ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 131 อ่อนแอ น่าสงสาร และไร้ที่พึ่ง
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 131 อ่อนแอ น่าสงสาร และไร้ที่พึ่ง
ตอนที่ 131 อ่อนแอ น่าสงสาร และไร้ที่พึ่ง
ฉินเหยาถอนหายใจเบาๆ อย่างจนใจ เดินไปที่ครัวเพื่อจุดไฟต้มน้ำ
ใส่ฟืนเพิ่มเข้าไปในช่องเตาให้เปลวไฟลุกโชนขึ้นอีก ระหว่างรอน้ำเดือดก็ออกไปที่ลานบ้าน หยิบคราดไม้มากระจายข้าวที่กองรวมกันให้กระจายออกอีกครั้ง
แม้จะเป็นปลายเดือนเจ็ด แต่แสงแดดยังแรงจัด พื้นดินที่เมื่อครู่ยังเปียกอยู่ตอนนี้แห้งสนิทแล้ว ข้าวที่กระจายออกมาต้องรีบตากให้แห้ง ไม่อย่างนั้นจะเสียหายได้
เมื่อคราดไม้กวาดมาถึงตรงหน้าพี่น้องทั้งสี่ พวกเขาพร้อมใจกันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ไปไหน ยืนอยู่ตรงนั้นมองฉินเหยาอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออกให้หมด รอจนน้ำเดือดแล้วก็เช็ดหน้าหน่อย จากนั้นก็ดื่มน้ำขิงกันคนละถ้วย จะได้ไม่เป็นหวัด” ฉินเหยาชี้ไปที่ห้องเด็ก พลางโบกมือไล่พวกเขาให้รีบเข้าไป
ซานหลางร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลย้อยไปหมด ฉินเหยาทำเสียงจิ๊จ๊ะสองที แล้วให้ต้าหลางพาเขาไปสั่งน้ำมูกให้เรียบร้อย
“ท่านแม่ ท่านไม่โกรธหรือ” ซื่อเหนียงถามเสียงเบา
ฉินเหยายักไหล่ “พวกเจ้าไม่ได้ตั้งใจนี่ ข้าจะโกรธทำไม เวลาสั้นๆ แค่นี้ทำได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ หากเป็นไข้ขึ้นมาสิข้าถึงจะโกรธ!”
หากป่วยก็ต้องกินยา ต้องเสียเงิน ค่ายานั่นแพงกว่าข้าวตากในลานบ้านนี้หลายเท่านัก
ต้าหลางและพี่น้องมองหน้ากัน ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกแล้วพากันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ที่จริงแล้วข้าวที่เปียกมีไม่มาก เป็นเพียงชั้นนอกสุดเท่านั้น ข้างในยังไม่เปียก แค่กระจายออกมาตากแดดช่วงบ่ายก็แห้งหมดแล้ว
ส่วนข้าวที่เก็บก่อนตรงลานหลังบ้านก็ยังดีอยู่ ฉินเหยาเทออกมาตากใหม่ นางมองข้าวที่ตากไว้เต็มลานหน้าและหลังบ้าน ก่อนจะยกมือเช็ดหยดน้ำที่ซึมลงจากหน้าผาก ไม่รู้ว่าเป็นเหงื่อหรือฝนกันแน่ วันนี้นางได้รู้ซึ้งแล้วว่าการเป็นชาวนานั้นไม่ง่ายเลย
นี่คือการพึ่งพาฟ้าเพื่อเลี้ยงชีพจริงๆ หวังเพียงให้ฟ้าฝนเป็นใจนั้นยากยิ่ง
นางเห็นแล้วว่าฟ้าผิดปกติตั้งแต่ก่อนหน้านั้น แต่ตอนนั้นนางกำลังขุดหินอยู่บนภูเขาจึงกลับมาไม่ทัน
ฝนแบบนี้ไม่มีรูปแบบตายตัว จะสังเกตได้ก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นไม่กี่นาทีก่อนหน้า จึงไม่อาจป้องกันล่วงหน้าได้
แต่พูดไปพูดมาก็เป็นเพราะไม่มีผ้าใบกันฝน
ดูท่าว่าปีหน้าจะต้องเตรียมเสื่อตากแดดสักสองสามม้วน แบบสานด้วยไม้ไผ่ ขนาดมีตั้งแต่สองคูณห้าเมตร หรือสามคูณแปดเมตร นอกจากใช้ตากข้าวแล้ว ยังสามารถใช้ตากพริกหรือผักตากแห้งได้อีกด้วย
เพราะไม่มีประสบการณ์ทำนา ก่อนหน้านี้ฉินเหยาจึงไม่เคยนึกถึงสิ่งนี้เลย
“ท่านน้า”
ต้าหลางที่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่เดินเข้ามาหานางจากด้านหลัง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ฝนตกหนักและมาเร็วเกินไป พวกเราเก็บข้าวไม่ทัน ข้าวที่ตากเลยเปียกหมด”
ฉินเหยานำคราดไปวางพิงกำแพง เดินเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ “ไม่เป็นไร เปียกแค่นิดเดียว เดี๋ยวตากบ่ายนี้ก็แห้งแล้ว แต่พวกเจ้าต้องพลิกบ่อยๆ หน่อย ข้าต้องกลับไปที่นั่นต่อ”
หากนางไม่ช่วย กลุ่มขุดหินคงล่าช้ามากแน่ๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขาแค่เก็บหินไม่กี่ก้อนเลยยังไม่รู้ว่าแนวหินแน่นขนาดไหน แต่ตอนนี้ต้องการปริมาณเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ไม่มีดินระเบิด ต้องใช้แรงคนอย่างเดียว งานนี้ไม่ง่ายเลย
ดีที่นางมีพละกำลังมหาศาล ตอกหมุดยาวลงไปตามจุด ทำให้สามารถเจาะแผ่นหินใหญ่ลงมาได้
งานนี้นอกจากนางก็ไม่มีใครทำได้ อีกเดี๋ยวนางต้องรีบกลับไป
น้ำร้อนเดือดแล้ว ฉินเหยาส่งยิ้มให้ต้าหลางที่ดูเครียดๆ ตักน้ำให้พวกเขาเช็ดตัว จากนั้นใช้หม้อดินเล็กๆ แยกน้ำร้อนออกมา หั่นขิงเป็นแว่นใส่ลงไปต้ม
รวมทั้งนางเอง ห้าคนแม่ลูกดื่มน้ำขิงกันคนละถ้วยเพื่อไล่ความเย็น
แต่ซานหลางโดนเล่นงานไปแล้ว น้ำมูกไหลยาวเป็นสองสาย ต้องสูดน้ำมูกขึ้นจมูกตลอด
ฉินเหยาเรียกเขามาตรงหน้า แตะหน้าผากตรวจดู ไม่ร้อน ยังพอหายเองได้
กำชับพี่น้องทั้งสี่ให้ดูแลตนเองดีๆ แล้วฉินเหยาก็ออกไปอีกครั้ง
ทำงานที่จุดขุดหินจนพระอาทิตย์ตกดิน จากนั้นก็นำกลุ่มคนงานแยกย้ายกันกลับบ้าน
ระหว่างทางผ่านโรงโม่น้ำ ฉินเหยาแวะเข้าไปตรวจดู ทุกอย่างเรียบร้อยดี กล่องเงินถูกเอ้อร์หลางเอากลับไปที่บ้านแล้ว
ขณะเดินกลับบ้าน นางก็ได้กลิ่นหอมของข้าวสุกลอยมาจากที่ไกลๆ พอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ท้องก็ร้องโครกครากทันที งานที่ใช้แรงเยอะทำให้หิวเร็วจริงๆ
“ท่านแม่!”
เสียงร่าเริงของซื่อเหนียงดังมาจากเนินด้านบน เด็กหญิงเห็นนางก็รีบวิ่งลงมารับ
“ท่านแม่! ข้าวตากแห้งหมดแล้ว วันนี้ท่านยายหวังมาใช้โรงโม่ พี่รองเก็บไข่ไก่ได้สองฟอง พี่ใหญ่กำลังต้มน้ำแกงผักใส่ไข่ อีกประเดี๋ยวก็ได้กินข้าวแล้ว!”
“ท่านแม่ เหนื่อยไหม งานหนักหรือเปล่า พรุ่งนี้ยังต้องไปอีกหรือไม่”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตากลมโตทั้งคู่แวววาวราวลูกแก้ว ราวกับนกกระจอกตัวน้อยที่เกาะอยู่บนต้นไม้พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
ม้าค่อยๆ เดินตามหลังสองแม่ลูก ฉินเหยารอให้ขาเล็กๆ วิ่งตามมาไม่ไหวจึงอุ้มซื่อเหนียงขึ้นมา หอมใบหน้าเล็กๆ ไปหนึ่งฟอด
เด็กน้อยซุกใบหน้าลงกับซอกคอของนางแล้วถูไถเบาๆ ราวกับลูกแมว
เด็กน้อยฉวยโอกาสที่นางเผลอจูบเข้าที่แก้มของฉินเหยาหนึ่งฟอด จากนั้นก็รีบยกมือขึ้นปิดหน้าตนเอง เหลือร่องนิ้วไว้หนึ่งช่องคอยแอบมองสีหน้าของนาง
พอเห็นฉินเหยาหัวเราะออกมา ซื่อเหนียงก็ลดมือลง ก่อนจะหัวเราะคิกคักตาม
“ท่านแม่” ซื่อเหนียงเรียกด้วยเสียงอ่อนหวาน
“อืม” ฉินเหยาขานรับ
นางเรียกอีกครั้ง “ท่านแม่~”
“หืม” ฉินเหยามองเด็กหญิงในอ้อมแขนด้วยความสงสัย เด็กหญิงเพียงแค่ยิ้มให้ แววตาเต็มไปด้วยความรักและความเคารพ ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ซื่อเหนียงรักท่านแม่ที่สุดเลย!”
หัวใจของฉินเหยาอ่อนยวบลง นางจงใจถามกลับว่า “จริงหรือ รักเป็นอันดับหนึ่งเลยหรือไม่”
ซื่อเหนียงพยักหน้าหนักแน่นโดยไม่ลังเล “ใช่! ซื่อเหนียงรักท่านแม่ที่สุด รักเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”
ฉินเหยายกยิ้มมุมปากเอาหน้าผากชนเข้ากับหน้าผากของซื่อเหนียง “เจ้าตัวน้อยนี่ช่างประจบจริงๆ”
“อย่างนั้นซื่อเหนียงก็เป็นตัวประจบของท่านแม่แล้วกัน!” ซื่อเหนียงโอบรอบคอฉินเหยาแน่น ก่อนจะโยกศีรษะไปมาอย่างภาคภูมิใจ
แม่ลูกพูดคุยหยอกล้อกันไปตลอดทางกลับบ้าน ข้าวที่ตากไว้ในลานบ้านถูกเก็บใส่ตะกร้าไม้ไผ่เรียบร้อย วางไว้ใต้ชายคาและบริเวณลานว่าง
ข้าวในตะกร้าหนักเกินไป พี่น้องทั้งสี่ขนกันไม่ไหว พวกเขาแค่ช่วยกันตักใส่ตะกร้าแล้วรอให้ฉินเหยามาขนเข้าห้องโถง พรุ่งนี้เช้าค่อยนำออกมาตากใหม่
ข้าวบางส่วนที่โดนฝนในลานหน้าบ้าน ฉินเหยาคัดแยกออกมาต่างหาก พรุ่งนี้ค่อยตากอีกวัน จากนั้นก็จะสามารถเก็บเข้ายุ้งฉางได้แล้ว
มื้อเย็นวันนี้ถือว่าหรูหรา ข้าวขาวร้อนๆ น้ำแกงไข่ใส่ผักและซี่โครงหมูปรุงรส
ฉินเหยาอดชมฝีมือการทำอาหารของต้าหลางไม่ได้ “ถึงกับทำอาหารยุ่งยากอย่างซี่โครงหมูปรุงรสได้แล้วหรือ หลิวต้าหลาง เจ้านี่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ต้าหลางรู้สึกเขินเล็กน้อย “ข้าเรียนจากท่านย่าและอาสะใภ้รองน่ะขอรับ”
ความหมายก็คือ ได้อาจารย์ดีนั่นเอง
ฉินเหยาโบกมือ “ไม่ๆๆ เจ้าเองต่างหากที่พยายามถึงได้ผลลัพธ์เช่นนี้ อย่าปฏิเสธความสามารถของตนเอง เดิมทีเจ้าก็มีพรสวรรค์อยู่แล้ว”
ไหนเลยจะเหมือนนางที่ไม่มีความอดทนจะเรียนทำอาหารที่ยุ่งยากเหล่านี้ แค่เตรียมวัตถุดิบก็ใช้เวลานานแล้ว ไหนจะต้องเช็ดเตา ล้างหม้อหลังทำเสร็จอีก เสียเวลาสิ้นดี
“ต้าหลาง” ฉินเหยาพูดขึ้น ขณะกำลังแทะซี่โครงหมูไปด้วย “บุรุษที่ทำงานบ้านเป็นได้รับความนิยมมากในตลาดแต่งงานนะ เจ้าแต่งงานเมื่อไหร่ ข้าคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว”
“แค่กๆๆ!”
ต้าหลางสำลักอย่างแรง ถูกคำพูดตรงไปตรงมาของแม่เลี้ยงทำให้ตกใจจนข้าวติดคอไอจนน้ำตาไหล
ฉินเหยามองเขาอย่างเสียดายในพรสวรรค์ แต่ในใจกลับคิดถึงหลิวเฝย
เด็กหนุ่มอายุสิบห้า หากเป็นยุคปัจจุบันก็เพิ่งขึ้นชั้นมัธยมสาม แต่นางจางกลับเริ่มหาพ่อสื่อแม่สื่อไปทั่วเพื่อเตรียมหมั้นหมายให้เขาแล้ว
ดูจากท่าที คงอยากให้หมั้นหมายก่อนปีใหม่แล้วแต่งงานในปีหน้า
หากนับอายุแบบนี้ ต้าหลางของนางปีนี้อายุเก้าขวบ อีกหกปีก็ถึงตาของเขาแล้ว
“ยังเร็วเกินไปแล้ว” ฉินเหยาพึมพำกับตนเองเสียงต่ำ มองต้าหลางพลางส่ายหน้า อย่างน้อยก็ต้องอายุสิบแปดเต็มก่อนค่อยคุยกันเรื่องแต่งงาน
ต้าหลางโดนจ้องจนใจหวิวไปหมด…
อ่อนแอ น่าสงสาร ไร้ทางสู้…