ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 132 วัฒนธรรมองค์กร
ตอนที่ 132 วัฒนธรรมองค์กร
ในวันที่ยี่สิบแปดเดือนเจ็ด หลังจากช่างไม้หลิวและคนงานพากเพียรทำงานกันอย่างหนัก ในที่สุด บนผืนดินรกร้างก็ปรากฏโรงงานขึ้นเป็นรูปแบบเรือนสี่ประสานไม้
ป้ายของโรงงานผลิตกังหันน้ำหมู่บ้านตระกูลหลิวถูกแขวนขึ้นอย่างเป็นทางการเหนือซุ้มประตูไม้ที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย
ชาวบ้านไม่รู้ไปยืมผ้าสีแดงมาจากที่ใดแล้วให้สตรีฝีมือดีช่วยกันม้วนเป็นดอกไม้สีแดงสด ติดไว้สองข้างของประตูโรงงาน เพิ่มบรรยากาศแห่งความยินดีไม่น้อย
ฉินเหยาซื้อประทัดมาสองม้วน จุดเสียงดังเปรี้ยงปร้างครู่ใหญ่ จากนั้นก็ร่วมกับช่างไม้หลิวและเหล่าคนงาน ประกาศอย่างเป็นทางการว่า โรงงานผลิตกังหันน้ำหมู่บ้านตระกูลหลิวก่อตั้งขึ้นแล้ว!
แม้ว่าโรงงานจะดูเรียบง่ายยิ่งนัก แต่ในสายตาของชาวบ้าน กลับเห็นเพียงโรงเรือนที่สะอาดและกว้างขวาง ภายในเต็มไปด้วยคนงานที่ทำงานกันเป็นระบบ แม้จะยุ่งวุ่นวายแต่ก็เป็นระเบียบ
สำหรับคนที่เคยออกไปเห็นโลกกว้างเช่นหลิวต้าฝู เพียงมองก็รู้ได้ทันทีว่า ในห้องเล็กๆ แต่ละห้องนี้ซ่อนความลับเอาไว้
นับจากนี้ไปหากจะเข้าสู่หมู่บ้านตระกูลหลิวก็จำต้องผ่านโรงงานแห่งนี้ก่อน
หลังจากพิธีเปิดอย่างง่ายๆ จบลง ฉินเหยากับช่างไม้หลิวก็พาเหล่าคนงานเริ่มงานผลิตอย่างเป็นทางการ
ก้อนหินขนาดใหญ่ถูกลำเลียงเข้ามาในโรงงานทีละคันรถแล้วกองรวมกันไว้กลางลานโรงงาน
ท่อนไม้ถูกขนลงมาจากภูเขาทีละต้น จัดเรียงให้เป็นระเบียบในพื้นที่ว่างด้านข้างโรงงานที่จัดเตรียมไว้ จากนั้นนำขึ้นวางบนขาตั้งสามขาที่สร้างขึ้นเพื่อผึ่งให้แห้งหนึ่งเดือน ก่อนจะนำไปใช้งานได้
ไม้ชุดแรกที่พร้อมใช้งาน หลังจากผ่านการแปรรูปจากช่างไม้ก็กลายเป็นแผ่นไม้ที่มีความหนาเสมอกัน
มีบางคนรับหน้าที่ตัดแผ่นไม้เหล่านี้ให้เป็นใบพัดกังหันน้ำ บางคนตัดเป็นแท่งยาวสำหรับทำแกนหมุน และบางคนทำหน้าที่ประกอบ ส่วนสุดท้ายคืองานลงสีเคลือบและตากแห้ง
อวิ๋นเหนียงเป็นหนึ่งในช่างลงสี ด้วยประสบการณ์ของนาง ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงาน นางก็ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มช่างสีทันที
ตอนแรกช่างไม้หลิวรู้สึกลำบากใจที่มีสตรีมาร่วมงาน แต่เมื่อลงมือทำจริงกลับพบว่า เรื่องชายหญิงไม่ใช่สิ่งสำคัญ คนที่ทำงานได้ดีและรวดเร็วต่างหากที่เป็นเรื่องหลัก
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ได้สร้างความยุ่งยากใดๆ ลูกเล็กของนางมีแม่สามีช่วยดูแล
ทุกเย็นพ่อค้าหาบเร่หลิวจะมารับภรรยากลับบ้าน บางครั้งยังนำของกินเล็กๆ น้อยๆ มาฝากทุกคนพลางขอให้ช่วยดูแลนางให้มากหน่อย
สิ่งที่ทำให้ช่างไม้หลิวรู้สึกวางใจที่สุดก็คือ อวิ๋นเหนียงเป็นคนรอบคอบ สายตาเฉียบคม แผ่นไม้ที่มีจุดบกพร่องแม้เพียงนิดนางก็มองออกและสั่งให้คนงานลงสีแก้ไขใหม่ทันที กำจัดปัญหาก่อนที่สินค้าจะถูกส่งออกไป
ฝ่ายผลิตกังหันน้ำคืบหน้าไปได้ดีมาก ทว่าฝ่ายโม่หินของฉินเหยากลับติดปัญหาไม่น้อย
กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ ตอกตะปูทุบไม้กันทุกวันบ่อยครั้งเข้าก็เกิดมีปากเสียง
บ้างก็เป็นเพราะคนหนึ่งไปโดนมือของอีกคน บ้างก็ไม่ระวังตอกหินกระเด็นไปโดนหน้าผากของผู้อื่นจนได้แผลฉกรรจ์
โชคดีที่ฉินเหยาไม่ไว้วางใจ นางจึงคอยออกมาดูแลตลอดในช่วงแรก ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงได้ชกต่อยกันไปแล้ว
แต่มัวแต่ห้ามปรามและใช้กำลังข่มขู่ทุกวันก็ไม่ใช่แผนระยะยาว ฉินเหยาคิดว่า จำต้องหาวิธีแก้ไขให้เด็ดขาดไปเลย
ต้องตั้งกฎ ต้องตั้งกฎขึ้นมาให้ได้!
นี่คือคำแนะนำของผู้อาวุโสประจำตระกูลที่ฉินเหยาไปขอคำปรึกษามา
คนพวกนี้ล้วนเป็นชาวบ้านที่ไม่เคยร่ำเรียนหนังสือ จิตสำนึกขั้นพื้นฐานก็เป็นเช่นนี้ จะใช้มารยาทและกฎเกณฑ์มาผูกมัดพวกเขาย่อมไร้ผล เพราะพวกเขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่ามันคืออะไร
พวกเขาเหมาะกับระบบรางวัลและการลงโทษที่ง่ายและชัดเจน ผู้อาวุโสให้ฉินเหยาเขียนกฎออกมา อ่านให้คนเหล่านี้ฟังและบังคับให้ท่องจำให้ขึ้นใจ จากนั้นก็เลือกสองคนออกมาเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นตัวอย่าง เท่านี้ทุกคนก็จะสงบเสงี่ยม
แน่นอน หากฉินเหยาอยู่เองก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ เพียงแค่นางยืนอยู่กับที่แล้วตวาดออกไป เหล่าชายฉกรรจ์แห่งหมู่บ้านตระกูลหลิวก็ต้องตัวสั่นกันถ้วนหน้าแล้ว
ระบบรางวัลและลงโทษเหล่านี้ มีไว้ใช้ยามที่ฉินเหยาไม่อยู่ เพื่อให้หัวหน้ากลุ่มย่อยอย่างลุงเก้าจัดการได้สะดวก
ฉินเหยาชูนิ้วโป้งให้ผู้อาวุโส คนแก่ย่อมเจนจัดกว่าจริงๆ!
พอกลับถึงบ้าน นางก็โต้รุ่งร่างกฎระเบียบเกี่ยวกับรางวัลและการลงโทษ รวมถึงข้อควรระวังในการทำงานและกำหนดให้คนงานท่องกฎทุกเช้าก่อนเริ่มงาน
ฉินเหยาเรียกสิ่งนี้ว่า “นี่แหละวัฒนธรรมองค์กรของพวกเรา!”
หลิวไป่และคนอื่นๆ พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้พวกเขาเป็นคนที่มีวัฒนธรรมแล้ว!
ฉินเหยามองใบหน้าตื่นเต้นเหล่านั้น คิดว่าพวกเขาคงเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ นางสามารถปล่อยให้พวกบุรุษเหล่านี้ไปขุดหินกันเองได้เสียที
ฤดูเก็บเกี่ยวของหมู่บ้านตระกูลหลิวใกล้สิ้นสุดลงแล้ว ในช่วงเวลานี้ ฉินเหยาฉวยโอกาสไปเมืองจินสือ หวังจะหาลูกค้าเพิ่ม
คงไม่อาจให้โรงงานหยุดทำการหลังเสร็จจากคำสั่งซื้อห้าสิบชุดของไป๋ซั่นกระมัง
โรงโม่น้ำของเถ้าแก่อู่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงพอดี การค้ากำลังคึกคักถึงขีดสุด คานหาบข้าวเปลือกที่ใช้สำหรับต่อแถวนั้นเรียงยาวจากริมฝั่งแม่น้ำไปจนถึงถนนหลวง
วันนี้มีตลาดนัดพอดี ถนนหลวงนอกเมืองจินสือจึงเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ขายของจุกจิกและพวกของกินเล่น
ฉินเหยาหยุดที่หน้าแผงขายขนมกินเล่นร้านหนึ่ง มัดเหล่าหวงไว้กับตอไม้ริมทาง จากนั้นก็หยิบเงินสามเหวินออกมาซื้อเครื่องดื่มเย็นหนึ่งชาม
น้ำข้าวเหนียวปั้นหมักสุราที่แช่เย็นด้วยน้ำบ่อ ดื่มแล้วทั้งดับกระหายและอิ่มท้อง
ฉินเหยาชี้ไปยังโรงโม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล “เถ้าแก่ ข้าขอถือถ้วยไปทางนั้นหน่อย เดี๋ยวจะเอามาคืน”
เจ้าของแผงเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง พวกเขาตอบรับว่าได้ เพราะยังไงตอนนี้ก็ไม่มีลูกค้าอยู่แล้ว แถมในตะกร้าก็ยังมีถ้วยเหลือเฟือ
ดังนั้นฉินเหยาจึงค่อยๆ เดินไปหาเถ้าแก่อู่ที่กำลังยุ่งจนเหงื่อท่วมตัวพลางกินเครื่องดื่มเย็นไปด้วย
กังหันน้ำสามตัวหมุนต่อเนื่องไม่หยุด หนึ่งในนั้นเริ่มมีปัญหาเพราะทำงานหนักเกินไป เถ้าแก่อู่เพิ่งซ่อมเสร็จ เหงื่อท่วมไปทั้งตัว
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉินเหยากำลังกินเครื่องดื่มเย็นพลางรับลมเย็นริมแม่น้ำ ดูแล้วสบายอกสบายใจยิ่งนัก
“โอ้โห ฉินเหนียงจื่อ แขกที่หาตัวจับยากเช่นเจ้ามาทำอะไรที่โรงโม่เก่าคร่ำครึของข้าเล่า”
เถ้าแก่อู่ใช้มือข้างหนึ่งโบกพัด อีกมือวางเครื่องมือซ่อมแซมลง จากนั้นก็ชี้ไปยังที่ว่างด้านข้าง ฉินเหยาจึงก้าวเท้าตามไป
“ดูสิ ตอนนั้นข้าก็บอกแล้วว่าแค่กังหันน้ำสามตัวไม่พอ ท่านก็ยังไม่เชื่อ ตอนนี้แถวต่อยาวไปจนถึงถนนหลวงแล้ว ชาวบ้านจากสิบลี้แปดหมู่บ้านคงหลั่งไหลมากันหมดเลยกระมัง” ฉินเหยากล่าวยิ้มๆ
เถ้าแก่อู่ดูภูมิใจเล็กน้อย ตอบว่า “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ฮูหยินผู้เฒ่าจากจวนตระกูลติงถึงกับส่งคนมาสอบถามข้า ตั้งใจจะเหมาโรงโม่น้ำของข้าทั้งเดือนเลยทีเดียว!”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ไม่ได้เอ่ยต่อว่าท้ายที่สุดเขาปฏิเสธหรือตอบรับข้อเสนอนั้น
ฉินเหยาไม่ต้องถาม นางก็เดาได้ว่าเถ้าแก่อู่ย่อมไม่ตอบตกลงแน่นอน
หากเขาตอบตกลงคงทำให้ชาวบ้านธรรมดารอบๆ โกรธเคืองกันหมด
ตระกูลติงเป็นตระกูลใหญ่ ใช้บริการแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งในเรือนของพวกเขาก็มีทาสตำข้าวอยู่แล้ว จะมีหรือไม่มีโรงโม่น้ำของเขา ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก
แต่ชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัญญาเลี้ยงทาสตำข้าว จำต้องพึ่งพาโรงโม่ของเขาทุกวัน หากอยากทำการค้าไปนานๆ ย่อมต้องรู้จักเลือกสิ่งที่เหมาะสม
ฉินเหยาเห็นแววเสียดายในดวงตาของเขาจึงเอ่ยเตือนว่า “หากปีนี้ไม่สำเร็จ เช่นนั้นฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าก็จะพลาดด้วยหรือ”
นางหมายถึงช่วงเก็บเกี่ยวข้าวสาลี เพราะแป้งสาลีเป็นสิ่งที่ต้องใช้โรงโม่ในการโม่มากที่สุด ทั้งการกระเทาะเปลือกและโม่เป็นแป้ง อีกทั้งระยะเวลาการใช้งานยังนานกว่าการโม่ข้าวเปลือกถึงสองเท่า
เถ้าแก่อู่รู้ทันทีว่าการปรากฏตัวของฉินเหยานี้ไม่ใช่ว่านางมาชมความคึกคักของตลาด จึงถามนางด้วยความจนใจ
“ข้าได้ยินมาว่าหมู่บ้านของเจ้ารับคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ไป ก่อนเดือนสิบเอ็ดคงส่งงานอื่นไม่ได้ แต่ข้ารีบใช้โม่ตอนนี้ เจ้าเองก็ส่งของมาไม่ได้ หากรอถึงเดือนสิบเอ็ดคงรอไม่ไหวหรอก!”