ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 10 น้ำแกงผัก
ตอนที่หลิวจินเป่าย่องเข้ามานั้น ฉินเหยากำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ในห้องครัวกึ่งเปิดโล่ง
วันนี้รองเท้าฟางหนึ่งคู่แลกได้ผักใบเขียวหนึ่งกำกับบวบหนึ่งลูก ฉินเหยาไม่ได้กินผักสดมานานจนน้ำลายแทบไหลแล้ว
ก่อไฟตั้งหม้อ ตักน้ำหนึ่งกระบวยใส่ลงไป พอน้ำเดือดใส่บวบลงไปก่อน แล้วค่อยใส่ผักใบเขียวที่ล้างแล้วครึ่งกำ ต้มเป็นน้ำแกงผัก
ฉินเหยาไม่ได้เข้าครัวมาเป็นสิบปีแล้ว สมัยวันสิ้นโลกผู้คนกินแต่เสบียงแห้ง นานๆ ทีจะต้มน้ำเพื่อลวกบะหมี่สำเร็จรูป ดังนั้นทักษะทำอาหารของฉินเหยาจึงแทบเรียกได้ว่าไม่มีเลย
แต่พอสี่พี่น้องตระกูลหลิวเห็นหม้อน้ำแกงนั้น ดวงตาก็เปล่งประกาย กลืนน้ำลายไม่หยุด ราวกับในหม้อคือน้ำแกงเลิศรสจากสวรรค์อย่างนั้น
ในบ้านไม่มีน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูใดๆ ฉินเหยาค้นเจอไหดินเล็กๆ มีคราบเกลือเกาะผนังด้านในชั้นหนึ่งจึงใช้น้ำร้อนลวกให้ละลายผสมลงไปในหม้อ พอให้มีรสชาติขึ้นมาได้บ้าง
ฉินเหยาตักน้ำแกงขึ้นมาลองชิมหนึ่งช้อน ผักที่ชาวบ้านปลูกเองนี่ไม่เหมือนผักในโรงเรือนจริงๆ น้ำแกงหวาน ผักสด อร่อยมากเกินคาด!
“ท่านแม่ อร่อยไหม” ซื่อเหนียงกลืนน้ำลายถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
ฉินเหยายิ้มให้พวกเขา ส่งสัญญาณให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลางเตรียมชามแล้วแบ่งน้ำแกงในหม้อออกเป็นห้าส่วน ครอบครัวห้าคน ได้ไปคนละถ้วย
ในค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วง ได้ซดน้ำแกงผักร้อนๆ คนละถ้วย แกล้มด้วยเผือกต้ม ไม่มีอะไรจะสุขใจไปกว่านี้อีกแล้ว
ซานหลางกระซิบเบาๆ “พี่ใหญ่ หากได้กินน้ำแกงผักกับเผือกทุกวันก็คงดีนะ”
ต้าหลางลูบหัวน้องชายเบาๆ บอกให้รีบกิน อย่าคิดมาก
เอ้อร์หลางถลึงตาใส่น้องชาย “ไม่ได้เรื่อง แค่น้ำแกงผักถ้วยเดียวก็พอใจแล้วหรือ ข้าน่ะไม่ใช่! ต่อไปข้าจะกินข้าวขาวร้อนๆ กับเนื้อติดมันให้ได้เลย!”
ฉินเหยานึกว่าเขาจะพูดถึงปณิธานยิ่งใหญ่อะไร พอฟังจบก็เลิกคิ้ว เท่านี้หรือ?
แต่มองตามสภาพความเป็นอยู่ของหมู่บ้านตระกูลหลิวแล้ว ข้าวขาวกับเนื้อมันๆ ก็ถือว่าหรูหราที่สุดแล้ว
สำหรับบ้านของหลิวเหล่าฮั่น ต่อให้เป็นวันปีใหม่หรือเทศกาลก็ใช่ว่าจะได้กินข้าวขาวเต็มชามกับเนื้อมันฉ่ำสักสองชิ้นเสมอไป
เมื่ออิ่มท้องแล้ว ฉินเหยาบอกให้เด็กโตสองคนช่วยกันดูแลล้างหน้าล้างตาให้เด็กเล็กทั้งสองเสร็จแล้วค่อยมาช่วยนางปั่นเชือกฟางต่อ
แม้ว่ากำลังของสองพี่น้องจะน้อย แต่หากฝึกฝนไปเรื่อยๆ เชือกฟางที่พวกเขาปั่นก็พอใช้ได้
ฉินเหยาหยิบโครงรองเท้าที่นางทำขึ้นเองมาวางข้างแสงไฟแล้วเริ่มลงมือสานรองเท้าฟาง
ก่อนหน้านี้เพื่อความสะดวก นางทำรองเท้าชนิดคีบ ใส่ในชีวิตประจำวันพอได้ แต่หากจะลงไร่ลงนา รองเท้าแบบเปิดเท้าคงไม่เหมาะนัก
ดังนั้นคราวนี้นางจะสานรองเท้าฟางแบบหุ้มเท้า
เมื่อทำให้ประณีตขึ้น ความเร็วก็ย่อมช้าลงตามไปด้วย แต่คำนึงถึงสภาพตลาดในหมู่บ้านตระกูลหลิวแล้ว ฉินเหยายอมลงทุนลงแรงมากหน่อย
หากขายในหมู่บ้านตระกูลหลิวไม่ได้ก็เอาไปขายหมู่บ้านอื่น อย่างไรก็ต้องมีคนอยากได้บ้าง
ที่จริงในหมู่บ้านมีคนสานรองเท้าฟางเป็นไม่น้อย แต่คนมีเวลาว่างมาทำจริงๆ มีไม่มาก ประกอบกับช่วงนี้เป็นฤดูเพาะปลูกปลายฝนต้นหนาว ชาวบ้านต่างเร่งมือทำไร่ไถนากันสุดกำลัง ทำให้ฉินเหยาฉวยโอกาสช่องว่างนี้ได้
ส่วนที่นาของหลิวจี้สองหมู่นั้น… เอาไว้ค่อยว่ากัน ตอนนี้การได้อิ่มท้องสำคัญกว่า
เผือกบนภูเขาพวกนั้นไม่เพียงพอให้พวกนางผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้ทั้งหมด
พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเหยาก็ไม่ใส่ใจกับฝ่ามือที่ร้อนผ่าว เร่งมือสานรองเท้าให้เร็วขึ้น
บ้านหลิวจี้อยู่ไม่ไกลจากริมฝั่งแม่น้ำ เสียงน้ำไหลเอื่อยดังชัดเจน ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์กลมโตส่องแสงนวลลงสู่สายน้ำ เป็นประกายระยิบระยับ
บนภูเขารอบด้านเงียบสงบ ฉินเหยาสูดหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง ใจก็พลอยสงบลงไปด้วย
นางชอบสภาพแวดล้อมในตอนนี้อย่างยิ่ง
แม้ยามค่ำคืนยังคงหลับไม่สนิท พอมีเสียงลมพัดหรืออะไรมากระทบนางก็สะดุ้งตื่นลุกขึ้นนั่ง แต่เมื่อตั้งสติได้ว่าตนไม่ได้อยู่ในวันสิ้นโลกแล้วก็รู้สึกโชคดีนัก
ฉินเหยาช้อนตามองไปทางริมฝั่ง เห็นเงาร่างเล็กๆ กำลังก้าวเท้าโซเซกลับเข้าไปในหมู่บ้านภายใต้แสงจันทร์
ที่จริงแล้ว ทันทีที่เด็กคนนั้นเข้ามาใกล้ นางก็รู้ตัวแล้ว
ดูเหมือนจะเป็นลูกบ้านพี่ใหญ่ของหลิวจี้ น่าจะชื่อหลิวจินเป่า
ไม่รู้ว่าเขามาทำอะไร แอบอยู่หลังพุ่มไม้เตี้ยหลังบ้าน ไม่ได้มาหาพวกนางและก็ดูไม่เหมือนมาขอสิ่งของ
ดังนั้นฉินเหยาจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ คอยดูว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวเล็กนั่นจะแค่นั่งยองๆ ดูพวกนางกินข้าวเย็นเสร็จก็วิ่งกลับไป
ฉินเหยารู้สึกงงงวยอยู่บ้าง แต่ก็ทำเพียงก้มหน้าสานรองเท้าฟางต่อไป
แน่นอน อาจเป็นเพราะหลิวเหล่าฮั่นพบว่าฟางในนาถูกขนไปจนเกลี้ยงเลยส่งเด็กนั่นมาสืบดูก็ได้
แต่ฟางพวกนั้นถูกสานเป็นรองเท้าฟางไปแล้ว มาดูก็เปล่าประโยชน์
นอกจากฉินเหยา ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลิวจินเป่าเคยมาที่นี่ ต้าหลางกับเอ้อร์หลางดูแลน้องชายกับน้องสาวเสร็จ กล่อมให้พวกเขาขึ้นเตียงนอนก่อนแล้วทั้งสองก็รู้ความพอที่จะนั่งล้อมเตาไฟ อาศัยแสงไฟช่วยกันทำงานต่อ
พอทำไปจนดึก ทั้งสองก็เริ่มสัปหงก หัวขยับขึ้นลง
ฉินเหยาเรียกให้ทั้งสองตื่น บอกให้พวกเขาขึ้นเตียงไปนอน
“ท่านน้า แล้วท่านเล่า” ต้าหลางขยี้ตา ฝืนความง่วงถามด้วยความเป็นห่วง
ฉินเหยายังคงไม่หยุดมือ “ข้าสานคู่นี้เสร็จก็จะนอนแล้ว พวกเจ้าไปนอนเถิด พรุ่งนี้เช้าตื่นมาช่วยกันไปเก็บฟืนที่หลังเขาหน่อย ฟืนที่บ้านหมดแล้ว”
ฉินเหยาคิดอีกว่า หากจะผ่านหน้าหนาวไปให้ได้ ตอนนี้คงต้องกักตุนฟืนเอาไว้จึงเสริมอีกว่า “ตอนเช้าเรียกข้า ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย”
สองพี่น้องรับคำ ก่อนจะทนง่วงไม่ไหว เข้าไปในห้อง พอหัวถึงหมอนก็หลับสนิททันที
เมื่อฉินเหยาสานรองเท้าคู่ที่สี่เสร็จ แสงไฟสุดท้ายในเตาก็ดับมอดลง
นางเก็บรองเท้าฟางสำหรับผู้ชายสี่คู่ที่ทำเสร็จแล้วเข้าบ้าน ใส่กลอนประตูแล้วอาศัยแสงจันทร์ที่เหลืออยู่น้อยนิดเข้าสู่ห้วงนิทราไป
หลับไปได้ไม่นาน ราวกับความฝันยังไม่ทันจบ ประตูห้องก็ถูกเคาะอย่างแผ่วเบา
“ท่านน้า ท่านน้า?” เสียงเรียกแผ่วๆ ดังจากหน้าประตู
สองพี่น้องเอ่ยเรียกเสียงเบาอยู่หน้าห้อง หากฉินเหยาไม่ใช่คนตื่นง่ายและระวังตัวสูง คงไม่ได้ยิน
“รอเดี๋ยว มาแล้วๆ!” ฉินเหยาตอบพลางลุกขึ้นนั่งบนเตียงที่ไม่นับว่าสบายนักอย่างไม่ใคร่เต็มใจ ตบหน้าตนเองให้ตื่น มัดผม สวมรองเท้า หยิบมีดพร้ากับเชือกติดมือออกจากห้องไป
ในบ้านมีตะกร้าสะพายหลังเก่าๆ ใบหนึ่ง ต้าหลางสะพายขึ้นหลังเรียบร้อยแล้ว
ภูเขาแถบนี้เต็มไปด้วยอันตรายสำหรับสองพี่น้อง พวกเขาไม่กล้าเข้าป่าไปตัดฟืน มีเพียงเก็บเศษกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นตรงเชิงเขาที่คนอื่นไม่ต้องการเท่านั้น
พอมีเวลาว่างก็ไปเก็บมาใส่ตะกร้าใบหนึ่ง คนหนึ่งแบกอีกคนคอยพยุง กลับบ้านมาก็พอใช้เผาไฟได้สักสองวัน
เพราะแต่ละครั้งเก็บได้น้อย ไม่สามารถกักตุนฟืนไว้ได้เหมือนบ้านอื่น
ระหว่างทางไปเชิงเขา ฉินเหยาถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วฤดูหนาวปีก่อนๆ พวกเจ้าผ่านกันมาได้อย่างไร”
เอ้อร์หลางเหลือบมองพี่ชายทีหนึ่งแล้วมองฉินเหยา ก่อนจะเอ่ยหยั่งเชิงว่า “ในหมู่บ้านมีผู้เฒ่าขายถ่าน เขาจะเผาถ่านไว้ บางทีในเตาจะเหลือเศษถ่านอยู่บ้าง ข้ากับพี่ก็ไปเก็บกลับมาขอรับ”
“เก็บรึ?” ฉินเหยายกมุมปากยิ้ม “คงไม่ใช่ขโมยหรอกนะ?”
สองพี่น้องสะอึกเงียบไปทันที
ฉินเหยามองทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจังพลางกำชับว่า “ต่อไปห้ามขโมยของผู้อื่นอีก พวกเรากักตุนฟืนเองให้มากๆ ก็พอ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว”
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางชะงักไป ก่อนจะอับอายจนพาลโกรธรู้สึกว่านางพูดเหมือน ‘เหตุใดไม่กินข้าวต้มเนื้อ[1]’ เล่าจึงเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าไปอย่างฉุนเฉียว
ฉินเหยาลอบหัวเราะในใจ ดูท่าช่วงสองวันที่ผ่านมาอิ่มท้องแล้วเรี่ยวแรงเลยเพิ่มขึ้นสินะ เช่นนั้นก็แบกฟืนกลับให้นางมากขึ้นอีกหน่อยเถิด!
[1] เหตุใดไม่กินข้าวต้มเนื้อ มีความหมายเชิงประชดประชัน หมายถึงการที่คนมีอำนาจหรือคนร่ำรวยไม่เข้าใจสภาพความยากลำบากของคนยากจน พูดจาไม่เห็นอกเห็นใจ