ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 110 ให้รางวัลหนึ่งร้อยตำลึง
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 110 ให้รางวัลหนึ่งร้อยตำลึง
ตอนที่ 110 ให้รางวัลหนึ่งร้อยตำลึง
ฉินเหยาไม่รู้เลยว่ายังมีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วย
นางรู้เพียงประโยคแรก ส่วนประโยคหลังไม่มีผู้ใดบอกนาง
ชาวบ้านธรรมดาเองก็จำได้เพียงแค่ครึ่งแรกที่ว่าสังหารโจรไร้ความผิด
ไม่นึกเลยว่าประโยคหลังยังมีพูดถึงรางวัลอีก
เถ้าแก่ฟ่านเห็นสีหน้าเสียดายอย่างยิ่งของฉินเหยาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“เฮ้อ ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้ ทางอำเภอไม่เคยป่าวประกาศออกไป ชาวบ้านอ่านหนังสือไม่ออกสักตัว กฎหมายติดอยู่ที่ประตูเมืองก็ไม่มีใครอ่านได้ มีข้อผิดพลาดบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
ยิ่งไปกว่านั้น การจะได้รับรางวัลหรือไม่นั้นยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจของท่านนายอำเภอในกฎหมายข้อนี้ด้วย ฉินเหยาไปก็ใช่ว่าจะได้รับรางวัลตามที่ควรได้
ยิ่งไปกว่านั้น เวลาก็ผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว ไปพูดตอนนี้ก็คงสายไป
เพียงแต่เมื่อเห็นฉินเหยา เถ้าแก่ฟ่านจึงอยากบอกให้นางรู้เท่านั้น
“อีกอย่าง เจ้าเป็นสตรีคงเป็นเสมียนไม่ได้” เขาถอนหายใจพลางหัวเราะเบาๆ
ฉินเหยายิ้มบางๆ ดื่มน้ำแกงเนื้อแกะคำสุดท้ายแล้วเงียบไปครู่ใหญ่
นางนึกถึงเมื่อต้นปีที่แล้ว ขณะที่นางไปศาลบรรพชนของหมู่บ้าน มีเจ้าหน้าที่หลายคนมาสอบถามข้อมูล ตอนนั้นแววตาที่พวกเขามองนาง แม้จะมีความประหลาดใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก กระทั่งดูเหมือนพวกเขาโล่งอกเสียด้วยซ้ำ
คิดไปแล้ว ตอนนั้นพวกเขาคงรู้ถึงกฎหมายข้อนี้และเมื่อทราบว่านางเป็นสตรี พวกเขาก็กลับรู้สึกเบาใจ
เพราะไม่ต้องจัดสรรรางวัลให้นางแล้ว
ส่วนเงินรางวัลนั้น อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ยังไม่เห็นแม้แต่เหวินเดียว
การพูดคุยกับเถ้าแก่ฟ่านในครั้งนี้ ทำให้ฉินเหยารู้จักโลกใบนี้เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย และยิ่งคาดหวังให้หลิวจี้สอบได้ตำแหน่งขุนนางมากขึ้นกว่าเดิม
แม้จะเป็นแค่ซิ่วไฉ แต่หากครั้งหน้านางสังหารหัวหน้าโจรได้อีก ทางการก็คงต้องแจ้งนางว่านางมีสิทธิ์ได้รับเงินรางวัล
“เจ้าจะไปพรุ่งนี้แล้วหรือ” เถ้าแก่ฟ่านถามอย่างเสียดาย
ฉินเหยาพยักหน้า “ที่บ้านยังมีงานในไร่ให้ทำน่ะ” ยังมีคำสั่งซื้อกังหันน้ำที่ยังไม่เสร็จอีกด้วย
เถ้าแก่ฟ่านถอนหายใจเบาๆ “ข้ายังอยากเรียนวิชากับเจ้าอีกสักสองกระบวนท่า เจ้าก็ว่าจะไปเสียแล้ว”
ฉินเหยาส่งยิ้มบางๆ ให้เขา “หากมีโอกาส เชิญมาที่บ้านข้าได้นะ”
“ได้จริงหรือ” เถ้าแก่ฟ่านถามกลับด้วยความตื่นเต้น
ฉินเหยาตอบรับ เขาพลันหัวเราะออกมาในทันที “ข้าก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าบ้านเจ้าจะเป็นอย่างไร ปีที่แล้วเจ้าล่าหมีดำตัวหนึ่งมาได้ คงได้ที่นาดีๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหลายหมู่กระมัง หรือว่าเจ้าเป็นคนรวยที่สุดในหมู่บ้านเล่า”
ตามปกติแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ฟ่านพูดก็ไม่ผิด
แต่น่าเสียดายที่บ้านของฉินเหยามีตัวหายนะที่ไม่ปกติอยู่ด้วย
นางทำได้เพียงตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ตอนนี้ก็ยังพยายามอยู่น่ะ”
เถ้าแก่ฟ่านหัวเราะกลบเกลื่อน ส่งนางไปพักผ่อนที่ห้องรับรอง ก่อนจะกลับไปยุ่งอยู่ที่โต๊ะเก็บเงิน
ฉินเหยาขอห้องพักเดี่ยวธรรมดาห้องหนึ่งพร้อมกับอาหารที่นางกินเท่ากับคนห้าคน รวมแล้วจ่ายไปหนึ่งร้อยยี่สิบเหวิน
คืนนั้นนอนหลับสนิท
เช้าตรู่ ฉินเหยาคืนห้อง กล่าวอำลาเถ้าแก่ฟ่านแล้วเตรียมตัวกลับบ้าน
ก่อนออกเดินทางอาจเป็นเพราะในใจไม่ยินยอมหรือเพราะบางอย่างที่ชักนำให้นางเดินสวนกระแสฝูงชน มุ่งตรงไปยังหน้าประตูที่ว่าการอำเภอไคหยาง
บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน คึกคักเป็นอย่างมาก
มีเพียงบริเวณนี้ ที่ลานกว้างใหญ่กลับมีผู้คนบางตา ด้านหน้าประตูใหญ่มีป้ายประกาศตั้งอยู่ บางครั้งก็มีคนหยุดดู
น่าเสียดายที่คนอ่านหนังสือออกมีไม่มาก ผู้ที่อ่านประกาศล้วนเป็นบัณฑิต พวกเขามีความเย่อหยิ่งอยู่ในตัว หากไม่มีใครร้องขอก็มิใคร่จะอ่านออกเสียงให้คนอื่นฟัง
เดิมทีฉินเหยาเพียงอยากดูว่าที่ว่าการอำเภอหน้าตาเป็นอย่างไรแล้วก็จะไปต่อ
แต่พอเห็นนักศึกษาสองคนที่อยู่หน้าป้ายอ่านจบแล้วเดินจากไป เหลือเพียงความว่างเปล่า นางจึงถูกความอยากรู้อยากเห็นชักนำให้ก้าวเข้าไปเพื่อดูว่าบนป้ายประกาศของทางการมีอะไรติดไว้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ สิ่งแรกที่ปรากฏในครรลองสายตาคือประกาศค่าหัวที่มีภาพบุคคลวาดอยู่
บนกระดาษมีตัวอักษร ‘รางวัล’ ตัวใหญ่ ถูกวงด้วยหมึกสีแดง
ตัวอักษรรางวัลที่ถูกวงไว้เช่นนี้ ทำให้หัวใจของฉินเหยากระตุกเต้นเร็วขึ้นสองจังหวะ
บนประกาศเขียนบทความยืดยาวเพื่อกล่าวโทษการกระทำอันผิดกฎหมายของโจรภูเขาพร้อมแสดงความโกรธแค้นของประชาชนและทางการ
ฉินเหยาตัดถ้อยคำที่เกินจำเป็นออกในทันที ได้ใจความสรุปออกมาสั้นๆ ว่า…
ระยะนี้โจรภูเขากำเริบเสิบสาน กระทำการต่างๆ โหดร้ายถึงขั้นที่แม้แต่เดรัจฉานยังเทียบไม่ได้
ดังนั้นจึงขอออกประกาศตั้งค่าหัว เรียกร้องให้ผู้กล้าในอำเภอลงมือปราบปราม
ผู้ใดสังหารหัวหน้าโจรและช่วยทางการปราบปรามโจรภูเขาได้ ไม่ว่าเป็นใคร มีฐานะใด เป็นชายหรือหญิง แก่หรือเยาว์วัยล้วนได้รับรางวัลหนึ่งร้อยตำลึง!
“ซี๊ด~” ฉินเหยาสูดลมหายใจลึก สายลมยามเช้าพัดพาความร้อนของฤดูร้อนมาปะทะหน้า เพียงสูดเข้าไป อะดรีนาลีนก็พลุ่งพล่าน
ฉินเหยาสงบอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว ยืนยันกับตัวเองถึงสามครั้งว่าในประกาศระบุไว้แน่ชัดว่าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน
นางรีบเดินไปยังหน้าประตูที่ว่าการอำเภอ ถามทหารยามสองนายที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นว่า
“ค่าหัวนี้รับอย่างไร”
การลังเลแม้เพียงเสี้ยววินาที เท่ากับเป็นการดูแคลนหนึ่งร้อยตำลึง!
ทหารยามสองนายดูเหมือนจะฟังนางที่นางพูดไม่ชัดหรืออาจคิดว่าตนเองฟังผิด
เพราะประกาศค่าหัวนี้ติดอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้ว แต่ไม่เคยมีใครมาถอนมันออกไป
ทุกครั้งที่อักษรเลือนราง ผู้ช่วยนายอำเภอก็ต้องเขียนใหม่แล้วติดประกาศซ้ำไปซ้ำมา
ฉินเหยาถามซ้ำ “ค่าหัวนี้รับอย่างไร”
ทหารยามทั้งสองถึงกับมองนางด้วยสายตาตกตะลึง คนหนึ่งชี้ไปที่ป้ายประกาศ สีหน้ารำคาญเล็กน้อย
“แค่ดึงลงมาก็พอ!”
ฉินเหยาเข้าใจทันทีแล้วเดินกลับไป
แควก! ภายใต้สายตาตะลึงพรึงเพริดของทหารทั้งสอง นางกระชากประกาศลงมาทั้งแผ่นแล้วเดินกลับไปที่หน้าที่ว่าการถามพวกเขาต่อ
“ข้าถอนประกาศออกมาแล้ว ต่อไปต้องทำอย่างไร เอาหัวของคนในภาพกลับมาส่งก็พอใช่หรือไม่ ต้องลงทะเบียนอะไรพวกนี้ก่อนหรือไม่ แล้วเงินรางวัลจะรับอย่างไร”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางรับภารกิจล่าค่าหัวในยุคโบราณ
ที่นี่ไม่ใช่วันสิ้นโลก ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ลงทะเบียนทันที ทำภารกิจเสร็จก็ไม่มีระบบรับเงินทันที
แม้จะเป็นงานถนัดของนาง แต่ขั้นตอนของที่นี่ นางไม่เข้าใจเลยสักนิด
ในสมองมีเพียงภาพของหนึ่งร้อยตำลึงนั่นเท่านั้น แม้แต่หัวหน้าโจรที่ดูดุร้ายโหดเหี้ยมในภาพก็ดูสง่างามขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ขณะเดียวกัน ฉินเหยาก็อดเสียใจไม่ได้ ว่าเหตุใดตนถึงไม่มาที่หน้าว่าการอำเภอตั้งแต่แรก
หากรู้เร็วกว่านี้ นางจะปล่อยให้พวกโจรภูเขามีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร
“ข้าถามพวกเจ้าอยู่ เหตุใดไม่ตอบเล่า หรือว่าประกาศค่าหัวนี้เป็นของปลอม”
ฉินเหยารออยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ นางเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว
อย่าถ่วงเวลาทำให้นางเสียโอกาสหาเงินสิ!
ทหารยามทั้งสองเพิ่งแน่ใจว่านางเอาจริง
คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในที่ว่าการอำเภอแล้วตะโกนว่า “ท่านผู้ช่วย! มีคนมาถอนประกาศค่าหัวแล้ว!”
อีกคนหนึ่งยังไม่ปักใจเชื่อ ชี้ไปที่ป้ายประกาศแล้วถามฉินเหยา
“เจ้าเป็นสตรี รู้หรือไม่ว่าประกาศค่าหัวนี้เขียนว่าอะไร”
“รู้สิ เงินรางวัลหนึ่งร้อยตำลึง…ไม่ใช่ ต้องสังหารหัวหน้าโจรภูเขาแล้วนำศีรษะของเขามาส่ง ข้าเข้าใจไม่ผิดใช่หรือไม่”
ฉินเหยาเองก็ต้องการยืนยันให้แน่ใจเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
ทหารยามถามนางต่อว่านางแซ่อะไร ชื่ออะไร เป็นคนที่ไหน
ฉินเหยาตอบทุกคำถามอย่างชัดเจน สีหน้าดูมีสติดี ไม่เหมือนคนเสียสติเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาจึงพานางเข้าไปข้างใน
ฉินเหยาไม่คิดเลยว่าการเข้าที่ว่าการอำเภอครั้งแรกของตนจะเป็นไปในลักษณะเช่นนี้
นางไม่ได้พบนายอำเภอ แต่ได้พบเพียงผู้ช่วยและรองนายอำเภอ
ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเปรียบเสมือนเลขานุการของนายอำเภอ อีกคนเป็นรองนายอำเภอที่รับผิดชอบกองกำลังป้องกันของอำเภอไคหยาง เปรียบเสมือนหัวหน้ากรมตำรวจ
ชาวบ้านพบขุนนางต้องคุกเข่า ฉินเหยามาต่างถิ่นก็ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียม นางคุกเข่าลงข้างหนึ่งแบบเร็วๆ ก่อนจะกล่าวถึงเรื่องที่ตนมาถอนประกาศค่าหัวอย่างคร่าวๆ จากนั้นจึงลุกขึ้น
กลับไม่มีใครคิดว่านางที่เป็นสตรีมาถอนประกาศค่าหัวเพื่อล้อทางการเล่นแต่อย่างใด
เพราะสตรีที่กล้าทำเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
เมื่อได้ยินว่าฉินเหยาเคยสังหารหัวหน้าหน่วยย่อยของพวกโจรภูเขาไปเมื่อต้นปี นัยน์ตาของรองนายอำเภอพลันเปล่งแสงแห่งความคาดหวังออกมา