ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 126 ยุ่งวุ่นวายในวันสารทจีน
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 126 ยุ่งวุ่นวายในวันสารทจีน
ใช้เวลาสามวันครึ่งกว่าครอบครัวฉินเหยาจะเก็บเกี่ยวข้าวในที่นาสิบหมู่เสร็จ
ความเร็วนั้นไม่ถือว่าเร็วที่สุด แต่ก็ไม่ถึงกับช้านัก
เพียงแต่ว่าประสิทธิภาพในการฟาดข้าวของฉินเหยา เมื่อเทียบกับตอนที่นางฟันศีรษะคนแล้ว ยังไม่น่าตกตะลึงเท่าไหร่
ข้าวที่เก็บเกี่ยวถูกหาบกลับบ้านทีละตะกร้า ทั้งลานหน้าบ้านและหลังบ้านกองเต็มไปหมด พวกเขารีบอาศัยช่วงแดดดี พลิกกลับข้าวเพื่อผึ่งแดดทุกวัน
พอหาบข้าวตะกร้าสุดท้ายเข้าบ้าน หลิวจี้ก็นั่งแหมะลงบนพื้นกรวดที่ร้อนระอุเพราะแสงแดด “ในที่สุดก็เสร็จเสียที!”
พอพูดออกมาก็ราวกับเรี่ยวแรงหายไปจนหมดสิ้น ดวงวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
ฉินเหยายังพอมีแรง นางก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องโถง กระดกน้ำไปครึ่งกา
ต้าหลางกับพี่น้องทั้งสี่เดินช้ากว่าจึงมาถึงทีหลัง พวกเขาถูกแดดเผาจนใบหน้าแดงราวกับกวนอู
ฉินเหยาก้มมองมือของตน ผิวหนังที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาดำขึ้นสามระดับ
เพียงสามวันแดดก็ทำให้ผิวที่บำรุงมากว่าครึ่งปีกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
ส่วนหลิวจี้กลับแทบไม่ดำขึ้นเลย เขานอนพังพาบอยู่ข้างกองข้าว ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ดูราวกับวิญญาณร่อนเร่
“พักสองเค่อแล้วเจ้าไปเรียกคนบ้านหลิวต้าฝูมาที่นี่ ให้พวกเขามาขนข้าวไป” ฉินเหยาสั่งจบ ก็นั่งแหมะลงบนเก้าอี้ ปล่อยตัวปล่อยใจ
ต้าหลางและน้องๆ ทำตามอย่างเป็นธรรมชาติ เก็บเครื่องมือเกษตรเข้าที่ ถอดรองเท้ากับถุงเท้า แล้วนั่งเรียงกันพักผ่อนใต้ชายคาบ้าน
พอเห็นนกบินลงมาจะจิกกินข้าวที่ลาน ซื่อเหนียงก็ลุกพรวดแล้ววิ่งไปไล่นก “ห้ามกินข้าวของข้านะ!”
หลิวจี้ยิ้มมุมปาก มองบุตรสาวหาเรื่องกับนกตัวหนึ่ง รู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย
น่าเสียดายที่สองเค่อผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลิวจี้จึงต้องลุกขึ้น ปัดฝุ่นที่ก้นออก แล้วออกไปเรียกหลิวต้าฝูให้มาขนข้าว
หมู่แรกเก็บเกี่ยวได้ห้าร้อยจิน ทุกคนต่างดีอกดีใจ
แต่ที่ดินหมู่หลังจากนั้นกลับไม่ได้ผลผลิตมากเท่านี้ คันดินที่พังไปช่วงเดือนหกทำให้ขาดทุนไปไม่น้อย เก็บมาได้เพียงสี่ร้อยหกสิบถึงเจ็ดสิบจินเท่านั้น
รวมแล้วที่ดินสิบหมู่เก็บเกี่ยวข้าวไปได้สี่พันแปดร้อยเก้าสิบห้าจิน เฉลี่ยหมู่ละสี่ร้อยแปดสิบเก้าจิน
เมื่อเทียบกับปีก่อน ได้เพิ่มขึ้นหมู่ละห้าสิบจิน พอรวมกันสิบหมู่ก็ได้มากขึ้นเกือบห้าร้อยจิน
บ้านหลิวต้าฝูได้ส่วนแบ่งสี่ส่วน รวมเป็นหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบแปดจิน
ส่วนที่เหลือสองพันเก้าร้อยสามสิบเจ็ดจิน หักภาษีข้าวหนึ่งส่วนจากสิบห้าส่วน สุดท้ายได้สองพันเจ็ดร้อยสี่สิบเอ็ดจิน เป็นผลผลิตทั้งหมดของบ้านฉินเหยาในปีนี้
ข้าวจำนวนนี้ หากอิงจากราคาปีที่แล้ว น่าจะขายได้ราวสิบหกตำลึงสี่เฉียน
แต่ตอนนี้ฉินเหยากินเท่ากับคนสี่คน ข้าวสองพันเจ็ดร้อยกว่าจินนี้ บ้านนางหากเอาไว้กินยังแค่พอถูไถ นางจึงไม่คิดจะขาย
แน่นอนว่า ‘พอถูไถ’ ที่ว่านี้ หมายถึงกินข้าวขาวทุกมื้อ
หากเป็นครอบครัวอื่นในหมู่บ้าน ทั้งปีขอแค่ได้กินข้าวฟ่างต้มไม่ต้องหิวตายก็ถือว่าดีมากแล้ว
สามพี่น้องหลิวกงจูงรถม้าและเกวียนวัวของบ้านตน เดินมาพร้อมกับหลิวจี้เพื่อขนข้าว
ระหว่างทาง ทั้งสามไม่วายแสดงออกว่าอิจฉาในผลผลิตของบ้านหลิวจี้อยู่หลายครั้ง และยังบอกว่าจะขอซื้อต้นพันธุ์ข้าวจากพวกเขา โดยวางแผนไว้ว่าจะปลูกต้นพันธุ์ข้าวจากบ้านเขาในปีหน้า
หลิวจี้กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าน่ะอิจฉาพวกเจ้ามากกว่าอีก มีที่นาอุดมสมบูรณ์มากมายขนาดนี้ ทุกปีแค่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ได้ผลผลิตมากมาย”
สามพี่น้องหลิวกง “…”
“เอ๊ะ? พวกเจ้าเงียบทำไมเล่า”
หลิวจี้มองทั้งสามด้วยสีหน้างุนงง หากไม่นับแววชั่วร้ายที่วาบผ่านดวงตาไป นี่คงเป็นใบหน้าที่ใสซื่อที่สุดแล้ว
ฉินเหยาได้ยินเสียงจากหน้าประตูก็เดินออกมาดู พบว่าหลิวจี้พาคนมาแล้วจึงเชิญพวกเขาเข้าบ้าน
“ลานบ้านไม่ใหญ่พอ ตากข้าวทั้งหมดไม่ได้ คงต้องรบกวนให้พวกท่านขนกลับไปก่อน” ฉินเหยากล่าวอย่างสุภาพ
สามพี่น้องหลิวกงเพิ่งตั้งตัวได้จากบรรยากาศอึดอัด คนหนึ่งจัดการเอกสารรับข้าวกับนาง ที่เหลืออีกสองคนช่วยหลิวจี้ขนข้าวกลับไป
พวกเขานำตะกร้ามาด้วย รถหนึ่งคันบรรทุกได้แปดตะกร้า ข้าวหนึ่งพันเก้าร้อยกว่าจินใช้เพียงสองเที่ยวก็ขนเสร็จแล้ว รวดเร็วมาก
พอข้าวน้อยลงสี่ส่วน ลานหน้าบ้านและหลังบ้านก็มีพื้นที่พอดีสำหรับตากข้าว
ฉินเหยามองฟ้า อย่างน้อยก็ยังมีอีกสองวันที่แดดดี ข้าวในบ้านน่าจะแห้งหมดพอดี
พรุ่งนี้เป็นวันสารทจีนและเป็นวันหยุดสุดท้ายของหลิวจี้ด้วย
ฉินเหยาจะต้องใช้แรงงานของคนผู้นี้ให้คุ้มค่า
นางสั่งให้ต้าหลางและพี่น้องดูแลเรื่องตากข้าว จากนั้นหยิบเคียวขึ้นมา แล้วลากหลิวจี้ที่ร้องคร่ำครวญออกไปทางปากหมู่บ้าน
ที่ดินรกร้างของโรงโม่น้ำผืนนั้น มองไปทางไหนก็มีแต่หญ้าขึ้นเต็มไปหมด
พอได้ยินฉินเหยาสั่งให้ตนตัดหญ้า หลิวจี้ก็รู้สึกตาพร่า “เมียจ๋า ข้าคงเป็นลมแดดเข้าแล้ว!” แล้วร่างก็เริ่มโงนเงน ทำท่าจะล้มลงไป
ฉินเหยาหมุนตัวเอาเคียวพาดเข้าที่คอเขา “เจ้าจะตัดหรือไม่”
หลิวจี้สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วรีบกะพริบตาอย่างจริงใจ “ข้าตัด”
เคียวที่พาดอยู่บนลำคอจึงถูกเก็บกลับไป
ฉินเหยาชี้ให้เขาดูพื้นที่ที่มีเถาวัลย์น้อย จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าไปในทุ่งหญ้ารก ฟาดเคียวเสียงดัง ขวับๆ ใช้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง พื้นที่รอบๆ ถูกโค่นเตียนลงจนเผยให้เห็นสีของพื้นดิน
ตลอดทั้งวัน บ้านอื่นต่างเฉลิมฉลองวันสารทจีน ฉลองการเก็บเกี่ยว ใช้ข้าวที่ดีที่สุดของปีนี้เซ่นไหว้บรรพบุรุษ เชิญดวงวิญญาณมาลิ้มรส เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข
แต่บ้านฉินเหยากลับมัวแต่ถางพื้นที่รกร้างกว่าสามร้อยตารางเมตรจนเกลี้ยง ไม่ได้คิดถึงเรื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษเลย
จนกระทั่งยามเย็น เมื่อทั้งสองเก็บของกลับบ้าน เห็นทุกบ้านตั้งโต๊ะเซ่นไหว้ จุดธูปเทียนอยู่ที่ลานบ้าน จึงเพิ่งนึกขึ้นได้
แต่เมื่อสองสามีภรรยาสบตากัน ต่างก็ไม่พบความเคารพต่อบรรพบุรุษและภูตผีในดวงตาของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“บ้านเรามีธูปหรือไม่” ฉินเหยาถาม
หลิวจี้เกาศีรษะ “เหมือนจะใช้หมดไปตอนตรุษจีนแล้ว”
“แล้วเทียนเล่า”
หลิวจี้สูดลมหายใจ “เหมือนจะหมดแล้วด้วย ข้าใช้ตอนคัดลอกตำราทั้งคืน”
ฉินเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้น ไหว้ด้วยเนื้อผัดสองถ้วยดีหรือไม่”
หลิวจี้กลอกตา “เมียจ๋า เจ้าลืมหรือว่าพวกเรากินเนื้อหมดไปตั้งแต่สองวันก่อนแล้วน่ะ”
ตอนนี้จะไปซื้อในอำเภอก็ไม่ทันแล้ว ร้านขายเนื้อปิดไปนานแล้ว!
ฉินเหยากำลังจะพูดว่า ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องไหว้ก็ได้
หลิวจี้กลับหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน
ฉินเหยาเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าพวกเขายืนอยู่หน้าประตูเรือนเก่าตระกูลหลิวพอดี
หลิวจี้ชี้ไปที่โต๊ะเซ่นไหว้ข้างใน “อย่างไรก็เป็นบรรพบุรุษเดียวกัน เรากลับไปเอาข้าวใหม่มาไหว้ด้วยกันเถอะ”
ฉินเหยาเลิกคิ้ว มีเหตุผล!
ดังนั้น สามีภรรยาจึงเดินกลับบ้านไปอย่างไม่รีบร้อน วางเคียว ล้างมือและหน้าให้สะอาด หยิบขนมที่เหลืออยู่ครึ่งห่อกับข้าวใหม่หนึ่งถ้วย ลงกลอนประตูแล้วพาลูกๆ ทั้งสี่เดินไปยังเรือนเก่าตระกูลหลิวอย่างเป็นระเบียบ
“ท่านพ่อ พวกเรามาไหว้บรรพบุรุษ!”
หลิวจี้ถือขนมในมือหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งถือข้าว เสียงมาถึงก่อนตัว ทำเอานางเหอที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวตกใจจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
พอหันไปมองก็เห็นว่าเจ้าสามพาครอบครัวหกคนมาถึงลานบ้าน แถมยังถือข้าวใหม่สำหรับเซ่นไหว้ในมือ ในใจก็นึกว่าไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
ตามคาดเจ้าสามพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ หุงข้าวเพิ่มหน่อยนะ คืนนี้พวกเราจะกินข้าวที่นี่ ครอบครัวเราจะได้ครึกครึ้นหน่อย”
นางเหอถอนหายใจยาว เมื่อต้องเจอกับเจ้าคนไร้ยางอายผู้นี้ นางยังจะพูดอะไรได้อีก? จึงหยิบกระบวยไปซาวข้าวอย่างปลงตก!