ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 121 แค่เริ่มก็ห้าสิบชุดเลย
ตอนที่ 121 แค่เริ่มก็ห้าสิบชุดเลย
ของอร่อยนั้นไม่มี แต่มีของเล่นอยู่ชิ้นหนึ่ง
ฉินเหยาไม่มีอะไรทำจึงประดิษฐ์แมลงปอไม้ไผ่หลายตัวให้เด็กๆ สี่คนในบ้านที่แทบไม่มีของอะไรให้เล่น
จินฮวาประคองไว้ในมือ ดีใจยิ่งกว่าตอนได้น้ำตาลเสียอีก นางอดใจไม่ไหวรีบเรียกน้องซื่อเหนียงแล้วพากันวิ่งออกไปเล่น
เอ้อร์หลางนั่งท่องหนังสืออยู่ในบ้าน สมกับชื่อเสียง ‘ราชาแห่งการอ่าน’ ของครอบครัว
ต้าหลางกับซานหลางอยู่ที่โรงโม่น้ำ คอยดูให้ม้าอาบน้ำในแม่น้ำไปพลางจับตาดูกล่องเงินของโรงโม่ไปพลาง
ตอนนี้การค้าไปได้ดีมาก ชาวบ้านเพียงต้องเข้าแถวต่อคิวรอ ทุกคนล้วนเลือกใช้โรงโม่น้ำกันทั้งนั้น คนที่ไม่มีเงินก็เอาผักที่ปลูกเองมาแลก ต้าหลางกลัวว่าผักจะถูกขโมยจึงต้องแวะไปดูที่โรงโม่น้ำบ่อยๆ แล้วเก็บของกลับบ้าน
ชาวบ้านพากันล้อว่าเขาเป็นผู้ดูแลตัวน้อย
ฉินเหยาพาผู้มาเยือนไปยังโถงกลาง เทน้ำให้พร้อมสังเกตเสื้อผ้าและรูปลักษณ์ของเขา
เป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปี ไว้หนวดบางๆ ตามสมัยนิยม สวมเสื้อผ้าปอสีเทาธรรมดา เกล้าผมเรียบร้อยแล้วใช้ผ้าสีเทารัดเอาไว้ ดูเผินๆ แล้วแทบไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป
แต่ฉินเหยาสังเกตเห็นรองเท้าที่เขาใส่เป็นรองเท้าผ้าฝ้ายหนาพิเศษแบบเย็บซ้อนกันหลายชั้น
มือที่โผล่พ้นแขนเสื้อดูแล้วเรียบเนียนกว่าใบหน้าของเขามาก ไม่เหมือนคนที่ต้องทำงานหนักเป็นประจำ
สีผิวบนใบหน้าเป็นสีน้ำตาลเข้ม เหมือนคนที่ต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ
“เชิญดื่มน้ำ” ฉินเหยาส่งน้ำเปล่าให้ นางนั่งลงตรงข้ามแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไร ตั้งใจจะติดตั้งโรงโม่น้ำที่บ้านหรือ”
“ข้าแซ่ไป๋ ชื่อคำเดียวว่าซั่น” เขายกถ้วยน้ำขึ้นดื่มจนหมดรวดเดียวด้วยความกระหาย ดูเหมือนเดินทางมาไกลมาก
ฉินเหยาเลิกคิ้ว ยื่นมือไปจะหยิบถ้วยมาเติมน้ำเพิ่มให้เขา แต่เขากลับยกมือขึ้นวางขวางบนแก้ว “ไม่ต้อง พอแล้ว”
ฉินเหยาพยักหน้ารับ นั่งลงใหม่แล้วส่งสัญญาณให้เขาเอ่ยเข้าเรื่อง
ไป๋ซั่นถามราคาของโรงโม่ขนาดจิ๋วหนึ่งชุด เมื่อได้ยินตัวเลขเขาก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง นิ้วมือขยับเบาๆ คำนวณเลขอยู่ในใจ ก่อนจะพยักหน้า
จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ แล้ววางเงินก้อนใหญ่ลงบนโต๊ะสองก้อน ก้อนละยี่สิบตำลึง รวมเป็นสี่สิบตำลึง
“ข้าจะสั่งเครื่องโม่น้ำขนาดจิ๋วห้าสิบชุด ไม่ต้องให้พวกเจ้าติดตั้งให้ พอถึงเวลาข้าจะส่งลูกน้องมาเรียนวิธีติดตั้ง หากรอบนี้ขายดี ข้าจะกลับมาสั่งเพิ่ม”
“แต่ข้ามีเงื่อนไข ก่อนที่คำสั่งซื้อของข้าจะเสร็จ ห้ามรับงานของบ้านอื่น”
“หากเจ้าตกลง เรามาตกลงเรื่องราคาและกำหนดส่งกันตอนนี้เลย หากไม่ตกลง ข้าก็จะเก็บเงินกลับไป เจ้าก็ทำเหมือนว่าข้าไม่เคยมา”
เงินก้อนใหญ่สองก้อนถูกวางลงบนโต๊ะอาหารโดยไม่คาดคิด แม้ฉินเหยานึกตกใจอยู่บ้าง แต่สีหน้ายังคงนิ่งสงบ
ไป๋ซั่นสังเกตสีหน้านางอยู่ตลอด เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าสตรีที่ดูอ่อนเยาว์กลับเหมือนพวกเฒ่าเจนจัดมากประสบการณ์
หากเป็นคนอื่น เมื่อเห็นเงินก้อนโตสองก้อนเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องแสดงความตื่นเต้นดีใจออกมาบ้าง
เขาตรงไปตรงมา ฉินเหยาเองก็ไม่อ้อมค้อม หลังนิ่งคิดไปไม่นานนางก็บอกราคาขายส่งให้
“หากสั่งห้าสิบชุด ข้าสามารถลดราคาให้ได้สองส่วน แต่หากสั่งท่านหนึ่งร้อยชุดจะลดให้สามจุดสองส่วน ท่านสนใจจะเพิ่มจำนวนหรือไม่”
“คนในหมู่บ้านของพวกข้ามีกำลังพอ ฤดูเก็บเกี่ยวมีเพียงช่วงนี้ ก่อนสิ้นปีหนึ่งร้อยชุดต้องส่งได้ครบแน่นอน”
ไป๋ซั่นส่ายหน้า “สิ้นปีนานเกินไป สองส่วนก็สองส่วนเถอะ ห้าสิบชุดไม่เปลี่ยน ส่งของเดือนสิบ”
ในสมองฉินเหยาคำนวณตัวเลขจนแทบจะไหม้ อีกไม่นานก็ถึงเทศกาลจงหยวนแล้วซึ่งตรงกับช่วงเก็บเกี่ยวพอดี ปลายเดือนเจ็ดไม่มีทางผลิตได้มาก
เวลาที่ทำงานได้จริงคือเดือนแปด เดือนเก้าและเดือนสิบสามเดือนนี้ ตอนนี้ไม้และหินยังไม่ได้เตรียม คิดเฉลี่ยต้องทำให้ได้เดือนละสิบหกชุด พอคิดอัตราสูญเสียไปด้วย หากทุบหินจนไฟแลบก็อาจจะฝืนส่งได้ทัน
ฉินเหยาลองต่อรอง “ส่งของวันที่หนึ่งเดือนสิบเอ็ด”
ไป๋ซั่นโบกนิ้ว “วันที่สิบห้าเดือนสิบ สามเดือนก็พอแล้ว”
“ไม่ได้จริงๆ ตรงกับช่วงเก็บเกี่ยว คนไม่พอ” เว้นแต่เจ้าจะเพิ่มเงิน ฉินเหยาแอบเสริมในใจ
ไป๋ซั่นมองฉินเหยาอย่างจนใจ หยิบเงินก้อนแล้วทำท่าจะเดินออกไป
ฉินเหยาเองก็ไม่ห้าม
ไป๋ซั่นเดินไปถึงประตู เมื่อไม่ได้ยินเสียงใดๆ เขาก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมากัดฟันพูดว่า
“ช้าสุดวันที่ยี่สิบเดือนสิบ พวกข้าจะขนของลงใต้ เดือนสิบสองมีหิมะ ต้องไปให้ถึงก่อนหน้านั้น หากติดอยู่กลางพายุหิมะ ทุกอย่างจะสูญเปล่าหมด!”
ฉินเหยาได้ยินดังนั้นก็คิดในใจว่า ที่แท้เขาคิดจะขายสินค้าไปทางใต้ นี่เป็นความคิดที่ดีมากทีเดียว
ทางใต้น้ำเยอะ บ้านเรือนล้วนใช้ได้ทุกครัวเรือน ตลาดกว้างมากทีเดียว
แต่นางก็มีเรื่องลำบากใจเช่นกัน ฉินเหยาโบกมือให้เขากลับมานั่งลงเพื่อพูดคุยกันใหม่
“เช่นนี้ท่านว่าพอได้หรือไม่ วันที่สิบห้าเดือนสิบส่งมอบของรอบแรกแล้วที่เหลือส่งให้ครบวันที่หนึ่งเดือนสิบเอ็ด ข้ารับรองว่ารอบแรกส่งเกินหกส่วนแน่นอน นั่นคือสามสิบชุด”
สายการผลิตก็เป็นเช่นนี้ ตอนแรกต้องยุ่งกับการจัดโครงสร้าง จัดเตรียมวัตถุดิบ แถมต้องจ้างคนสร้างโรงงาน แต่ช่วงที่เร่งผลิตได้จริงๆ คือช่วงครึ่งเดือนสุดท้าย
ฉินเหยากวาดตามองเสื้อของไป๋ซั่น ตรงที่โป่งพองออกมาคงเป็นเงินทุนตั้งต้นของเขาสำหรับสร้างโรงงานผลิต
ไป๋ซั่นเริ่มลังเลไปเล็กน้อย คิดครู่หนึ่งก่อนจะเสริมเงื่อนไขเพิ่มว่า “หากวันที่สิบห้าเดือนสิบส่งมอบได้ไม่ถึงสามสิบชุด ชุดที่เหลืออีกยี่สิบชุดข้าก็จะไม่เอาแล้ว แต่ราคายังคงลดที่สองส่วน”
“ไม่มีปัญหา!” ฉินเหยาลุกขึ้นไปหยิบกระดาษ พู่กัน และหมึกประทับทันที
ความเร็วนี้ทำให้ไป๋ซั่นชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนตัวเองเสียเปรียบเข้าแล้ว
แต่พอฉินเหยาแสดงความเป็นมืออาชีพออกมาในขั้นตอนต่อไปก็ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย
ร่างสัญญากันอยู่หนึ่งชั่วยามพอดี ต้าหลางก็จูงเหล่าหวงที่อาบน้ำเสร็จกลับมา ฉินเหยาสั่งให้เขาไปตามช่างไม้หลิวมา
ช่างไม้หลิวหิ้วตะกร้าลูกหยางเหมยมาปรากฏตัวขึ้น เด็กๆ ตื่นเต้นกันใหญ่ พวกเขาถามฉินเหยาว่าสามารถใช้เงินเก็บของตัวเองไปซื้อน้ำตาลกรวดจากพ่อค้าหาบเร่หลิวได้หรือไม่ เมื่อได้รับอนุญาตพวกเขาก็รีบคว้าลูกหยางเหมยป่าเปรี้ยวจี๊ดเหล่านั้นไปเตรียมทำน้ำหยางเหมยทันที
เอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียงตื่นเต้นจนสมองเบลอไปหมด แต่ต้าหลางกลับคิดว่า อีกสองวันก็จะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว หากมีน้ำหยางเหมยคงช่วยคลายร้อนให้พวกผู้ใหญ่ได้
ฉินเหยายุ่งกับคำสั่งซื้อใหญ่จึงปล่อยให้เด็กๆ จัดการกันเอง นางแนะนำให้ช่างไม้หลิวกับไป๋ซั่นรู้จักกันคร่าวๆ จากนั้นให้ช่างไม้หลิวประทับนิ้วมือในสัญญา
ช่างไม้หลิวเพียงเหลือบมองตัวเลขยอดรวมที่เขียนว่า หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง มือก็สั่นระริกด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะประทับนิ้วมือลงไป
พอทั้งสองส่งไป๋ซั่นจากไปอย่างมีมารยาทแล้ว ช่างไม้หลิวก็หันกลับมา ยกมือค้ำขอบประตูบ้านฉินเหยาแล้วทรุดนั่งลงที่ธรณีประตู “ขอข้าพักหน่อย… ขอข้าพักหน่อย…”
“นี่มันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงจริงๆ หรือ” เขาถามย้ำอีกครั้ง
ฉินเหยาหยิบเงินก้อนสองก้อนขึ้นมาเคาะแล้วถามว่า “ท่านดูสิว่าใช่หรือไม่”
เงินมัดจำหนึ่งในสามก็รับมาแล้ว จะเป็นของปลอมได้อย่างไร
ช่างไม้หลิวกลั้นหายใจครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “เจ้าระวังหน่อย อย่าทำเป็นรอยล่ะ”
ด้วยแรงของนาง หากไม่ระวังอาจตบก้อนเงินจนบี้แบนเป็นแผ่นเงินไปเลยก็ได้ ไม่น่าแปลกที่เขาจะกังวล
ฉินเหยาพยักหน้า เก็บเงินใส่กระเป๋าตนเองก่อน ทั้งสองคน คนหนึ่งนั่ง คนหนึ่งยืน มองทุ่งนาสีทองเบื้องล่างราวกับสัมผัสได้ถึงความสุขของฤดูเก็บเกี่ยวที่กำลังจะมาถึง