ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 999 หงุดหงิดน่าเบื่อ
ตอนที่ 999 หงุดหงิดน่าเบื่อ
ลู่เจียวไม่ได้เอ่ยถึงสถานะองค์หญิงแปดซีเหลียงของซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนออกมา เพียงบอกกับทุกคนว่าซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเป็นบุตรสาวบุญธรรมคนใหม่ของนาง
ลู่เจียววางแผนไว้แล้วว่า รอให้ทูตซีเหลียงกับเป่ยฉีไปแล้ว พวกนางก็จะพาซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนไปอยู่เมืองหนิงโจว วันหน้านางจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของลูกๆ นางอีกแล้ว พวกเขาโตกันแล้ว เรื่องของตนเองก็ควรตัดสินใจด้วยตนเอง
ลู่เจียวกำลังคิดอยู่ พระชายาหลู่ก็ยื่นมือไปคว้ามือซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนมามองประเมินพลางเอ่ยชมว่า “งามจริง บอกว่างามล่มเมืองก็ไม่มากเกินไป”
“ใช่ ไม่เคยเห็นสาวงามเช่นนี้มาก่อน จะไปหาชายที่คู่ควรกับนางได้จากที่ใดกัน”
“ไม่เพียงแต่รูปโฉมงดงาม แม้แต่สง่าราศีก็ดีมาก”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนรูปโฉมงดงาม แต่มิใช่งามแบบนางปีศาจจิ้งจอก นางงามด้วยสง่าราศี กิริยาท่าทางมีท่วงทำนอง สตรีได้เห็นนางก็รังเกียจไม่ลง แน่นอนว่านอกจากสตรีที่มีใจคิดเป็นอื่น
พระชายาหลู่กล่าวจบ คนอื่นก็พากันเห็นด้วย ฮูหยินอี้หย่งโหวมองซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนด้วยแววตาสับสน คิดถึงเรื่องที่บุตรสาวเคยให้นางทำ นางก็ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอันใดดี
แม้ฮูหยินอี้หย่งโหวเป็นมารดาแท้ๆ ของฮองเฮา แต่เห็นได้ชัดว่าดำรงตนสงบเสงี่ยม เรื่องที่เกิดขึ้นกับฮองเฮาในวัง ฮูหยินขุนนางในราชสำนักหลายคนต่างรับรู้ และพวกนางไม่น้อยก็พากันสะใจ เพราะก่อนหน้านี้ฮองเฮามักอวดตนเองต่อหน้าพวกนาง วางท่าทางสูงส่งในฐานะฮองเฮาของตนเองเหนือผู้อื่น
ทำให้บรรดาฮูหยินไม่พอใจกันอย่างมาก เพียงแต่เพราะบารมีฮองเฮา ทำให้พวกนางไม่กล้าเอ่ยอันใดมาก ได้แต่แอบคุยกันลับหลัง
เช่นว่า ฮองเฮาวางท่าวางทางสูงส่ง กลับไม่ได้สง่างามดังพยัคฆ์ แต่กลับดังสุนัข ในฐานะฮองเฮาควรเปล่งบารมีที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเคารพจากใจจึงจะถูกต้อง การวางตนสูงส่งเหนือผู้อื่นไม่อาจทำให้ผู้คนยอมสยบใต้บารมีอย่างแท้จริงได้
เดิมตระกูลหวังจัดอยู่ในตระกูลระดับล่าง อาศัยความชอบจากการศึกของขุนพลหวังจึงก้าวเดินมาถึงวันนี้ ฮองเฮาไม่ได้ถูกอบรมมาอย่างบรรจงแต่เล็ก ดังนั้นการรับรู้เรื่องพิธีการจารีตอันใดก็ไม่ได้ระดับที่ควรเป็น
หากนางเดินไปบนเส้นทางใกล้ชิดประชา ไม่แน่ว่าอาจดีกว่านี้ แต่นางกลับวางท่าทางฮองเฮาสูงส่ง ทำให้บรรดาฮูหยินเห็นแล้วก็รู้สึกว่านางเป็นตัวตลกที่คลุมทับด้วยเสื้อผ้าสวยหรู
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเห็นทุกคนในพระที่นั่งชมนาง ก็ยิ้มเอ่ยด้วยท่าทีไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง แต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อยว่า “ขอบคุณฮูหยินทุกท่านที่เอ่ยชม รูปโฉมล้วนมาจากบิดามารดา ไม่ใช่สิ่งที่ควรชื่นชม ตู้เยี่ยนรับไว้ด้วยความละอายยิ่ง”
วาจาเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มละมุน ทำให้ผู้คนไม่อาจเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อนาง
บรรดาฮูหยินได้เห็นสง่าราศีนางเช่นนี้ ก็ตัดใจปล่อยนางไปไม่ได้
“เด็กคนนี้ดีจริงๆ ข้าเห็นแล้วรู้สึกชอบมาก”
“ข้าเองก็ชอบ”
ในพระที่นั่งคุยกันครึกครื้น ฮูหยินอี้หย่งโหวเห็นแล้วก็เฝื่อนขมในใจไม่น้อย บุตรสาวนางแม้เป็นฮองเฮา แต่ไม่ได้รับความชื่นชมจากบรรดาฮูหยินเช่นนี้ หญิงสาวนามตู้เยี่ยนผู้นี้กลับทำได้อย่างง่ายดาย
ฮูหยินอี้หย่งโหวเห็นนางเช่นนี้ ในสมองพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หญิงสาวผู้นี้เหมาะสมกับฝ่าบาทมาก
แต่พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็รีบขจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว หากหญิงผู้นี้เหมาะกับฝ่าบาท บุตรสาวนางจะทำอย่างไร หลานๆ นางจะทำอย่างไร
ฮูหยินอี้หย่งโหวคิดถึงบุตรสาวที่ถูกกักบริเวณแล้วคิดอยากด่าทอนางยกหนึ่ง เหตุใดนางกับฝ่าบาทจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เห็นอยู่ว่าเมื่อก่อนนั้นดีมาก หากไม่ใช่ว่าดีมาก เหตุใดฝ่าบาทจึงได้มีบุตรกับนางถึงสามคน
ทุกคนในพระที่นั่งกำลังคุยกันครึกครื้น นอกพระที่นั่ง ขันทีก็ส่งเสียงดังเข้ามา “ฝ่าบาทเสด็จ ทูตซีเหลียงมา ทูตเป่ยฉีมา”
ทุกคนเดินเข้ามาในพระที่นั่งทั้งขบวน
คนที่เดินนำมาก็คือฮ่องเต้เซียวเหวินอวี๋แคว้นต้าโจว ด้านหลังเขามีทูตซีเหลียงและขุนนางใหญ่ในราชสำนักหลายคนตามมา
นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ยังมีชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อตัวสั้นแขนกุดขนสัตว์ คนเหล่านี้โครงหน้าลึกกว่าชาวแคว้นต้าโจวและซีเหลียง เบ้าตาลึก มีกลิ่นอายต่างชาติพันธุ์
แต่ในบรรดาคนเหล่านี้มีชายหนุ่มอายุไม่มากผู้หนึ่งสะดุดตายิ่ง
เขาร่างสูงหนึ่งเมตรเก้า อยู่ในชุดคลุมยาว ด้านนอกชุดยังห้อยแถบหนังเสือ ทำให้ดูแล้วรูปงามแบบดิบเถื่อน
เพียงแต่พอเขาปรากฏตัว ลู่เจียวก็ต้องตกตะลึง เพราะคนผู้นี้หน้าตาเหมือนกับฮ่องเต้โหดจีซิวภพก่อน
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนสังเกตเห็นสีหน้าลู่เจียวก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “ท่านแม่ เป็นอันใดหรือ”
ลู่เจียวได้สติ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีอันใด”
นางกล่าวจบก็พาบรรดาฮูหยินไปรอรับที่หน้าประตูตำหนัก เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็พาขุนนางในราชสำนักไปรอที่หน้าประตูตำหนักเช่นกัน
ทุกคนเดินมาถึงตรงหน้าเซียวเหวินอวี๋ ค่อยๆ คุกเข่าลง “ถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี”
เซียวเหวินอวี๋เหลือบตาขึ้น มองไปยังร่างสาวงามร่างอรชรในชุดม่วงอ่อนด้านหลังลู่เจียว หญิงผู้นี้ยามนี้หลุบตาก้มหน้าไม่มองเขา แต่เขากลับมองเห็นลำคองามละมุนของนาง แลดูบอบบางและเต็มไปด้วยกลิ่นอายดึงดูดใจ
เซียวเหวินอวี๋เม้มปากเดินเข้าไปประคองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว เอ่ยขึ้นว่า “ทุกคนลุกขึ้นได้ วันนี้ทูต ซีเหลียงกับทูตเป่ยฉีมาเจรจาสันติ วันนี้พวกเราร่วมวงครื้นเครงไปด้วยกัน ไม่ต้องมากพิธีรีตอง”
แม้ว่าฝ่าบาทกล่าวเช่นนี้ แต่ขุนนางในราชสำนักกลับไม่กล้าปล่อยตัวตามสบาย แต่ละคนทูลพร้อมกันกันว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ขอบพระทัยเสร็จ ทุกคนก็ลุกขึ้น เซียวเหวินอวี๋พาทูตซีเหลียงกับทูตเป่ยฉีเดินเข้าไป
ชายหนุ่มที่เดินนำกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนสิบสองชนเผ่า เดินมาถึงหน้าลู่เจียว จ้องมองนางอย่างแปลกใจครู่หนึ่ง ลู่เจียวเงยหน้ามองเขา ทั้งสองคนสบตากัน ในเวลานั้นเองก็คล้ายว่าย้อนกลับไปเมื่อภพก่อน
ผู้ชายคลี่ยิ้ม ลู่เจียวมองเห็นรูปปากเขาเอ่ยเรียก ท่านแม่
ลู่เจียวพลันรู้ทันที คนผู้นี้เป็นดังที่นางคาดเดา ก็คือจีซิวในภพก่อนข้ามภพมา คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับไปอยู่ในกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนสิบสองชนเผ่าเป่ยฉี
แต่คนผู้นี้กลับไม่พูดอันใดกับลู่เจียวต่อหน้าคนอื่น พาทูตเป่ยฉีเดินตามเซียวเหวินอวี๋เข้าพระที่นั่งไป
งานเลี้ยงในวังเริ่มขึ้น ครั้งนี้ทูตซีเหลียงกับทูตเป่ยฉีต่างมาเจรจาสันติด้วยความจริงใจ ดังนั้นงานเลี้ยงในวังสามแผ่นดินเจริญไมตรี แม้แต่เซียวเหวินอวี๋ให้สองแคว้นชดใช้ค่าเสียหายจากสงครามหนึ่งแสนตำลึง สองแคว้นก็ไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธอันใด
แต่เห็นได้ชัดว่าคืนนี้เซียวเหวินอวี๋ดื่มมากอยู่สักหน่อย ตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์ ไม่ค่อยได้ดื่มสุรามากมายเช่นนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่บุตรชายผู้นี้ขึ้นครองราชย์มาถึงวันนี้ ก็ระมัดระวังตนเองมาตลอด เหตุใดวันนี้ ผู้ใดมาคารวะสุราก็ดื่มทุกจอกเช่นนี้
แน่นอนว่าไม่ได้ดื่มหมดจอก แต่ไม่ว่าผู้ใดมาคารวะสุราเขาก็จะจิบเล็กน้อย แต่แม้เช่นนี้ ก็ยังดื่มไปไม่น้อย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสบตากับลู่เจียวทีหนึ่งอย่างรู้สึกเป็นห่วง บางทีผู้อื่นคิดว่าเซียวเหวินอวี๋ดีใจที่สามแคว้นเจริญสัมพันธไมตรีจึงได้ดื่มสุรา แต่พวกเขารู้ว่าเพราะเขาอารมณ์ไม่ดีจึงได้ดื่มสุรา
หรือเป็นเพราะฮองเฮากับรัชทายาท ดังนั้นจึงอารมณ์ไม่ดี
คิดถึงว่าฮองเฮากับรัชทายาท เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวก็ไม่รู้ว่าควรเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรดี
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกระซิบข้างหูลู่เจียว “เอาละ เรื่องของพวกเขา พวกเราไม่ยุ่งแล้ว รอให้ทูตซีเหลียงกับทูตเป่ย ฉีออกจากเมืองหลวง พวกเราก็รีบเดินทางกลับเมืองหนิงโจว วันหน้าเรื่องของพวกเขา พวกเราอย่าได้สนใจอีก ปล่อยพวกเขา อยากทำอันใดก็ตามใจ”
——————————————–