ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 115 วีรสตรี
ตอนที่ 115 วีรสตรี
“เจ้าไปเถอะ”
ฉินเหยาหยิบห่อผ้าชุ่มเลือดขึ้นมาแล้วชี้ไปยังภูเขาด้านทิศตะวันออก เตรียมแยกทางกับอินเยว่
อินเยว่รีบถาม “ข้ายังไม่รู้แม้แต่ชื่อของผู้มีพระคุณเลย!”
“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” ฉินเหยาไม่แม้แต่จะหันกลับไป นางครุ่นคิดก่อนจะหยุดเดิน “อีกอย่าง ข้าไม่ได้เป็นผู้มีพระคุณของเจ้า เจ้าบอกข้อมูลให้ข้าข้าจึงพาเจ้าออกมา เราสองคนหายกันแล้ว”
“อีกอย่าง เจ้าไม่เคยมาเหยียบภูเขาอวี๋ฮว่า ข้าเองก็ไม่เคยพบเจ้าที่นี่ พวกโจรเหล่านั้นยากจะหนีพ้นโทษตาย ต่อไปก็จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้”
พูดจบ ฉินเหยาก็หอบรางวัลชนะศึกของนางลงจากเขาไป
นางต้องรีบอาศัยจังหวะที่ทางการยังไม่ได้สังหารพวกโจรจนหมดตามหาโจรที่ยังมีชีวิตมายืนยันว่าศีรษะทั้งสี่เป็นของหัวหน้าโจรจริง ไม่เช่นนั้นจะรับรางวัลไม่ได้
อินเยว่ยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าลงคำนับไปยังทิศทางที่ฉินเหยาจากไป จากนั้นจึงลุกขึ้นบังคับให้ตนเองสงบลงแล้วเดินไปยังเส้นทางภูเขาด้านตะวันออก
ไม่มีใครเคยพบนางที่ภูเขาอวี๋ฮว่า นั่นหมายความว่านางไม่เคยมาที่นี่มาก่อนและไม่เคยเข้ามาในรังโจร
เมื่อนั้น นางก็สามารถแต่งเรื่องอะไรขึ้นมาสักอย่างและยังสามารถกลับบ้านได้โดยไม่จำเป็นต้องไปกระโดดน้ำพิสูจน์ความบริสุทธิ์อะไรนั่น
อีกทั้ง อินเยว่เองก็ไม่ได้อยากตายเลยสักนิด นางอุตส่าห์ฆ่าโจรภูเขาจนหลบหนีออกมาได้ ตัวนางเองก็ยังบริสุทธิ์อยู่ จะฆ่าตัวตายไปเพื่ออะไรกัน
ถึงแม้คนทั้งโลกไม่เชื่อ แต่นางเชื่อตัวเอง!
อินเยว่เดินไปพลางคิดหาเหตุผลและแผนรับมือไปพลาง พอเห็นตะวันค่อยๆ ลอยขึ้นสูงที่ขอบฟ้านางก็รีบเร่งฝีเท้ากลับบ้าน
เชิงเขาอวี๋ฮว่า เมื่อฉินเหยามาถึง นางก็พบว่ากองทหารทางการกลับมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกสิบกว่าคน พวกเขาแต่งกายราวกับเป็นกองกำลังส่วนตัว
ไม่เพียงแต่คนเพิ่มขึ้น หัวหน้ากลุ่มก็ไม่ใช่รองนายอำเภออีกต่อไป แต่เป็นชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบปี
คนผู้นี้สวมชุดขุนนางสีฟ้าตลอดร่าง นั่งอยู่บนม้า สีหน้าเคร่งขรึม
ฉินเหยาเห็นแล้วก็พอจะเดาได้ ชายผู้นี้คงเป็นใต้เท้านายอำเภอที่นางยังไม่เคยพบก่อนหน้านี้
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ ขุนนางพวกนี้จะแบ่งผลงานกันอย่างไรนางไม่สนใจ นางต้องการแค่รางวัลของตนเองเท่านั้น
ฉินเหยาวางห่อผ้าโชกเลือดลง ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วประสานหมัดคารวะชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้า
“ฉินเหยาแห่งหมู่บ้านตระกูลหลิว คารวะท่านนายอำเภอ!”
นายอำเภอหันหัวม้ามาทางนางพลางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนมองไปยังห่อผ้าบนพื้น “หัวของเสี่ยงหวัง เจ้านำมาแล้วใช่หรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้ารับ บอกว่าตนไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครตกใจ เพียงแต่อยากใช้โอกาสที่พวกลูกสมุนโจรยังมีชีวิตอยู่มายืนยันสถานะของผู้ตาย
แววตาของนายอำเภอมืดครึ้มลงเล็กน้อย มองสำรวจนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนโบกมือให้ลูกน้องคุมตัวโจรที่จับได้ให้มาช่วยยืนยัน
เมื่อเห็นว่านายอำเภอไม่ได้พูดทำนองว่าให้รอไปตรวจสอบที่ที่ว่าการอำเภอ แต่สั่งตรวจสอบเดี๋ยวนั้นเลย ฉินเหยาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
ก่อนเปิดห่อผ้า ฉินเหยายังเอ่ยถามอย่างมีน้ำใจว่า “ท่านนายอำเภอจะเลี่ยงหน่อยหรือไม่ ศีรษะของทั้งสี่คนล้วนอยู่ในห่อนี้ ภาพอาจไม่น่าดูนัก”
สีหน้าของนายอำเภอเต็มไปด้วยความรังเกียจ แต่เมื่อเห็นว่ารองนายอำเภอไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เขาก็เลยกัดฟันตอบว่าไม่ต้อง
เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉินเหยาก็ไม่พูดมากความอีก นางใช้ปลายดาบเลิกห่อผ้าออก ก่อนจะจัดเรียงศีรษะทั้งสี่ที่กระจัดกระจาย ให้ศีรษะเหล่านั้นหันหน้ามาทางนายอำเภอและคนอื่นๆ
จากนั้น…
“โอ้กกก!”
นายอำเภอกลิ้งตกจากหลังม้าหมุนร่างไปอาเจียนอย่างหนัก
ทหารรอบๆ ขมวดคิ้วพร้อมกันแล้วเบือนหน้าหนี บางคนทนไม่ไหวจนต้องไปร่วมวงอาเจียนกับท่านนายอำเภอด้วย
ฉินเหยา “…”
โชคดีที่พวกโจรที่โดนจับใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถยืนยันตัวตนได้ ฉินเหยาจึงคลุมห่อผ้าไว้เหมือนเดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านนายอำเภอหันกลับมาได้แล้วขอรับ ห่อผ้าปิดไว้แล้ว” ผู้ช่วยของที่ว่าการอำเภอพยายามกลั้นอาการคลื่นไส้ กระซิบบอกเบาๆ
นายอำเภอตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันกลับมา เขามองฉินเหยาครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นว่านางไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ราวกับกำลังมองผลฟักทองไม่กี่ลูกก็ทำให้เขาอดสูดลมหายใจเย็นเยียบไม่ได้ สตรีผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมแท้!
ฉินเหยาเห็นพวกเขาจัดแถวเตรียมเดินทางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิง “รางวัลของข้า?”
“วางใจเถอะ ไม่มีทางขาดของเจ้าแน่นอน!” นายอำเภอตอบ “ก่อนอื่นเราต้องนำพวกโจรร้ายเหล่านี้กลับไปขังยังที่ว่าการอำเภอเสียก่อนแล้วจะจัดการเรื่องรางวัลของเจ้าในภายหลัง”
“ได้เลย” ฉินเหยายิ้มบางๆ แล้วขึ้นม้าของตนเองที่ขี่มาก่อนหน้านี้ ตามขบวนใหญ่กลับเข้าเมือง
พวกเจ้าหน้าที่ส่งคนเข้าเมืองไปตีฆ้องร้องป่าวล่วงหน้าแล้ว เมื่อขบวนของฉินเหยาเดินทางมาถึงหน้าประตูเมือง ชาวบ้านก็ออกมายืนขนาบสองข้างทางต้อนรับอย่างคึกคัก
ศีรษะของหัวหน้าโจรทั้งสี่ถูกทหารทางการถือห้อยนำหน้าเป็นสัญลักษณ์เปิดทาง ตามมาด้วยนายอำเภอและรองนายอำเภอ
ถัดมาคือเหล่าทหารที่คุมตัวโจรเข้ามาและแคร่ที่ทำจากกิ่งไม้ซึ่งวางศพของโจรที่ตายไปแล้ว
ส่วนท้ายของขบวนคือฉินเหยาและผู้ช่วย
เหล่าชาวบ้านที่เห็นศพของพวกโจรรู้สึกเพียงสะใจยิ่งนัก
แม้ว่าศีรษะมนุษย์จะน่าสยดสยอง แต่พวกเขาก็ยังเบิกตาดูให้เต็มตา ก่อนจะถ่มน้ำลายใส่ด้วยความสะใจ
พวกพ่อค้าใหญ่ในเมืองเมื่อทราบข่าวต่างก็พากันช่วยกันยกป้ายดอกไม้ที่ทำขึ้นมาใหม่มาต้อนรับ ข้อความบนป้ายเขียนว่า ‘ขุนนางยุติธรรม กำจัดภัยร้ายเพื่อประชาชน คุณความดีเหนือประมาณ’
แม้ว่าคำอวยพรจะดูสามัญไปหน่อย แต่ความรู้สึกซาบซึ้งนั้นชัดเจน นายอำเภอเองก็ดูจะพอใจกับสิ่งเหล่านี้มาก
ผู้ช่วยจ้องมองฉินเหยาอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่านางมีสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้โอ้อวดเอาความดีความชอบใดๆ เขาจึงพยักหน้าอย่างพอใจ…อืม เป็นคนที่รู้จักวางตัวคนหนึ่ง
ขบวนใหญ่เดินผ่านหน้าสำนักศึกษา บรรดาศิษย์สำนักศึกษาทั้งหลายที่กำลังเรียนอยู่ก็ไม่สนใจแล้วอาจารย์จะตำหนิหรือไม่ พอได้ยินเสียงฆ้องและเสียงร้องป่าวว่า “หัวหน้าโจรอยู่ที่นี่! พวกโจรภูเขาถูกกวาดล้างแล้ว!” เหล่าศิษย์ก็พากันวิ่งไปที่ประตูใหญ่ทันที อยากจะไปร่วมชมความครึกครื้นด้วย
หลักๆ คือต้องการดูให้แน่ใจว่าทางการนำหัวของเสี่ยงหวังกลับมาจริงหรือไม่
ทางการตะโกนคำขวัญกวาดล้างโจรมาเจ็ดเดือนเต็ม แต่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นเลย จู่ๆ วันนี้กลับกวาดล้างรังโจรได้อย่างเงียบเชียบ พวกเขายังแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย
หลิวจี้แฝงตัวอยู่ท่ามกลางหมู่ศิษย์สำนักศึกษา ยืดคอแทรกตัวเข้าไปข้างหน้า
เพราะที่บ้านอาหารการกินดีทำให้เขาดูดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กหนุ่มวัยสิบหกสิบเจ็ดปี ก็ไม่รู้สึกว่าเขาอายุมากกว่าแต่อย่างใด พอมองผ่านๆ กลับยังคิดว่าเขาเพิ่งสิบเจ็ดสิบแปดอยู่เลย
“พี่หลิว! ท่านมองเห็นหัวของเสี่ยงหวังหรือยัง!?”
พวกสหายที่เบียดตัวเข้ามาไม่ทันตะโกนถามอย่างตื่นเต้น
หลิวจี้แทรกตัวมาถึงแนวหน้าสุดแล้ว แต่ยังเร็วเกินไป ขบวนทหารยังเดินมาไม่ถึง แต่ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว
สองนาทีต่อมา ขบวนทัพก็ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน ชาวบ้านตื่นเต้นขึ้นมาทันที ส่วนหลิวจี้พยายามกลั้นปัสสาวะเอาไว้ แต่ก็เกือบโดนเบียดจนแทบจะปล่อยออกมา
“อย่าเบียด! อย่าเบียดกันสิ!” หลิวจี้ตะโกนอย่างหงุดหงิด
พวกสหายข้างหลังได้ยินเสียงเขาจึงตะโกนถามเสียงดัง “เห็นหรือยัง!?”
“เห็นแล้ว! เห็นแล้ว…” หลิวจี้ตอบไปก่อนแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมอง มารดามันเถอะ! หัวคนจริงๆ ด้วย!
เขาตกใจจนยกมือขึ้นปิดตาทันที เหลือเพียงร่องนิ้วเล็กๆ ไว้แอบมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
พวกสหายร่วมเรียนถามอย่างตื่นเต้น “ใครเป็นคนฆ่า? ใครเป็นคนฆ่า!?”
ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เมื่อเช้ามีคนไปที่ว่าการอำเภอเพื่อรับภารกิจ น่าจะเป็นวีรบุรุษผู้นั้นที่ฆ่าพวกโจร ดูสิ คนที่ขี่ม้ามาคนสุดท้ายตรงนั้น น่าจะเป็นเขา…”
ทุกคนหันไปมองพร้อมกันแล้วก็ส่งเสียง “หืม?” ออกมา เหตุใดวีรบุรุษถึงกลายเป็นสตรีไปได้เล่า!?
แต่เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยขี่ม้าตามประกบอยู่ด้านข้างนั่นก็แน่ชัดแล้วว่าคนผู้นั้นเป็นคนรับภารกิจอย่างแน่นอน
พวกบัณฑิตแทรกตัวเข้ามาจนถึงแนวหน้าสุดมารวมตัวกับหลิวจี้ พอเห็นเขาจ้องมองหญิงสาวที่รับภารกิจบนหลังม้าอย่างเหม่อลอยก็อดขำไม่ได้
“พี่หลิว ท่านคงไม่ได้ต้องตาวีรสตรีผู้นี้หรอกกระมัง”
อย่าว่าเช่นนั้นเช่นนี้นะ อย่าเอ็ดไป ท่วงท่าที่วีรสตรีผู้นี้ขี่ม้าก็สง่างามอยู่ไม่น้อย หนำซ้ำยังดูอายุน้อยอยู่เลยด้วย!