ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 130 ฝนตกแล้วเก็บข้าวกันเถอะ!
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 130 ฝนตกแล้วเก็บข้าวกันเถอะ!
ตอนที่ 130 ฝนตกแล้วเก็บข้าวกันเถอะ!
การถูกตบหน้านั้นรวดเร็วเกินไป ช่างไม้หลิวรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย “แต่ แต่นางเป็นสตรีนะ…”
“พวกเราทำงานที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรืออย่างไร กลางวันแสกๆ ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ สตรีแล้วอย่างไร บุรุษแล้วอย่างไร เรารับสมัครคนงาน ขอแค่ทำงานได้ก็พอแล้ว”
ฉินเหยาหยิบพู่กันขึ้นมาวงชื่อ “เฉียวอวิ๋นผ่านการคัดเลือก ท่านคัดเลือกต่อเถอะ ยังเหลืออีกเจ็ดคน”
ช่างไม้หลิวไม่ขัดอะไรอีก คัดเลือกเพิ่มอีกเจ็ดคน โดยยึดหลักให้โอกาสเท่าเทียม ทุกบ้านได้รับเลือกบ้านละหนึ่งคน
ฝั่งฉินเหยา ในกลุ่มขุดหิน นางเลือกลุงเก้า เขาไม่เพียงแต่สร้างบ้านเป็น แถมยังมีประสบการณ์ขุดหิน ในกลุ่มคนงานมีแต่หนุ่มๆ ที่เลือดร้อน จำเป็นต้องมีผู้ใหญ่ควบคุม
เพราะการขุดหินเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง หากพลาดท่าก็อาจมีคนถูกหินทับตาย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ในกลุ่มเจียรหิน ซุ่นจื่อถือเป็นตำแหน่งที่กำหนดไว้แล้ว ส่วนอีกสองคนเป็นลูกหลานของลุงและอาที่อยู่บ้านใกล้กัน ได้บ้านละหนึ่งคน
เมื่อได้รายชื่อคนงานเรียบร้อย ช่างไม้หลิวก็กลับไปทำงานของตน ส่วนฉินเหยาออกไปแจ้งข่าวตามบ้าน ให้มารวมตัวกันที่สถานที่ก่อสร้างโรงงานในวันรุ่งขึ้นแต่เช้า
พร้อมกำชับให้แต่ละคนเตรียมชามและตะเกียบของตนเองมาด้วย
นางเหอเองก็มาตามที่นัดไว้หลังอาหารเย็น เพื่อช่วยนับจำนวนคนและกำหนดรายการอาหาร
เรื่องหม้อขนาดใหญ่ นางเหอบอกว่านางสามารถช่วยฉินเหยาขอยืมมาก่อนได้ จนกว่าโรงงานจะซื้อของตนเองแล้วค่อยคืนเขาไป
“ต้องใช้หม้อสองใบ ใบหนึ่งหุงข้าว อีกใบทำกับข้าวและต้องมีอ่างดินเผาขนาดใหญ่ไว้ใส่กับข้าวด้วย”
“ส่วนอาหาร มื้อเช้ามีข้าวต้มข้าวขาว ข้าวต้มข้าวฟ่าง ข้าวต้มผัก กินคู่กับวอโถวธัญพืชก็พอ”
“มื้อกลางวันต้องมีของมันๆ บ้าง เพิ่มน้ำแกงไข่เข้าไปแล้วทุกสิบวันทำต้มผักใส่เนื้อสับ น่าจะพอแล้ว”
ร่ายรายการอาหารเสียจนตัวนางเองยังอยากกิน นับว่าไม่เลวเลย
ตัวฉินเหยานั้นสามารถกลับบ้านไปกินข้าวขาวกับเนื้อตอนเย็นได้อยู่แล้ว นางรู้ว่านางเหอมีประสบการณ์มากจึงพยักหน้าตกลง “อย่างนั้นเอาตามที่พี่สะใภ้ใหญ่ว่าเลย”
“ได้ เช่นนั้นเงินค่าข้าวและค่ากับข้าวจะให้ข้ามารับจากเจ้าทุกวันหรือจะให้เป็นก้อนทุกสิบวันหรือครึ่งเดือนดี จะได้ไม่ต้องยุ่งยากมารับบ่อยๆ”
ฉินเหยาเดินเข้าไปในบ้าน หยิบเศษเงินออกมาแล้วยื่นให้นางเหอหนึ่งตำลึง “เอาตามมาตรฐานที่พวกเราคุยกัน พี่สะใภ้ลองใช้ดูก่อนว่าพอกี่วัน ค่อยมาคำนวณเงินเฉลี่ย แล้วค่อยว่ากันอีกที”
นางเหอตอบตกลงอย่างรวดเร็ว เก็บเงินไว้ให้ดีแล้วถามฉินเหยาว่ามีอะไรอยากได้เป็นพิเศษอีกหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินกลับบ้านไปอย่างมีความสุข
บ้านรองมีคนออกไปทำงานแค่คนเดียว นางกับสามีสองคนช่วยกัน ทำให้มีรายได้รวมเดือนละถึงหกร้อยหกสิบเหวินเชียว หากเก็บออมไว้สามเดือน ก็เท่ากับเกือบสองตำลึงเงินแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น หลังเลิกงานตอนบ่าย นางยังสามารถกลับบ้านไปทอผ้าและทำงานบ้านได้อีก แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
การมีรายได้มันช่างแตกต่างกันจริงๆ นางเหอรู้สึกว่าตนเองเดินเหินคล่องแคล่วขึ้นกว่าเดิม กระทั่งแผ่นหลังก็เหยียดตรงแล้ว
นางชิวย่อมอิจฉาเป็นธรรมดา แต่เสียดายที่ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ ได้แต่รอโอกาสหน้า
เช้าตรู่ ก่อนที่ฟ้าจะสว่างเต็มที่ พื้นที่รกร้างหน้าหมู่บ้านก็เริ่มมีเสียงดังอึกทึก
ช่างไม้หลิวนำกลุ่มช่างไม้ไปสร้างโรงงาน ส่วนฉินเหยานำกลุ่มขุดหินเข้าไปในภูเขา
ส่วนกลุ่มเจียรหินอีกสี่คน เดินไปตามบ้านเพื่อรวบรวมไม้ที่ซื้อมา หลังจากนั้นก็จะขึ้นเขาไปตัดไม้
ไม้เหล่านั้นเป็นไม้ที่ช่างไม้หลิวจ่ายเงินซื้อไว้แล้ว แต่หากตัดเองจะถูกลงอีกยี่สิบเหวิน ไหนๆ คนงานก็เยอะจึงตัดสินใจตัดเอง สามารถลดต้นทุนไปได้ไม่น้อย
เพราะการสร้างโรงงานทำให้ทั้งหมู่บ้านตระกูลหลิวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ชายชราในหมู่บ้านมองดูเหล่าหนุ่มสาวที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ข้างบ่อน้ำในหมู่บ้าน ยิ้มไป น้ำตาคลอไป
ผ่านพ้นยุคสมัยอันวุ่นวายมาได้หลายปี จนถึงวันนี้ ในที่สุดก็ผ่านมาได้แล้ว
ท้องฟ้าแจ่มใส จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังลั่น
ชาวบ้านที่กำลังตากข้าวอยู่ข้างบ่อน้ำต่างสะดุ้งโหยงพร้อมกัน
ซานหลางกับซื่อเหนียงที่กำลังเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านก็ตกใจเช่นกัน ทั้งคู่รีบวิ่งไปเก็บชู่จวีขึ้นมา พอหันกลับไปก็เห็นผู้คนพากันวิ่งวุ่นไปหมด
“ฝนกำลังจะตกแล้ว ซานหลาง รีบไปเรียกแม่ของเจ้ากลับมาเก็บข้าว!”
เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง คู่แฝดชายหญิงหันกลับไปมอง พบว่าเป็นป้าสะใภ้ตระกูลโจว
บ้านพวกนางมีเสื่อสำหรับตากข้าว ใช้ไม้พายกวาดข้าวไปรวมกันตรงกลาง พอพับเสื่อคลุมไว้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
แต่บ้านฉินเหยาไม่มีเสื่อ ข้าวทั้งหมดถูกตากไว้บนพื้น วันนี้เป็นวันสุดท้าย หากฝนตกลงมา เช่นนั้นข้าวที่ตากไว้คงแย่แน่
ซานหลางยังยืนงงอยู่ ส่วนซื่อเหนียงกลอกตาไปมา รีบยื่นชู่จวีให้พี่ชายแล้วบอกให้เขากลับไปบอกพี่ใหญ่กับพี่รอง จากนั้นก็วิ่งพุ่งออกไปนอกหมู่บ้าน
แม้ตัวเล็ก แต่นางวิ่งเร็วมาก เพราะร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ฝีเท้าจึงมั่นคง แถมปกติยังวิ่งออกกำลังกายกับพี่ชายทั้งสองเป็นประจำ ผู้คนข้างทางรู้สึกแค่ลมพัดผ่านไปเท่านั้น
ซื่อเหนียงวิ่งมาจนถึงพื้นที่รกร้างของโรงโม่น้ำ กวาดตามองหาไปทั่วแต่ไม่เห็นท่านแม่ นางร้อนใจจนตะโกนเสียงดัง
“ท่านแม่! ฝนตกแล้ว! รีบกลับไปเก็บข้าวที่ตากไว้เถอะ!”
หลิวเฝยเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียง เห็นเด็กหญิงตัวเล็กทำหน้าตาตื่นก็รีบเดินเข้ามา “ไป! แม่ของเจ้าขึ้นเขาไปขุดหิน ไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ต้าหลางกับเอ้อร์หลางอยู่ไหม”
ซื่อเหนียงพยักหน้าหงึกๆ ในเมื่อเรียกท่านแม่ไม่ได้เช่นนั้นก็เรียกท่านอาเล็กก็ได้ นางรีบพาหลิวเฝยกลับบ้านทันที
อากาศเปลี่ยนเร็วมาก พริบตาเดียวเมฆดำก้อนใหญ่ก็ลอยมาแล้ว ฝนปรอยๆ เริ่มตกลงมา ทำให้สองอาหลานต้องรีบเร่งฝีเท้า
หลิวเฝยไม่มีเวลามาสนใจหลานสาวตัวน้อยแล้ว เขาปล่อยให้นางค่อยๆ ตามมา ส่วนตัวเขารีบออกวิ่งไปก่อน
ต้าหลาง เอ้อร์หลางและซานหลางรีบกวาดข้าวที่ตากอยู่ แต่แรงเด็กนั้นน้อยเกินไป ทำความเร็วแข่งกับฝนที่เริ่มลงมาไม่ได้ พวกเขาร้อนใจจนร้องเรียกท่านแม่พลางร้องไห้ไปด้วย
ซานหลางร้องไห้หนักที่สุด ส่วนต้าหลางกับเอ้อร์หลางแทบจะทนเสียงร้องของเขาไม่ไหวแล้ว แต่พวกเขาเองก็ร้อนใจเหมือนกัน
แม่เลี้ยงมอบหมายงานสำคัญขนาดนี้ให้พวกเขา หากทำไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่านางจะโกรธแค่ไหน
พอหลิวเฝยพุ่งเข้ามาในลานบ้าน ต้าหลางกับเอ้อร์หลางรู้สึกราวกับได้เห็นแสงสว่าง
ฝนปรอยลงมาแล้ว มีข้าวเปลือกตากอยู่ทั้งหน้าและหลังบ้านมากเพียงนั้น เก็บทั้งหมดไม่ทันแน่ ทำได้แค่โกยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพิ่งเก็บข้าวตากในลานหลังบ้านเสร็จ ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ซื่อเหนียงวิ่งมาถึงหน้าประตูบ้าน พอเห็นข้าวที่ตากในลานหน้าบ้านเปียกฝน ริมฝีปากเล็กๆ ก็เม้มแน่น ทำท่าจะร้องไห้
ฝนนี้ช่างน่าชังนัก มาเร็วไปเร็ว ตกแค่ครู่เดียวก็หยุดแล้ว ทำให้ไม่รู้ว่ามีกี่ครอบครัวต้องเสียหาย
ทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
ในลานบ้านเล็กๆ บนเนินเขา เสียงร้องไห้ของซานหลางค่อยๆ เบาลง…เพราะถูกเอ้อร์หลางปิดปากไว้
“หยุดร้องได้แล้ว ร้องจนข้าปวดหัว! ใครจะไปรู้ว่าฝนจะตกกัน!”
เอ้อร์หลางชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเจิดจ้าอย่างอารมณ์เสีย “ดูสิ ฟ้านี่เหมือนเพิ่งฝนตกไหม”
หลิวเฝยมองดูเด็กทั้งสี่ตรงหน้า นึกภาพไม่ออกเลยว่าพี่สะใภ้สามจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแค่ไหน แต่ก็คงไม่ได้น่ากลัวไปกว่าตอนที่นางสังหารหัวหน้าโจรหรอกกระมัง
เขาทิ้งสายตาให้เด็กทั้งสี่เป็นเชิงว่า พวกเจ้าเอาตัวรอดกันเองเถอะ ก่อนจะบิดเสื้อที่เปียกโชกของตน แล้วเดินจากไป
สายลมพัดผ่าน ซานหลางทนไม่ไหวคว้ามือของพี่รองที่ปิดปากตนเองออกแล้วจามเสียงดังลั่น
เสียงกีบม้าดังมาจากเชิงเขา พี่น้องทั้งสี่เงยหน้าพร้อมกัน ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ฉินเหยากระโดดลงจากหลังม้าแล้วรีบวิ่งเข้ามาในลานบ้านก็เห็นเด็กสี่คนที่เปียกโชกไปทั้งตัว พวกเขานั่งอยู่บนกองข้าวที่เปียกฝนพลางมองนางด้วยแววตาตื่นกลัวราวกับทำความผิดใหญ่หลวง