ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 11 ตั้งแผงลอย
พี่น้องทั้งสองที่ความภาคภูมิใจถูกทำลายลง ยามนี้ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิด เมื่อเห็นกิ่งไม้หักมากมายใต้ป่าเบื้องหน้าก็รีบวิ่งไปเก็บด้วยความยินดี
ฉินเหยาเรียกทั้งสองกลับมาแล้วให้ตามนางขึ้นเขา
ป่าเล็กบนภูเขาที่ชาวบ้านใช้ตัดฟืนมีเพียงสัตว์เล็กๆ มีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ก็ยังนับว่าปลอดภัยอยู่
ต้าหลางและเอ้อร์หลางรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ยังตามนางขึ้นเขา
เมื่อมาถึงกลางทาง ฉินเหยาเลือกสถานที่ที่มีต้นไม้หนาแน่น โยนเชือกลงไปแล้วบอกให้สองพี่น้องรออยู่บนลานเล็กๆ ที่ราบเรียบนี้ จากนั้นก็หยิบมีดพร้าแล้วมุดเข้าไปในพุ่มไม้
ฉินเหยาตัดกิ่งไม้สองกิ่งมาทำขาตั้งฟืนสามขาให้ต้าหลางก่อนแล้วจึงเข้าไปยังจุดที่ลึกกว่าเดิม สะบัดมีดตัดฟืนอย่างรวดเร็ว
นางทำงานอย่างรวดเร็ว ฟืนที่มีขนาดเท่าแขนเด็กถูกโยนออกมาจากพุ่มไม้ทีละท่อน ไม่นานก็สะสมเป็นกองใหญ่
ต้าหลางและเอ้อร์หลางมองตากันด้วยความยินดี มีฟืนมากมายเลย!
แต่ไม่นาน พวกเขาก็พบว่านี่มันมากเกินไปแล้วกระมัง
อืม แม่เลี้ยงคงจะเตรียมตัดเพิ่มเยอะหน่อย หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แบกกลับบ้าน
แต่คิดไม่ถึง ฉินเหยาจะมัดฟืนที่แม้แต่ชายฉกรรจ์ยังต้องแบกถึงสองรอบทั้งหมดเป็นสองมัด เลือกกิ่งที่หนาที่สุดทำเป็นคานหาบแล้วยกขึ้นทันที
นางย่ำอยู่กับที่สองก้าว รู้สึกว่าน้ำหนักยังขาดไปเล็กน้อยจึงเลือกฟืนจากขาตั้งของต้าหลางอีกสองสามอันใส่เข้าไป เมื่อรู้สึกว่าเหมาะสมแล้วก็ส่งสัญญาณให้สองพี่น้องยกขาตั้งและตะกร้าของตนเองขึ้นเพื่อกลับบ้าน
ต้าหลางไม่เคยเห็นขาตั้งฟืนสามขามาก่อน ชาวบ้านในหมู่บ้านมักมัดฟืนแล้วแบกเดินกลับ ผู้ที่มีกำลังมากก็หาบเดิน ไม่เคยเห็นการใช้ขาตั้งแบบนี้มาก่อน
ฉินเหยาจึงวางคานหาบลง ยกขาตั้งฟืนขึ้นวางบนบ่าของต้าหลาง ให้เขาจับขาทั้งสองข้าง
ฟืนหนักสิบกว่าจิน เมื่อมีขาตั้งช่วยกระจายน้ำหนักจากจุดเดียวไปทั่วบ่า ต้าหลางก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ายกได้ง่ายขึ้นมาก
ในตะกร้าบนหลังของเอ้อร์หลางเต็มไปด้วยฟืนเล็กๆ ที่ฉินเหยาตัดไว้ล่วงหน้า เหมาะสำหรับก่อไฟ แม้ดูแล้วอัดแน่นเต็มตะกร้า แต่หนักเพียงแปดถึงเก้าชั่ง เอ้อร์หลางสามารถแบกได้สบาย
“เดินไหวหรือไม่” ฉินเหยาถาม
พี่น้องทั้งสองพยักหน้า ในใจเต็มไปด้วยความยินดี โดยเฉพาะเมื่อเห็นฟืนสองมัดใหญ่บนคานหาบของฉินเหยาก็รู้สึกทั้งตกใจและนับถือ
พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่หาบฟืนได้มากกว่าแม่เลี้ยงมาก่อน!
แม่ลูกทั้งสามลงมาจากภูเขา ต้องผ่านทุ่งนาในหมู่บ้านจึงจะถึงบ้าน
ชาวบ้านสังเกตเห็นฟืนที่วางขวางบนบ่าของต้าหลาง เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นว่ามีขาตั้งฟืนเสียบอยู่ ต้าหลางจับขาทั้งสองข้างที่ยื่นออกมา แบกบนบ่าเดินอย่างสบาย
แต่ฟืนเหล่านั้นมากกว่าการมัดแล้วแบกเสียอีก
เหตุใดพวกเขาไม่เคยนึกถึงการทำขาตั้งฟืนมาก่อนนะ ดูแล้วก็ไม่ยาก เพียงใช้แผ่นไม้หนึ่งอันขวางไว้ตรงกลางระหว่างกิ่งไม้สองกิ่งเท่านั้น แต่กลับช่วยผ่อนแรงบนบ่าได้
จากนั้น สายตาก็ถูกดึงดูดโดยฟืนสองมัดใหญ่ที่เคลื่อนที่เองได้โดยไม่รู้ตัว
ฟืนมัดนั้นเทียบเท่ากับของคนอื่นสองมัด รวมแล้วอย่างน้อยก็หนักสองร้อยห้าสิบถึงสองร้อยหกสิบจิน
“ตายจริง นั่นไม่ใช่ภรรยาใหม่ตัวน้อยของบ้านเจ้าหลิวสามหรือ”
ชาวบ้านสังเกตเห็นว่าระหว่างฟืนที่เคลื่อนที่ทั้งสองมัดมีคนอยู่ด้วย เพียงแต่เนื่องจากร่างเล็กจึงถูกฟืนบังเอาไว้
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ คนผู้นั้นกลับเป็นฉินเหนียงจื่อของบ้านเจ้าหลิวสาม
“นางมีแรงมากมายปานนี้ได้อย่างไร!”
ชาวบ้านในทุ่งนามองดูสามแม่ลูกเดินผ่านหน้าตนไปอย่างตะลึงงัน จนกระทั่งลับสายตาแล้วจึงค่อยๆ หุบปากที่อ้าค้างด้วยความตกใจ
ต่อมา ข่าวที่เจ้าหลิวสามแต่งได้ภรรยาเป็นหญิงจอมพลังก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน
ยามเย็น ในตอนที่ฉินเหยาพาพี่น้องทั้งสี่คนนำรองเท้าฟางที่ทำเสร็จแล้วไปตั้งแผงใกล้บ่อน้ำในหมู่บ้าน นางก็กลายเป็น ‘นางยักษ์จอมพลัง’ ในสายตาของชาวบ้านไปเสียแล้ว!
ในเวลานี้ ทุกคนทำงานในไร่นาเสร็จแล้ว ทั้งเวลายังห่างจากมื้อเย็นอยู่บ้างจึงชอบมารวมตัวกันที่บ่อน้ำในหมู่บ้านเพื่อพักผ่อน คนจึงค่อนข้างมาก
มีเด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างบ่อน้ำ เมื่อเห็นฉินเหยาปรากฏตัวก็กรีดร้องด้วยความตกใจแล้ววิ่งกระเจิงหนีไปซ่อนอยู่ด้านหลังพ่อแม่ปู่ย่า แต่ยังคงมองพิจารณานางด้วยสายตาหวาดกลัวปนใคร่รู้
ฉินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย บังเอิญจริง พอเด็กๆ วิ่งหนีไปก็ทำให้มีที่ว่างสำหรับตั้งแผงพอดี
“ตั้งแผง” ฉินเหยาพยักหน้าให้เด็กทั้งสี่ที่ยืนเรียงกันอยู่ข้างหน้า
ซานหลางและซื่อเหนียงปูเสื่อฟางเก่าที่นำมาจากบ้านลงใต้ต้นไม้
ต้าหลางและเอ้อร์หลางแกะรองเท้าฟางสิบคู่ที่ร้อยไว้ในอ้อมอกออกมาวางเรียง
ฉินเหยาจัดเรียงอีกครั้ง วางป้ายไม้ลงบนพื้นแล้วใช้ถ่านเขียนตัวอักษรสีดำว่า ‘รองเท้าฟางสามเหวินต่อคู่!’
ตบมือปัดฝุ่น เสร็จงานเรียบร้อย
แม้จะหวาดกลัว ‘นางยักษ์จอมพลัง’ แต่ชาวบ้านก็ยังอดไม่ได้ที่จะเข้ามามุงดูด้วยความอยากรู้ว่าแม่ลูกทั้งห้ากำลังทำอะไรกันแน่
แต่ว่าตัวอักษรที่เขียนนั้น พวกเขาอ่านออกเพียงไม่กี่ตัว เช่น ‘สาม’ และ ‘หนึ่ง’ และไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักอักษร มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจ
ฉินเหยาตบไหล่เอ้อร์หลาง หลังจากสังเกตมาหลายวัน นางก็พบว่าเอ้อร์หลางเป็นเด็กที่หน้าหนาที่สุด และกล้าแสดงออกมากที่สุด
เอ้อร์หลางก้าวไปข้างหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเริ่มร้องขายเสียงดังว่า “ขายรองเท้าฟางจ้า สามเหวินต่อคู่ คู่ละสามเหวิน เพียงสามเหวินเท่านั้น ท่านก็สามารถนำรองเท้าฟางสานอย่างประณีตกลับบ้านได้!”
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ตกใจ จากนั้นจึงรู้ว่าเป็นการขายรองเท้าฟาง
เอ้อร์หลางยังคงตะโกนต่อไป “สามเหวิน ซื้อไปไม่ขาดทุน ไม่ถูกหลอกลวง เพียงสามเหวินเท่านั้นก็สามารถนำรองเท้าฟางที่สานอย่างดี สวมใส่สบายและทนทานกลับบ้านได้!”
“หากไม่มีเงิน จะแลกด้วยสิ่งของก็ได้นะ!”
สามเหวินต่อคู่ ราคานี้ฉินเหยาคำนวณจากระดับการใช้จ่ายของชาวบ้าน และมูลค่าของบวบและผักใบเขียวที่แลกมาเมื่อวาน
แน่นอน ทุกคนสนใจราคานี้และยิ่งสนใจในส่วนของการใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนมากกว่า
แม้เมื่อครู่จะยังพูดว่าฉินเหยาเป็นนางยักษ์ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องล้อเล่นซุบซิบเท่านั้น เมื่อเห็นราคาย่อมเยาก็ไม่กลัวอีกต่อไป
รองเท้าฟางเป็นสิ่งที่ทุกครัวเรือนต้องการ เมื่อเห็นเอ้อร์หลางร้องขายอย่างขยันขันแข็งเช่นนี้ สตรีสองนางก็นั่งยองๆ ลงที่หน้าแผงลอย
ซื่อเหนียงรีบหยิบรองเท้ายื่นให้พวกนางดู “ป้าโจว ท่านแม่ของข้าทำรองเท้าได้ดีมากเลยนะ ท่านซื้อสักคู่เถอะ”
ฉินเหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางยังคิดว่าซื่อเหนียงขี้อายและติดคน แต่ไม่คิดว่าจะกล้าเสนอขายของเองด้วย
เมื่อเด็กๆ ขยันขันแข็งเช่นนี้ ฉินเหยาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่กล้ายืนเฉย นางยิ้มน้อยๆ และอธิบายว่ารองเท้าของนางสานอย่างแน่นหนาเพียงใด ใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะทำได้สักคู่
หญิงที่ซื่อเหนียงเรียกว่าป้าโจวพลิกดูรองเท้าไปมาพบว่าทำได้แน่นหนาจริง ขนาดก็พอดีกับเท้าของสามีที่บ้าน ช่วงนี้สามีทำงานในนาบ่อย รองเท้าฟางที่ใส่อยู่ก็ขาดแล้วกำลังคิดจะเปลี่ยนคู่ใหม่อยู่พอดี
“ฉินเหนียงจื่อ ข้าขอสองคู่ ลดราคาอีกหน่อยได้ไหม” ป้าโจวถามหยั่งเชิง
ฉินเหยาตอบอย่างไม่ลังเล “ได้เลย ประเดิมคำสั่งซื้อแรก ห้าเหวินสำหรับสองคู่”
ป้าโจวรู้สึกดีใจที่ได้ราคาถูก นางวางรองเท้าฟางที่เลือกไว้ข้างๆ บอกให้ฉินเหยารอก่อนแล้วกลับบ้านไปเอาเงิน
ไม่นานนัก นางก็วิ่งกลับมา นับเงินห้าเหวินสามรอบก่อนยื่นให้ฉินเหยาแล้วรับรองเท้าฟางสองคู่ไปด้วยความยินดี
เมื่อขายได้หนึ่งรายการ แถมยังเป็นสองคู่ พี่น้องตระกูลหลิวทั้งสี่คนต่างยิ้มออกมา
เอ้อร์หลางร้องขายเสียงดังขึ้น ส่วนซื่อเหนียงก็อาศัยความที่ตัวเล็ก ถือรองเท้าไปหาคนอื่นเพื่อเสนอขายด้วยท่าทางน่ารักน่าสงสาร
นางมุ่งเข้าหาบรรดาท่านป้าทั้งหลายโดยเฉพาะ เพราะพบว่าท่านป้าเหล่านี้ล้วนมีเงินในกระเป๋า
ซานหลางเห็นน้องสาวกล้าหาญเช่นนี้จึงรวบรวมความกล้า เดินตามไปเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านจะซื้อรองเท้าไหม ท่านซื้อสักคู่เถอะ”
พี่น้องทั้งสองร่วมมือกันก็ขายได้อีกหนึ่งคู่ พวกเขามองฉินเหยาด้วยความดีใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้รับคำชม
แม้ว่าพี่น้องทั้งสองจะสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง แต่ใบหน้าสะอาดสะอ้าน เส้นผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อย ดูแล้วน่ารักมาก
การขายรองเท้าฟางเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ มีคนนำชามที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแลก เป็นชามกระเบื้องเคลือบหยาบๆ ที่มีรอยบิ่นห้าใบ แลกได้ไปหนึ่งคู่
ท่านยายอีกคนหนึ่งนำไข่ไก่สามฟองมาแลกไปอีกหนึ่งคู่
โดยไม่ทันรู้ตัว ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ทุกคนกลับบ้านไปกินข้าว สุดท้ายจึงเหลือเพียงฉินเหยาและลูกๆ ทั้งห้าคนกำลังนับความสำเร็จของวันนี้ด้วยความตื่นเต้นอยู่ใต้ต้นไม้