ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 134 ขั้นตอนการสอบ
ตอนที่ 134 ขั้นตอนการสอบ
หลิวจี้กลับมาถึงบ้านในยามซวีหนึ่งเค่อ[1]
วันนี้โชคดีนัก หลังเลิกเรียนยังเจอเกวียนวัวที่กำลังมุ่งไปหมู่บ้านเซี่ยเหออยู่หน้าประตูเมือง เขาเพิ่มเงินให้อีกห้าเหวิน ขอให้ช่วยส่งเขาลงที่ปากทางเข้าหมู่บ้านตระกูลหลิว ทำให้สามารถกลับถึงบ้านก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
ที่บ้านกินอาหารเย็นกันไปแล้ว ทุกจานล้วนหั่นเนื้อใส่ลงไปด้วย อาหารที่ผัดออกมามันวาวชวนกิน ทำให้ฉินเหยากินข้าวเพิ่มไปอีกชาม เป็นครั้งแรกที่นางกินจนแน่นท้อง นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ในลานบ้าน ไม่อยากขยับตัวแม้แต่น้อย
เมื่อหลิวจี้เดินเข้ามาในบ้านกลับไม่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นตามที่จินตนาการไว้
เด็กสี่คนในบ้านล้วนตั้งอกตั้งใจนั่งฝึกเขียนอักษรอยู่ที่โต๊ะหนังสือ มีตะเกียงน้ำมันสองดวงส่องแสงทำให้ทั้งห้องสว่างจ้า
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่หน้าประตู พวกเด็กๆ ก็หันมามองเขาครู่หนึ่งก่อนพร้อมใจกันร้องเรียก “ท่านพ่อ” ก่อนจะหันกลับไปเรียนต่อ
หลายวันก่อนล้วนยุ่งกับฤดูเก็บเกี่ยว แถมฉินเหยายังต้องจัดการเรื่องโรงงานจนว่างเว้นจากการเรียนไปหลายวัน ตอนนี้พอมีเวลาว่างย่อมต้องเร่งตามให้ทัน
การเรียนเป็นเช่นนี้ หยุดไม่ได้ หากหยุดไปแล้ว การจะกลับมาเรียนใหม่ก็เป็นเรื่องยาก
ฉินเหยาใช้นิ้วแตะริมฝีปาก ทำสัญลักษณ์ให้เงียบ เตือนหลิวจี้ว่าให้ลดเสียงลง อย่ารบกวนเด็กๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในห้อง
หลิวจี้รู้สึกแปลกใจไปชั่วขณะ บ้านหลังนี้ยังเป็นบ้านของเขาอยู่หรือไม่ ดูเหมือนจะกลายเป็นบ้านของฉินเหยาไปแล้ว ส่วนเขาก็เป็นเพียงแขกคนหนึ่ง
ไม่สิ แม้แต่แขกก็ยังไม่เทียบได้!
กล้ำกลืนความอึดอัดในใจ หลิวจี้เข้าไปในห้องของตน เก็บข้าวของให้เรียบร้อย แล้วส่งของที่ฉินเหยาต้องการให้ จากนั้นจึงหมุนตัวเข้าไปในครัวเพื่ออุ่นข้าวกินเอง
เมื่อเปิดฝาหม้อบนเตาออกก็พบว่าต้าหลางเก็บกับข้าวจานเนื้อพร้อมข้าวสวยอัดแน่นเต็มชามไว้ให้ ในเตายังมีฟืนสองท่อนที่ตอนนี้เผาไหม้จนหมดแล้ว แต่ข้าวและอาหารในหม้อกลับอุ่นกำลังดี
หัวใจที่บอบช้ำของหลิวจี้ได้รับการปลอบประโลมขึ้นมาทันที เขาหยิบข้าวและกับข้าวออกมากินคำโต
อาหารที่สำนักศึกษาไม่นับว่าดีมาก ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะได้กินเนื้อ เขาหิวจนทนไม่ไหวจึงต้องออกไปใช้เงินตัวเองซื้อซาลาเปาไส้เนื้อมากินสองลูกเพื่อดับความอยาก
แต่เงินในมือก็มิได้มีเหลือเฟือ ซาลาเปาไส้เนื้อที่ซื้อก็แค่พอให้กินพอหายอยากเท่านั้น เมื่อเทียบกับเนื้อชิ้นใหญ่ในชามแล้ว ซาลาเปาที่ว่ากลับไม่พอยัดซอกฟันเสียด้วยซ้ำ
เมื่อได้กินข้าวที่บ้าน ความรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อตอนเดินเข้าประตูมาก็พลันจางหายไป หลิวจี้ฟื้นคืนพละกำลังเต็มที่อีกครั้ง!
เมื่อกินอิ่มดื่มพอแล้ว หลิวจี้ก็ย้ายตัวเองไปยืนอยู่ข้างหลังฉินเหยา มองท้องฟ้าที่มืดลงแล้วลองถามหยั่งเชิงว่า
“มืดเช่นนี้ เมียจ๋า เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่”
ฉินเหยาชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง “งั้นเจ้ายังไม่รู้จักจุดตะเกียงอีกหรือ”
หลิวจี้หันหลังไปอย่างหงุดหงิด จุดตะเกียงน้ำมันในห้องโถงแล้วถือออกมา ในใจก็บ่นว่า ดูในห้องไม่ได้หรือไร เหตุใดต้องมาดูในลานบ้านที่มืดสนิทเช่นนี้ด้วย
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือน หลิวจี้รวบรวมหัวข้อการสอบของราชวงศ์ใหม่ในช่วงสองปีที่ผ่านมาแบ่งเป็นการสอบเซี่ยนซื่อสองครั้งและฝู่ซื่อหนึ่งครั้ง
รวมแล้วเป็นหัวข้อการสอบหกครั้ง
ระบบการสอบขุนนางของแคว้นเซิ่งคล้ายคลึงกับราชวงศ์ซ่งและหมิงที่ฉินเหยาคุ้นเคย ผู้เข้าสอบสามารถเลือกสอบเพียงหนึ่งวิชาจากหลายวิชา
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาล้วนหนีไม่พ้นสี่ตำราและห้าคัมภีร์ จำนวนคำที่เขียนมีข้อกำหนด โดยกำหนดให้เขียนเจ็ดร้อยตัวอักษรหรือหนึ่งพันตัวอักษร แตกต่างกันไป
หลิวจี้จดบันทึกไว้อย่างยุ่งเหยิง ระบุเพียงแค่ปีและชื่อการสอบแบบคร่าวๆ ฉินเหยาจึงต้องนำมาเรียบเรียงใหม่เอาเอง
ตัวอย่างคำตอบมีไม่มาก ได้มาเพียงสี่ฉบับเท่านั้น
เนื้อหามีค่อนข้างมาก ลายมือของหลิวจี้ก็แสนอัปลักษณ์ ฉินเหยาดูไปแล้วก็ปวดตา จึงตัดสินใจรอให้ฟ้าสว่างก่อนแล้วค่อยอ่านอย่างละเอียดอีกที
โดยรวมแล้ว ภารกิจนี้ หลิวจี้ทำสำเร็จไปเพียงเจ็ดส่วนซึ่งต่างจากที่ฉินเหยาคาดหวังไว้มาก
แต่เมื่อคิดถึงความแตกต่างของชนชั้นแล้ว ที่เขาสามารถหาตัวอย่างคำตอบของการสอบระดับเซี่ยนซื่อมาได้สี่ฉบับก็นับว่าดีมากแล้ว
ผู้เข้าสอบระดับฝู่ซื่อล้วนเป็นจวี่เหริน แม้แต่ผู้ที่สอบตกก็ยังเป็นซิ่วไฉเฒ่ามากประสบการณ์ หากไม่ได้อยู่ในสำนักศึกษา หลิวจี้ไม่มีทางเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้เลย
“เมียจ๋า ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าหากข้าทำงานที่มอบหมายสำเร็จก็จะมีรางวัลให้ เจ้าดูคำตอบเหล่านี้แล้วพอใจหรือไม่”
เมื่อเห็นฉินเหยาเก็บสมุดที่เขานำกลับมา หลิวจี้จึงเอ่ยถามอย่างคาดหวัง
ฉินเหยาตบสมุดเบาๆ แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “รางวัลย่อมมีแน่นอน รอให้ข้าเรียบเรียงเสร็จก่อน แล้วตำราแนวข้อสอบจำลองของสองปีเล่มแรกก็จะเป็นของเจ้า!”
หลิวจี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟังดูไม่เหมือนเป็นของดีเลย
ฉินเหยาลุกขึ้น “เข้านอนเถอะ อย่าลืมปิดประตู พรุ่งนี้เช้าก็เตรียมอาหารเช้าให้เรียบร้อยด้วย”
กำชับเสร็จแล้ว ฉินเหยาก็เข้าไปในห้อง ปิดประตูแล้วเข้านอน
หลิวจี้เองก็เหนื่อย ขี้เกียจคิดอะไรมากจึงล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ล้างเท้า แล้วกลับไปพักผ่อนที่ห้องเล็กของตน
ก่อนหน้านี้เขาเคยดูถูกห้องเล็กห้องนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าตอนนี้เขากลับคิดถึงมันมากขนาดนี้
ไม่มีทั้งกลิ่นเท้าเหม็นๆ ไม่มีเสียงกรน ไม่มีเสียงกัดฟัน เงียบสงบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดและนกร้อง อากาศสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง
หลับสนิทตลอดคืน เมื่อตื่นขึ้นมา พระอาทิตย์ก็เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า
หลิวจี้ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า ยังคิดว่าตนตื่นเช้าที่สุดแล้ว แต่เมื่อหันไปดู ก็พบว่าในห้องนอนใหญ่มีแสงตะเกียงส่องสว่าง
ฉินเหยาตัดกระดาษให้มีขนาดเท่ากับกระดาษข้อสอบและยังทำกระดาษคำตอบ กำลังเขียนหัวข้อคำถามของการสอบเซี่ยนซื่อลงไป
การสอบเซี่ยนซื่อมีสองรอบ ที่นางกำลังทำอยู่คือหัวข้อสอบคัดเลือกซึ่งตามคำเรียกโดยทั่วไปแล้วเรียกว่าถงเซิงซื่อ (การสอบถงเซิง)
หากผ่านการสอบคัดเลือกจึงจะได้รับคุณสมบัติในการสอบเคอจวี่อย่างเป็นทางการ
ยังมีการสอบอีกรอบที่จัดขึ้นในเดือนห้าหรือเดือนหก เป็นการสอบระดับเซี่ยนซื่ออย่างเป็นทางการ หรือก็คือการสอบระดับซิ่วไฉนั่นเอง
การสอบสองประเภทนี้จัดขึ้นปีละครั้ง ส่วนการสอบระดับสูงขึ้นไปจะจัดขึ้นทุกสามปี
ปัจจุบัน เนื่องจากจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์จึงจัดให้มีการสอบทุกปี
ฉินเหยากำลังจัดทำข้อสอบจำลองและชุดแบบฝึกหัดจากข้อสอบจริง
โชคดีที่ก่อนหน้านี้ไปเป็นผู้คุ้มกันอยู่ที่จวนติงหนึ่งเดือนจึงได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการสอบจากปากของคุณหนูติงและพ่อบ้านอวี๋มาไม่น้อย จึงได้รู้ว่าขั้นตอนการสอบเป็นเช่นไร
เมื่อมีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับขั้นตอนการสอบแล้วก็สามารถจัดทำข้อสอบตามกระบวนการจริง และทำการสอบจำลองที่บ้านได้
การสอบคัดเลือกระดับเซี่ยนซื่อนั้น เริ่มต้นในช่วงเดือนสองของทุกปี รวมทั้งหมดมีห้าสนามสอบ ผู้เข้าสอบจะถูกเรียกเข้าสนามก่อนรุ่งสางและต้องส่งกระดาษคำตอบภายในวันเดียวกัน
รูปแบบของกระดาษคำตอบคือ ทุกหน้ามีสิบสี่บรรทัด ทุกบรรทัดมีสิบแปดตัวอักษร จำนวนหน้าทั้งหมดรวมแล้วสิบกว่าหน้าและยังมีแผ่นกระดาษเปล่าแนบมาอีกหลายแผ่น
เนื้อหาของการสอบคือ เรียงความจากสี่คัมภีร์สองบทและกลอนหนึ่งบท อีกทั้งกำหนดรูปแบบการตอบข้อสอบอย่างเคร่งครัดคือห้ามเขียนเกินเจ็ดร้อยตัวอักษร
ส่วนอีกสี่สนามสอบที่เหลือ เป็นการสอบซ้ำเพื่อคัดกรองเพิ่มเติม
การสอบซ้ำ เป็นหนึ่งในระบบการสอบเคอจวี่เพื่อป้องกันความไม่เป็นธรรมในการคัดเลือกผู้มีความสามารถ ดังนั้นจึงมีการออกข้อสอบใหม่เพื่อทดสอบผู้ผ่านการคัดเลือกอีกครั้ง
เวลาการสอบซ้ำมักจะจัดขึ้นหลังจากประกาศรายชื่อผู้สอบผ่าน แต่ไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอน และอาจไม่มีการสอบซ้ำเลย เว้นเสียแต่ว่ามีผู้ร้องเรียนถึงความไม่เป็นธรรมในผลสอบจึงจัดสอบใหม่
เรื่องพวกนี้ฉินเหยารู้ดี แต่หลิวจี้กลับไม่รู้อะไรเลย นางเองก็ไม่เข้าใจว่าอาจารย์ในสำนักศึกษาสอนอะไรกันอยู่ ถึงได้ไม่บอกขั้นตอนการสอบพวกนี้ให้ศิษย์ทราบล่วงหน้า
แต่ก็อาจเป็นเพราะหลิวจี้เพิ่งเข้าเรียน อาจารย์อาจเห็นว่ากระทั่งวิชาพื้นฐานยังไม่ผ่านจึงไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ก็เป็นได้
ใครใช้ให้ห้องเรียนของเขามีแต่เด็กเล็กเสียส่วนใหญ่เล่า
“เฮ้อ~” คิดมาถึงตรงนี้ ฉินเหยาก็รู้สึกว่าควรให้หลิวจี้ย้ายห้องเรียน
เขาจะต้องเข้าสอบคัดเลือกขุนนาง ไม่ใช่มาเพื่อเรียนรู้อักษรในสำนักศึกษา เรื่องนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างอาหารเช้า ฉินเหยาก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้น หลิวจี้เกาศีรษะอย่างขัดเขิน “เอ่อ… อย่างน้อยก็ต้องท่องสี่ตำราให้ขึ้นใจก่อน อาจารย์ถึงจะยอมให้เปลี่ยนห้อง”
“แค่ตัวหนังสือไม่กี่คำ เจ้ายังท่องไม่ครบอีกหรือ” ฉินเหยาตกใจนัก เริ่มสงสัยว่าเจ้าหมอนี่สมองมีปัญหาหรือไม่
หลิวจี้ยื่นปากอย่างน้อยใจ “ข้าจะมีเวลาท่องตำราได้อย่างไร เวลาทั้งหมดถูกใช้ไปกับการเขียนหัวข้อการสอบและคำตอบตัวอย่างที่เจ้ามอบหมายให้หมดแล้ว…”
คราวนี้เป็นฉินเหยาที่ต้องเกาหัวเอง นางเริ่มกังวลแล้ว เพราะกว่าจะถึงวันสอบช่วงเดือนสองปีหน้า ก็เหลือเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น
เวลาเหลือน้อย ภาระงานหนัก เช่นนั้นก็เริ่มเรียนอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!
สายตาคมกริบของฉินเหยากวาดมองไป หลิวจี้ที่กำลังกินหมั่นโถวอยู่ พลันรู้สึกถึงลางร้ายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
[1] เวลา 19:15 นาที