ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 135 ตารางการเรียน
ตอนที่ 135 ตารางการเรียน
“หลิวจี้ เข้ามา!”
จู่ๆ ฉินเหยาก็ร้องเรียกเสียงดังลั่นมาจากในห้อง
ยามนี้เพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จ หลิวจี้กำลังเช็ดเตาให้สะอาด และเก็บหม้อชามที่ต้าหลางกับซื่อเหนียงล้างเสร็จใส่ตู้
“เมียจ๋า มีเรื่องอะไรหรือ” หลิวจี้ยังคงยืนนิ่งอยู่ในครัว ยืนถามอยู่ห่างๆ แม้กระทั่งปลายผมยังสะท้อนถึงความระแวดระวัง
ฉินเหยาขานรับเสียงหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเร่งอีกครั้ง “รีบเข้ามาเร็วๆ!”
จากนั้นนางก็หันไปสั่งพวกต้าหลางกับพี่น้องอีกสามคน “เนินเขาด้านล่างมีฟืนแห้งร่วงลงมาไม่น้อย พวกเจ้าลงไปเก็บมาหน่อย ระวังตัวด้วย อย่าเดินออกไปไกลนัก เอาแค่ที่เชิงเขาก็พอ”
ต้าหลางรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนลากเอ้อร์หลางกับซานหลางที่ยังนั่งท่องตำราในห้องโถงขึ้นมา จากนั้นก็หยิบโครงไม้หาบฟืนเล็กที่ฉินเหยาทำไว้มาแจกจ่าย ตัวเขากับเอ้อร์หลางคนละอัน ส่วนซานหลางกับซื่อเหนียงได้เป็นตะกร้าสะพายหลังคนละใบ
พวกเขาไม่ได้หวังให้ฝาแฝดหญิงชายแบกฟืนกลับมาได้จริงๆ เพียงแค่ให้ไปเป็นเพื่อน เพียงหยิบฟืนติดมือกลับมาสักสองสามท่อนก็พอแล้ว
ซื่อเหนียงยังอยากอยู่กับท่านแม่ นานๆ ทีฉินเหยาจะไม่ไปโรงโม่น้ำและอยู่บ้าน
แต่เด็กหญิงตัวน้อยนั้นฉลาดมาก นางเหลือบมองท่านพ่อที่มีสีหน้าระแวดระวัง แล้วกวาดตามองท่านแม่ที่ทำท่าทีเหมือนปราชญ์เฒ่า ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องนอนใหญ่ หอมแก้มท่านแม่ฟอดหนึ่งแล้วค่อยสะพายตะกร้าขึ้นหลังติดตามพี่ชายออกไป
ก่อนออกไป ต้าหลางยังไม่ลืมปิดประตูบ้านให้แน่นหนา ป้องกันไม่ให้เรื่องอับอายภายในบ้านเล็ดลอดออกไปสู่คนนอก
หลิวจี้กวาดตามองไปรอบๆ หัวใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เขาถอนหายใจไปพลางเดินไปพลาง สุดท้ายภายใต้สายตาอันดุเดือดทรงอำนาจของฉินเหยา ก็จำต้องเร่งฝีเท้าเดินเข้าสู่ห้องนอนใหญ่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้ามาในห้องนี้ แต่โดยปกติก็ไม่ค่อยมีโอกาสเข้ามาบ่อยนัก
เงยหน้าขึ้นมองก็พบคันธนูแขวนอยู่บนผนังและดาบใหญ่ที่วางอยู่ข้างเตียง
ภายในห้องไม่มีการตกแต่งใดๆ แม้แต่ดอกไม้สักดอกก็ไม่มี ดังนั้นกระดาษข้อสอบจำนวนมากที่วางอยู่บนโต๊ะใหญ่จึงยิ่งดูสะดุดตา
“นั่งลง!”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ฉินเหยาถือไม้ไผ่หนึ่งท่อนไว้ในมือ เพียะ! นางฟาดมันลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือ ทำเอาหลิวจี้สะดุ้งจนเผลอลืมหายใจไปครึ่งจังหวะ
“เมียจ๋า พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ”
หลิวจี้เตือนเสียงเบา “ไม่เห็นต้องถึงกับชักดาบฟาดไม้เลยนี่นา”
ปากพูดเช่นนั้น แต่ร่างกายกลับทำตามโดยสัญชาตญาณ เขานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอย่างหวาดๆ ชิดเข่าเข้าหากัน วางมือบนหัวเข่า แผ่นหลังหยัดตรง
ฉินเหยาใช้ไม้ไผ่เคาะที่กระดาษข้อสอบ “นี่เป็นแบบจำลองข้อสอบที่ข้าทำตั้งแต่เช้ามืด ทุกครั้งเจ้ากลับบ้านมาแค่วันเดียว เวลาน้อย พวกเราก็เริ่มฝึกกันเลย”
“ตั้งแต่ตอนนี้ ห้องนี้ก็คือสนามสอบ ข้าคือกรรมการคุมสอบ ส่วนเจ้าคือผู้เข้าสอบ”
“ตอนนี้เป็นการสอบคัดเลือกระดับเซี่ยนซื่อในเดือนสอง เจ้าเริ่มทำข้อสอบเถอะ ทำตามรูปแบบของข้อสอบจริง กำหนดส่งคือก่อนมื้อเย็นวันนี้ ข้าจะทดสอบระดับความสามารถของเจ้าเสียก่อน”
พูดจบ นางก็หยิบตำราสี่เล่มมาวางไว้ข้างโต๊ะ “เห็นแก่ว่าพื้นฐานเจ้ายังไม่แน่นนัก วันนี้ให้เป็นการสอบแบบเปิดตำราได้”
กล่าวจบ นางก็วางกฎระเบียบการตอบข้อสอบลงตรงหน้าเขา จากนั้นเดินไปนั่งลงบนเตียงฝั่งตรงข้าม จ้องเขาอย่างเคร่งขรึม เข้าสู่บทบาทกรรมการคุมสอบทันที
หลิวจี้อึ้งไปหนึ่งนาทีเต็ม ก่อนจะตั้งสติได้
เขาคิดจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉินเหยาตวาดขึ้นทันที “เงียบ!”
หลิวจี้มองทุกสิ่งตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ ใจคิดว่า หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ จะไม่กลับบ้านช่วงวันหยุดเลย!
แต่พอดูไป การสอบจำลองนี้ก็น่าสนใจอยู่บ้าง เช่นนั้นเขาจะลองทำดูก็แล้วกัน
หลิวจี้สูดลมหายใจเข้าลึก หยิบกระดาษข้อสอบขึ้นมา
แต่พอเห็นหัวข้อเรียงความที่ต้องแต่งกวี ดวงตาก็พลันพร่ามัวทันที มีเพียงความคิดเดียวคือ อยากโยนข้อสอบทิ้งแล้ววิ่งหนีไปเสียตอนนี้เลย
เขาเหลือบมอง ‘กรรมการคุมสอบ’ แวบหนึ่ง ก่อนจะถอนใจ เอาเถอะๆ เขียนก็เขียน!
โชคยังดีที่เขาจำคำตอบจากฝานซิ่วไฉที่เคยบอกไว้ได้
คัดลอกตรงๆ ไม่ได้ก็ต้องแต่งขึ้นมาให้ใกล้เคียงแล้วส่งไปให้พอผ่าน
เห็นหลิวจี้เริ่มลงมือเขียนข้อสอบจริงๆ ฉินเหยาก็แอบถอนหายใจโล่งอก
ข้อสอบบทกวีนี้ หลิวจี้ใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามจึงจะเขียนเสร็จ เวลาที่เหลือก็น้อยลงเรื่อยๆ แถมยังต้องเขียนคำตอบอีกเจ็ดร้อยตัวอักษรและต้องจัดรูปแบบให้ถูกต้อง
เขาคิดจะขออนุญาตไปเข้าห้องส้วม ฉินเหยาอนุญาตให้ครึ่งเค่อ
แต่พอหลิวจี้ก้าวออกประตูหลังได้ก็คิดจะหนีทันที ทว่าฉินเหยาคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ไม้ไผ่ในมือนางฟาดลงบนน่องเขา ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน
สุดท้ายก็ถูกฉินเหยาลากตัวกลับเข้าสู่ ‘สนามสอบ’ และภายใต้การปราบปรามด้วยกำลัง เขาก็ยอมอยู่ในโอวาทแต่โดยดี
ข้อสอบนี้เขาทำตั้งแต่เที่ยงยันตะวันตกดินก็ยังเขียนได้ไม่ครบ
แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดก็ต้องส่งข้อสอบทันที
พอส่งข้อสอบ หลิวจี้ก็รู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับการสอบคัดเลือกจริง สีหน้ามึนงง สมองล้าจนแทบหมดแรง
ฉินเหยามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์แล้วไล่ไปทำอาหาร นางนั่งลงที่โต๊ะเพื่อตรวจดูข้อสอบ
คำตอบทั้งหมดมีแค่ห้าร้อยตัวอักษร แต่เขียนวกวนจับใจความไม่ได้ แม้แต่การลอกจากตำราก็ยังคัดจุดสำคัญออกมาไม่ได้
ฉินเหยาเคยอ่านตำราสี่เล่มทั้งหมด แม้นางไม่ได้ท่องจำ แต่ด้วยพื้นฐานความรู้จากชาติก่อน ทำให้เข้าใจเนื้อหาเหล่านี้ได้ง่ายถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
หากเป็นนางที่ต้องทำข้อสอบนี้ ใช้เวลาไม่เกินสองชั่วยามก็คงสอบผ่านแน่นอน
แต่สำหรับข้อสอบบทกวีนั้น เกรงว่านางยังต้องศึกษาเพิ่มก่อนถึงจะเขียนออกมาได้
สำหรับบทกวีของหลิวจี้ ฉินเหยาไม่แน่ใจว่าระดับเป็นอย่างไร แต่คงเป็นการลอกแบบจากตัวอย่างที่ถูกต้องของซิ่วไฉ ทำให้ดูใช้ได้อยู่บ้าง
สรุปแล้ว พื้นฐานแย่ แต่มีไหวพริบดีและมีโอกาสพัฒนาได้มาก
ตอนนี้ฉินเหยามองออกแล้วว่า การเร่งรัดเกินไปใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องวางรากฐานให้มั่นคงก่อน
เวลาที่เหลืออีกครึ่งปี ก่อนอื่นต้องท่องตำราสี่เล่มให้หมด หนึ่งเดือนต่อหนึ่งเล่ม ใช้เวลาสี่เดือน จากนั้นอีกสองเดือนใช้สำหรับทบทวนและฝึกฝน พอดิบพอดี
ฉินเหยาเขียนตารางเรียนขึ้นมาทันทีแล้วยื่นให้หลิวจี้ บอกให้เขานำไปที่สำนักศึกษาและทำตามตารางนี้
“แล้วตารางเรียนที่ท่านอาจารย์จัดไว้ที่สำนักศึกษาเล่า” หลิวจี้ถามอย่างตกใจ
ฉินเหยาโบกมือ “เจ้าไปจัดการเอาเอง จะไปพูดกับท่านอาจารย์ หรือจะปรับตารางให้เข้ากับบทเรียนของสำนักศึกษาก็แล้วแต่!”
โอ้ หลิวจี้ตอบรับเสียงแผ่ว สายตาเหลือบมองตารางเรียนที่อัดแน่นไปทุกช่วงเวลา แม้แต่เวลาที่เขาจะกินข้าว นอน หรือเข้าห้องส้วมก็ถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ความรู้สึกอึดอัดตีตื้นขึ้นมา… จนอยากตายเสียตรงนี้เลย!
แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเมื่อต้าหลางกับเอ้อร์หลางได้เห็นตารางนี้ แววตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงและชื่นชม
ฉินเหยาขมวดคิ้วมองสองเด็กน้อย “พวกเจ้าก็อยากได้เหมือนกันหรือ”
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางพยักหน้าอย่างแรง “อืม อืม!”
ฉินเหยามักจะบอกพวกเขาเสมอว่า หากพยายามย่อมได้รับผลตอบแทน
พรสวรรค์แม้จะสำคัญ แต่สำหรับคนธรรมดาย่อมเป็นสิ่งที่ยากจะไขว่คว้า ขอเพียงไปถึงเป้าหมายสุดท้ายได้ แม้กลายเป็นผู้มีความรู้แค่ในเมืองเล็กๆ แล้วอย่างไรเล่า
ดังนั้นต้าหลางกับเอ้อร์หลางจึงค่อยๆ ตระหนักได้ว่า ตารางเรียนที่ท่านพ่อถืออยู่นั้น แม้จะดูอัดแน่น แต่ก็คือทางลัดที่จะพาพวกเขาไปถึงเป้าหมายสุดท้าย
“พวกเจ้านี่รู้จักของจริงๆ” ฉินเหยาลูบศีรษะเล็กๆ ของทั้งสองแล้วให้สัญญาว่า หลังจากที่พวกเขาเข้าสำนักศึกษา นางจะจัดทำตารางเรียนเฉพาะตัวให้เช่นกัน
“ขอบคุณท่านแม่!” เอ้อร์หลางกล่าวด้วยความตื่นเต้น
ต้าหลางแม้จะไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณ แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เขายิ้มพลางพับแขนเสื้อขึ้น ยกอาหารที่พ่อทำเสร็จขึ้นโต๊ะพร้อมจัดเรียงถ้วยชาม “ท่านน้า กินข้าวได้แล้ว!”
“ไปเถอะ” ฉินเหยาเรียกแฝดหญิงชายที่กำลังให้อาหารไก่อยู่ในลานบ้าน “กินข้าวได้แล้ว!”
“มาแล้ว~” ซื่อเหนียงรีบคว้ามือพี่ชายตัวน้อยแล้วพากันไปตักน้ำล้างมือที่รางหิน ครอบครัวทั้งหกคนนั่งล้อมวงกัน พร้อมเพลิดเพลินกับมื้ออาหารอันโอชะที่มีเพียงครึ่งเดือนครั้ง
แม่ลูกทั้งห้าคนแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในฝีมือการทำอาหารของหลิวจี้ด้วยการกินจนเกลี้ยงจาน
หลิวจี้ที่แย่งกินไม่ทันได้แต่กัดฟันกรอด “ข้าขอบคุณพวกเจ้าจริงๆ!”