทันที ถึงตอนนั้นทุกเรื่องในซีเหลียงล้วนต้องฟังคำสั่งเขา
ซั่งกวนเฮ่อไม่รู้ว่ายามนี้ซั่งกวนม่อกำลังยืนอยู่ต่อหน้าซั่งกวนเฉิน ทูลเตือนเขาอย่างระมัดระวัง
“เสด็จพ่อ แต่ไรมาเสด็จพี่รัชทายาทมีใจคิดครองความเป็นใหญ่ เสด็จพี่เป็นคนหยิ่งยโสมาโดยตลอด คิดครอบครองใต้หล้านี้เพียงผู้เดียว เสด็จพ่อมีราชโองการยับยั้งเสด็จพี่ เกรงว่าเสด็จพี่อาจลงมือทำอันใดก็เป็นได้”
ซั่งกวนเฉินได้ฟังซั่งกวนม่อ ก็มีสีหน้าก็ย่ำแย่อย่างมาก รู้สึกโมโหมากเช่นกัน เพราะเขารู้สึกว่าแม้ซั่งกวนเฮ่อนิสัยน่ารังเกียจ แต่คงไม่ถึงกับวางยาเขา เพราะเขาเป็นเสด็จพ่อที่เลี้ยงดูอีกฝ่ายมาจนโต
ซั่งกวนเฉินมองซั่งกวนม่อด้วยแววตาเย็นเยียบ “เจ้าหก เจ้ามีจุดประสงค์ใดกันแน่”
ซั่งกวนม่อรีบเลิกชายชุดลงคุกเข่า “เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่มีความคิดอื่นใด เพียงแต่เป็นห่วงเสด็จพ่อเท่านั้น หากเสด็จพ่อเกิดเรื่องอันใด เกรงว่าเสด็จพี่รัชทายาทคงไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่”
ซั่งกวนม่อกล่าวจบ สีหน้าก็ซีดเผือด หน้าตาเหมือนหวาดกลัวซั่งกวนเฮ่อ
ซั่งกวนเฉินเงียบงันไปทันที ก่อนหน้านี้ก็มีองค์ชายห้ามา ตอนนี้องค์ชายหกก็มาอีก น้องชายเหล่านี้ดูท่าทางล้วนหวาดกลัวซั่งกวนเฮ่อ เหตุใดกัน แสดงให้เห็นว่าซั่งกวนเฮ่อไม่ใช่รัชทายาทผู้มีเมตตา หาไม่เช่นนั้นบรรดาน้องชายไยต้องหวาดกลัวเขาเช่นนี้
ซั่งกวนเฉินยิ่งไม่พอใจซั่งกวนเฮ่อ แต่หากจะบอกว่าซั่งกวนเฮ่อจะทำร้ายเขา เขาไม่มีทางเชื่อ
ซั่งกวนเฉินกำลังคิดจะเอ่ย นอกประตู มหาขันทีรับใช้ข้างกายซั่งกวนเฉินก็เดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท องค์หญิงแปดขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ซั่งกวนเฉินชอบซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนมาก ยกมือสั่งทันที “ให้นางเข้ามา”
กล่าวจบก็ให้ซั่งกวนม่อกลับไป ซั่งกวนม่อนิ่งเงียบ ขอบพระทัยในพระเมตตาก่อนทูลลา
ตอนซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเดินผ่านเขาไป สองพี่น้องไม่ได้สบตากันแม้แต่น้อย
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนถวายคำนับซั่งกวนเฉินรวดเร็ว “หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จพ่อ เสด็จพ่อทรงพระเจริญ”
ซั่งกวนเฉินมองซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เจ้ามาด้วยเรื่องอันใด”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนขออภัยโทษต่อซั่งกวนเฉินก่อนเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเก็บดอกไม้อยู่ในอุทยานหลวง เตรียมทำน้ำแกงดอกไม้ ปรากฏได้ยินพวกขันทีวิพากษ์วิจารณ์กันว่าซีเหลียงเปิดศึกกับแคว้นต้าโจว ซีเหลียงพวกเราพ่ายแพ้ยับเยิน เสด็จพ่อมีราชโองการให้ใต้เท้ามู่เหลียงเจ้ากรมคลังไปเจรจาสันติ หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อ ดังนั้นจึงได้มาเข้าเฝ้าเพคะ”
ซั่งกวนเฉินได้ยินวาจานี้ ก็โมโหมาก “ดูท่าเราต้องกำราบวังหลังให้ดีแล้ว”
ประชุมท้องพระโรงยามเช้าเพิ่งจะเลิกประชุม ในวังหลังถึงกับมีข่าวเช่นนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวังหลังเขาเหมือนกับกำแพงมีรู
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนมองไปยังซั่งกวนเฉินด้วยอาการขอบตาแดงเล็กน้อย กล่าวว่า “เสด็จพ่อ หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อ”
ซั่งกวนเฉินเห็นนางทำท่าทางราวกับจะร้องไห้ก็ทนไม่ไหวเอ่ยว่า “เจ้าเป็นห่วงเสด็จพ่อทำไมกัน”
กล่าวจบ เขาพลันคิดถึงเรื่องที่ซั่งกวนม่อมาบอกกับเขา หรือว่าองค์หญิงแปดก็เป็นห่วงว่ารัชทายาทจะลงมือกับเขา เป็นไปได้อย่างไร
“ลูกแปด เจ้า?”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนลงคุกเข่า “เสด็จพ่อ แม้ว่าหม่อมฉันไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับเสด็จพี่รัชทายาท แต่ก็รู้นิสัยเขา เขาเป็นคนแข็งกร้าวอย่างมาก คิดว่าใต้หล้านี้ตนเองฉลาดที่สุด ในเมื่อเขาตัดสินใจยกทัพบุกแคว้นต้าโจว เพื่อยึดครองใต้หล้า ย่อมไม่มีทางปล่อยให้คนมาเปลี่ยนแปลงแผนการเขา ตอนนี้เสด็จพ่อมีราชโองการเจรจาสันติ เกรงว่าเสด็จพี่รัชทายาทไม่มีทางยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเพคะ”
ฮ่องเต้ได้ยินนิสัยรัชทายาท หากเป็นดังที่องค์หญิงแปดพูดจริง ดังนั้นเพื่อให้ตนเองได้ขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ซีเหลียง รัชทายาทอาจลงมือวางยาเขาจริงหรือ อีกฝ่ายคิดวางแผนจัดการเขาจริงหรือ
ซั่งกวนเฉินสีหน้าดุดัน ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนจึงรีบกล่าวว่า “หม่อมฉันไม่อยากให้เสด็จพ่อเกิดเรื่องอันใดเพคะ เสด็จพ่อเพคะ เราจะไม่ป้องกันจิตใจคนไม่ได้นะเพคะ พวกเราป้องกันไว้ก่อน หากเสด็จพี่รัชทายาทไม่ได้ทำอันใดก็แสดงให้เห็นว่าพวกเราใช้จิตใจคนชั่วมาวัดจิตใจคนดี แต่หากเกิดเรื่องอันใดจริง พวกเราป้องกันไว้ก่อนเป็นดีนะเพคะ”
ซั่งกวนเฉินคิดแล้วก็เห็นด้วย สุดท้ายก็ตกลง
คืนนั้น ซั่งกวนเฉินไอเป็นโลหิตในตำหนัก จากนั้นก็สลบไป
รัชทายาทซั่งกวนเฮ่อได้ข่าวก็รีบล้อมตำหนักบรรทมซั่งกวนเฉิน
พระสนมในวัง ขุนนางในราชสำนัก ได้ข่าวนี้ต่างก็พากันมาถึงตำหนัก แต่ผู้ใดก็ไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ล้วนถูกกันอยู่นอกตำหนักบรรทม
ในห้องบรรทม รัชทายาทซั่งกวนเฮ่อสั่งให้หมอหลวงตรวจพระอาการให้ฝ่าบาท ปรากฏไม่รอให้หมอหลวงตรวจ ฮ่องเต้บนเตียงที่เดิมควรสลบอยู่พลันลืมตาขึ้นจ้องมองซั่งกวนเฮ่อ
“รัชทายาท เจ้าเดรัจฉาน ถึงกับวางยาเรา เราเป็นเสด็จพ่อที่เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ เจ้ายังจำได้หรือไม่”
ซั่งกวนเฮ่อคิดไม่ถึงว่าซั่งกวนเฉินถึงกับไม่ได้ถูกพิษ เขาไม่ได้ถูกพิษ แต่แสร้งถูกพิษ แสดงให้เห็นว่าสงสัยเขา หากซั่งกวนเฉินไม่ตาย ผู้ที่ต้องตายก็คือเขา
ซั่งกวนเฮ่อชักกระบี่ออกมาพุ่งเข้าใส่ซั่งกวนเฉินทันที นี่เป็นการเคลื่อนไหวด้วยสัญชาตญาณทั้งสิ้น สมองเขาไม่ทันได้คิดการอันใดมากมาย
พอซั่งกวนเฮ่อลงมือ ก็มีคนพุ่งออกมาอารักขาฮ่องเต้จากสี่ทิศทางของตำหนักบรรทม พร้อมกับมีคนส่งเสียงตะโกนดังขึ้นว่า “ไม่ได้การแล้ว รัชทายาทลอบสังหารฝ่าบาท รัชทายาทกบฏ รีบอารักขาฝ่าบาท”
คนด้านนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านใน ก็บุกเข้ามาในห้องบรรทมทันที
ครั้งนี้ซั่งกวนเฮ่อเข้าวังนำลูกน้องมาไม่น้อย แต่เพราะซั่งกวนเฉินเตรียมการไว้แล้ว ดังนั้นแม้ลูกน้องเขาร้ายกาจมาก แต่ก็ยังคงถูกสังหารทิ้งไปไม่น้อยเช่นกัน ซั่งกวนเฮ่อถูกคนจับตัวไว้ได้
ซั่งกวนเฉินเดินลงจากเตียง จ้องมองซั่งกวนเฮ่อด้วยสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง “เจ้าเนรคุณ เจ้าคิดให้เราตายเพียงนี้หรือ เราดีต่อเจ้าไม่พอหรือ”
ซั่งกวนเฮ่อจ้องมองซั่งกวนเฉินด้วยแววตาแดงก่ำ “ทรงดีกับหม่อมฉัน แต่ยังทรงป้องกันหม่อมฉัน คิดวางแผนล่อหม่อมฉันหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซั่งกวนเฉินแทบโมโหตาย หากไม่ใช่องค์ชายหกกับองค์หญิงแปดพากันมาเตือนเขา วันนี้เขาคงถูกเจ้าเนรคุณสังหารทิ้งไปแล้ว
เจ้าลูกเนรคุณวางยาในอาหารค่ำของเขาและยังคิดสังหารเขาในห้องบรรทม หากสังหารเขาไม่ได้ จะไม่ยอมเลิกราใช่หรือไม่
ในใจซั่งกวนเฉินคั่งแค้นใจอย่างมาก เอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “รัชทายาทกบฏ ไม่คู่ควรเป็นรัชทายาทซีเหลียง ปลดเป็นสามัญชน โทษ…”
ซั่งกวนเฉินเดิมคิดเอ่ยปากว่าโทษประหาร ปรากฏว่าคิดถึงเรื่องเมื่อก่อนของตนเองกับซั่งกวนเฮ่อ ขึ้นมา สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยคำว่าประหารออกมา เปลี่ยนเป็นคำว่า “ปลดเป็นสามัญชน พระราชทานอู่ซินเฝิน ส่งซั่งกวนเฮ่อไปเฝ้าสุสานหลวง”
อู่ซินเฝินก็คือยาพิษที่ทำให้อวัยวะภายในทั้งห้าร้อนราวกับเปลวไฟแผดเผา แม้ไม่ถึงตาย แต่ก็ต้องทนรับทุกข์ทรมานแสนสาหัส
แต่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ไม่ได้มีคนรู้สึกว่าเขาโหดเหี้ยม ยังรู้สึกว่าเขาเมตตา เพราะรัชทายาทคิดสังหารเขา
แต่รัชทายาทไม่คิดเช่นนี้ เขาดิ้นรนเงยหน้ามองฮ่องเต้ “เราไม่มีวันซาบซึ้งใจ”
เขากล่าวจบ มหาขันทีข้างพระวรกายซั่งกวนเฉินก็บีบคางเขา พร้อมกับกรอกยาพิษอู่ซินเฝินใส่ปากเขา จากนั้นซั่งกวนเฉินก็มีราชโองการ “รีบส่งซั่งกวนเฮ่อไปเฝ้าสุสานหลวง”