ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 124 แสงสีชมพู
“อำเภอไคหยางมีห้องเก็บน้ำแข็งด้วยหรือ” ฉินเหยาถามอย่างตื่นเต้น
พอนึกถึงเครื่องดื่มเย็นๆ ในช่วงก่อนวันสิ้นโลก ฉินเหยาก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
หากได้ก้อนน้ำแข็งมาในหน้าร้อนเช่นนี้ คงจะรู้สึกดีสุดๆ ไปเลย
หลิวจี้พยักหน้า “มีสิ อยู่ที่โรงเก็บน้ำแข็งนอกเมือง ทุกปีพอหิมะตกจนแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ทางการก็จะส่งคนไปเจาะก้อนน้ำแข็งเก็บใส่ห้องเก็บ ปีที่แล้วเก็บไว้ ปีนี้ก็ยังใช้ได้จนถึงฤดูใบไม้ร่วง”
แล้วพอถึงฤดูหนาวก็เก็บเพิ่ม เก็บไว้ใช้ต่อ วนเวียนเช่นนี้ทุกปี
แต่พอเห็นฉินเหยาดูสนใจขนาดนั้น หลิวจี้ก็ต้องราดน้ำเย็นใส่นางเสียหน่อย
“ที่นั่นเป็นโรงเก็บน้ำแข็งของทางการ น้ำแข็งมีไว้ให้พวกขุนนางกับเศรษฐีในเมือง พวกชาวบ้านอย่างพวกเราอย่าหวังเลย หากเจ้ามีเงินเหลือเยอะ เลี้ยงน้ำหวานข้าสักถ้วยก็พอ”
พูดจบ ปากเจ้ากรรมก็กลืนน้ำลายตามโดยไม่รู้ตัว
ฉินเหยาหัวเราะเยาะ “ฝันไปเถอะ!”
เมื่อครู่นางเดินผ่านร้านน้ำหวาน เห็นรายการเครื่องดื่มที่มีคำว่าหิมะอยู่ ราคาถ้วยละห้าสิบเหวินขึ้นไปเท่ากับเนื้อหมูสามจินที่นางซื้อมาเลยทีเดียว
คาดไว้อยู่แล้วว่านางต้องตอบเช่นนี้ หลิวจี้เลยแอบหันหลังไปแค่นเสียงเชอะ
พอหันกลับมา ฉินเหยาก็จูงเหล่าหวงออกมาเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองสบตากันแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีปัญหาสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง
คนสองคน ม้าเพียงตัวเดียว จะขี่กันอย่างไร?
พอคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับตัวเอง หลิวจี้จึงรีบคว้าบังเหียนไว้ก่อนแล้วลองถามว่า
“เมียจ๋า…เจ้าคงไม่คิดจะให้ข้าวิ่งตามหลังม้าใช่หรือไม่”
ฉินเหยาคร้านจะเถียงไร้สาระกับเขา นางถามอย่างตรงไปตรงมาทันที “เจ้าขี่เป็นหรือไม่”
หลิวจี้ส่ายหน้าตามตรง
เขาเองก็อยากขี่เป็น แต่ที่บ้านไม่ได้มีม้าให้ฝึกขี่สักหน่อย
ฉินเหยาสะบัดศีรษะ “ขึ้นม้า เจ้านั่งข้างหน้า”
“หา?” หลิวจี้ยกมือวัดส่วนสูงโดยทันที นางเตี้ยกว่าเขาหนึ่งศีรษะเลยนะ
หากเขานั่งข้างหน้าแล้วนางที่อยู่ข้างหลังจะมองเห็นทางหรือ
มือที่ยกขึ้นถูกฉินเหยาตบออกอย่างแรง หลิวจี้เจ็บจนเผลอสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่า… นางมองเห็นทางได้แน่นอน!
เพราะว่า… พอเร่งความเร็วขึ้น เขาก็กลัวจนต้องก้มหน้าซุกลงกับหลังม้าพลางกอดคอม้าไว้แน่น!
ข้างหูมีแต่เสียงลมหวีดหวิว พอจะอ้าปากพูดก็เผลอกลืนทรายเข้าไปเต็มปาก ก้นถูกกระแทกจนแทบแยกเป็นสี่ส่วน
เขาพยายามขยับตัวเปลี่ยนท่าทางเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็มีร่างอุ่นๆ ทาบทับลงมา กลิ่นหอมสะอาดของสบู่ชาลอยมาแตะจมูก
หลิวจี้ตัวแข็งทื่อในทันที!
หลังจากนั้น… หลังจากนั้น… เขาแทบจำไม่ได้เลยว่าตนเองกลับถึงหมู่บ้านตระกูลหลิวได้อย่างไร
จำได้แค่ว่า มีเสียงจากด้านหลังดังขึ้น “ถึงแล้ว ไสหัวไปซะ”
แล้วเขาก็ถูกผลักลงจากหลังม้าอย่างไร้เยื่อใย ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น มองดูท้องฟ้ายามเย็นที่แดงฉานราวกับเปลวไฟ แต่งแต้มด้วยสีชมพู ดูสวยงามเป็นพิเศษ
หนึ่งคนหนึ่งม้าเดินจากไปท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดง แผ่นหลังของนางเหยียดตรง ร่างกายขยับไปตามจังหวะก้าวของม้า ปลายหางม้าที่มัดสูงสะบัดไหวไปมาอย่างอิสระราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสามารถพันธนาการนางได้
เขาเผลอยื่นมือออกไปอยากจะไขว่คว้าบางสิ่ง ทว่ากลับไม่อาจคว้าอะไรได้เลย ทำได้แค่เฝ้ามองเงาร่างองอาจของนางค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ
อึก~
หลิวจี้เผลอกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว รีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง กลับรู้สึกว่าเงาร่างของนางบนหลังม้าเรืองแสงสีชมพูอ่อนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดง…
เขายกมือขึ้นแล้วตบหน้าตัวเองเบาๆ !
คราวนี้แสงสีชมพูหายไปแล้ว
ฉินเหยาหยุดอยู่กลางลานหมู่บ้าน มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเด็กๆ บ้านตนเลย
บางทีการขายน้ำหยางเหมยอาจไปไม่รอด พวกเขาเลยกลับบ้านก่อน
ฉินเหยาหัวเราะอย่างจนใจ หันกลับไปตะโกนว่า “หลิวจี้! เจ้าเดินเร็วหน่อยสิ!”
หลิวจี้วิ่งหอบแฮ่กๆ ตามมา เงยหน้าขึ้นบ่นว่า “ข้ามีแค่สองขา เจ้านั่งบนม้าสี่ขายังไม่คิดจะรอข้าอีก เร่งอะไรขนาดนี้!”
ฉินเหยาขมวดคิ้ว ทำไมถึงรู้สึกว่าประโยคที่ชายไร้ประโยชน์ผู้นี้พูดในวันนี้ถึงเจือด้วยความออดอ้อนชอบกล?
ช่างเถอะ นางยื่นมือไปคว้าห่อสัมภาระจากเขามาวางบนหลังม้าแล้วขี่ม้ากลับบ้านไปก่อน
แม้ไม่มีของหนักให้แบกแต่หลิวจี้ก็ไม่ได้เดินเร็วขึ้นสักเท่าไหร่ ระหว่างทางยังหยุดคุยโวกับชาวบ้านทุกคนที่เจอ
ผู้อื่นชมเขาว่าหลิวผู้มีปัญญา เขาก็หน้าด้านตอบรับอย่างยินดี
เพราะมัวโอ้เอ้อยู่เช่นนี้ ฉินเหยากลับถึงบ้าน ถอดอานม้าและให้อาหารม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาถึงเพิ่งเดินเข้าบ้านมา
เข้าบ้านมาก็ยิ้มหน้าบาน เห็นได้ชัดว่าระหว่างทางได้ยินคำชมมาไม่น้อย จากคนที่เคยโดนด่าจนต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตอนนี้กลายเป็นนักปราชญ์หลิวของชาวบ้าน ชื่นอกชื่นใจเสียจริง
“เอ๊ะ?” หลิวจี้ตักน้ำมาเตรียมล้างหน้าล้างตา มองไปที่ครัวและห้องอื่นๆ ในบ้านแต่ก็ไม่เห็นใคร “พวกต้าหลางไปไหนกันหมดน่ะ”
ฉินเหยาโยนหญ้าชั้นดีให้ม้า ตบมือปัดฝุ่น เดินเข้ามาจากประตูหลัง ด้านหลังเองก็ไม่มีใครอยู่เช่นกัน
“คงออกไปเล่นที่ไหนสักแห่งกระมัง” นางเดา
หลิวจี้เห็นนางเดินมาก็ยกกะละมังน้ำส่งให้ตามสัญชาตญาณ “เมียจ๋า เจ้าล้างหน้าสิ”
พอทำเสร็จเขาก็หงุดหงิดตัวเอง ตบหลังมือตนไปหนึ่งที เจ้ามือไม่รักดี!
ฉินเหยาเห็นท่าที ‘ดิ้นรน’ อันอ่อนแรงของเขาแล้วแอบหัวเราะเบาๆ นางบิดผ้าเช็ดหน้าก่อนใช้เช็ดหน้าและลำคอ
จากนั้นถอดเสื้อตัวนอกออกไปแขวนผึ่งไว้บนราวตากผ้าในลานบ้าน เหลือเพียงเสื้อผ้าปอตัวบาง ยืนอยู่ใต้ระเบียงรับลมที่พัดผ่านมาทางประตูหน้าบ้าน
ท่าทีแข็งแกร่งเช่นนี้ ทำเอาหลิวจี้ตะลึงจนนิ่งค้างไป!
ฉินเหยาชำเลืองมองเขา “เจ้ามองข้าทำไม ฟ้าจะมืดแล้ว ออกไปตามพวกเด็กๆ สิ!”
ชีวิตที่ถูกกดดันอันแสนคุ้นเคยเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เพิ่งก้าวเข้าบ้าน ยังไม่ทันได้พักหายใจเลย
ในใจเขาบ่นพึมพำ แต่บนใบหน้ากลับยิ้มรับอย่างว่าง่าย “อื้อ ข้าจะออกไปดูเดี๋ยวนี้”
กำลังจะก้าวออกจากบ้าน เสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นของเด็กๆ ก็ดังขึ้นจากเชิงเขา
ไม่นาน ร่างของเด็กสี่คนก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
พอเห็นท่านพ่อกับท่านแม่ คู่แฝดชายหญิงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น อยากแบ่งปันเรื่องดีๆ ของวันนี้ให้ฟัง
ซานหลางพูดขึ้น “ท่านพ่อ พี่รองขายน้ำหยางเหมยไปได้หลายถ้วยเลย!”
ซื่อเหนียงรีบเสริม “ท่านแม่ ท่านแม่ น้ำหยางเหมยที่พวกข้าทำขายหมดเกลี้ยงเลย! พี่ใหญ่กับพี่รองขึ้นเขาไปเก็บหยางเหมยเพิ่ม คืนนี้พวกข้าจะทำเพิ่มอีก!”
หลิวจี้ทำหน้ามึนไปชั่วครู่ แต่ก็เอ่ยคำชมไปก่อน “ดีมากๆ! ต้าหลาง เอ้อร์หลาง มาให้พ่อดูหน่อยว่าพวกเจ้าโตขึ้นบ้างไหม”
เอ้อร์หลางกลอกตา “เพิ่งผ่านไปสิบวัน ข้าจะโตเร็วขนาดนั้นได้อย่างไรกัน ข้าไม่ใช่ต้นหอมสักหน่อย”
ต้าหลางยังพอให้หน้าท่านพ่อ หยิบตะกร้าหยางเหมยป่าอันหนักอึ้งขึ้นมาให้หลิวจี้ลองวัดเทียบดู
ฉินเหยาคิดไม่ถึงว่าน้ำหยางเหมยของพวกเด็กๆ จะขายหมดเกลี้ยงและขายดีจนต้องทำเพิ่มอีกชุด
นางไม่ปกปิดความประหลาดใจของตน หันไปถามเอ้อร์หลาง “เจ้าขายถ้วยละเท่าไหร่”
“ถ้วยละสองเหวิน” เอ้อร์หลางวางตะกร้าลง ตะกร้าเต็มไปด้วยหยางเหมยป่าอันหนักอึ้ง
จากนั้นก็พูดอย่างกระตือรือร้น “ท่านแม่ไม่รู้หรอกว่าคนชอบน้ำหยางเหมยของพวกข้ามากแค่ไหน ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวเช่นนี้ พวกเขายอมควักเงินจ่ายเลยล่ะ…”
เช้านี้ ฉินเหยาเพิ่งออกจากบ้านไป เอ้อร์หลางกับต้าหลางก็แบกไหบรรจุน้ำหยางเหมย ซานหลางกับซื่อเหนียงถือถ้วยกับทัพพีแล้วออกจากบ้านตามไป
ต้าหลางบอกว่าจะไปขายที่บ่อน้ำกลางหมู่บ้าน ส่วนเอ้อร์หลางหิ้วน้ำหยางเหมยไปที่ทุ่งนา วางแผงขายอยู่บนคันนา
แค่เปิดไห กลิ่นก็ลอยฟุ้งจนมีคนเดินเข้ามาถาม
ต้าหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกราคา ถ้วยละสองเหวิน คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกลงซื้อทันทีถึงสองถ้วย
พวกเขาบอกว่าอากาศร้อน ฤดูเก็บเกี่ยวก็หนักหนา ฟุ่มเฟือยเล็กน้อยเป็นบางทีก็ไม่เป็นไร
ไม่เป็นไรน่ะดีเลย! สี่พี่น้องเดินเลาะทุ่งนา ขายแบบส่งน้ำหยางเหมยถึงมือพวกเขาก่อนแล้วค่อยกลับไปเก็บเงินที่บ้านทีหลัง
ขายไปขายมา แค่ครึ่งเช้าวันเดียว ไหที่แบกมาก็เบาลงเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งขายหมด
เอ้อร์หลางจูงฉินเหยาเข้าไปในห้องโถง มองนางด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง ก่อนจะล้วงห่อผ้าจากอกเสื้อออกมา
พรึบ! เทลงบนโต๊ะอาหาร!
เหรียญทองแดงหลายสิบเหรียญกลิ้งกระทบกัน ส่งเสียงใสกังวาน
น้ำหยางเหมยขายไปได้สามสิบถ้วย รวมเป็นเงินทั้งหมดหกสิบเหวิน!