ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 136 การชำระภาษีธัญพืช
ตอนที่ 136 การชำระภาษีธัญพืช
วันหยุดพักผ่อนเพียงหนึ่งวันจบลง หลิวจี้รับเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้วรีบร้อนกลับไปยังสำนักศึกษาอย่างอดใจรอไม่ไหว
ครั้งนี้ก็ยังเป็นฉินเหยาที่ไปส่งเขาถึงเมืองจินสือ จากนั้นเขาค่อยเดินไปยังตัวอำเภอเอง
ขณะเดินทางกลับ ฉินเหยาซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันมาไม่น้อย พร้อมกับถือโอกาสสอบถามข่าวคราวเรื่องมีใครจะขายที่ดินหรือไม่
ที่ดินคือทรัพย์สินสำคัญที่สุดของชาวบ้าน หากยังไม่ถึงทางตันโดยแท้จริง ย่อมไม่มีใครยอมขาย
เนื่องจากนางซื้อเนื้อบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งก็ซื้อไม่น้อยกว่าสองจิน คนขายเนื้อในเมืองจึงจำนางได้ เมื่อได้ยินว่านางสอบถามเรื่องขายที่ดินก็แนะนำให้นางไปถามที่โรงรับจำนำในตัวอำเภอโดยตรง
“แต่ว่าเจ้าระวังหน่อยนะ คนที่ทำงานในโรงรับจำนำนั้นล้วนเป็นพวกเจ้าเล่ห์ ระวังอย่าให้พวกเขาหลอกเอาได้เล่า” คนขายเนื้อเตือนขึ้น
ฉินเหยาไม่เคยนึกมาก่อนว่าโรงรับจำนำจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “โรงรับจำนำไม่ใช่สถานที่รับจำนำของหรอกหรือ พวกเขาขายที่ดินด้วยหรือ”
“เจ้าคงยังไม่เข้าใจสินะ” พี่ชายคนขายเนื้อหัวเราะกล่าว “ลองคิดดูสิว่า สำหรับชาวบ้านธรรมดาแล้ว สิ่งของที่มีค่ามากที่สุดคืออะไร”
ทอง เงิน อัญมณีพวกนั้นล้วนเป็นของที่คุณหนูและสตรีในตระกูลมั่งคั่งเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้ สำหรับชาวบ้านทั่วไป สิ่งที่สามารถนำไปจำนำได้ นอกจากที่ดินแล้วจะยังมีอะไรอีกเล่า
ฉินเหยารู้แจ้งขึ้นมาในทันที ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
ถ้าเช่นนั้น โรงรับจำนำก็คงมีสัญญาที่ดินและโฉนดที่ดินจำนวนไม่น้อยที่ถูกนำมาจำนำไว้
คนขายเนื้อกล่าวเสริมว่า “แต่หากมีคนในหมู่บ้านของเจ้าอยากขายที่ดินล่ะก็ซื้อจากคนในหมู่บ้านด้วยกันจะดีกว่า”
สถานที่สองแห่งที่ชาวบ้านหวาดหวั่นมากที่สุด หนึ่งคือที่ว่าการ อีกหนึ่งคือโรงรับจำนำ หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า
“ขอบคุณพี่ชายขายเนื้อมาก” ฉินเหยาจ่ายเงินค่าเนื้อ รับเนื้อสามจินที่เพิ่งซื้อมา พลางพยักหน้าให้อีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
แต่เมื่อฉินเหยาไปสอบถามในหมู่บ้านตระกูลหลิวก็พบว่า ขณะนี้ยังไม่มีใครต้องการขายที่ดินเลย นางจึงพักเรื่องการซื้อที่ดินไว้ก่อน
นางตั้งใจจะสอบถามอีกครั้งก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าสักเดือนหนึ่งหรือเดือนสอง เมื่อเสบียงหมดไปแล้ว แต่ข้าวสาลียังไม่โตเต็มที่อาจมีคนต้องการขายที่ดิน
แต่ที่ดินที่แย่เกินไป ฉินเหยาก็ไม่ต้องการ หากจะซื้อก็ต้องเป็นที่ดี อย่างน้อยต้องเหมือนที่ดินชั้นดีที่เช่าอยู่ตอนนี้ ไม่ว่านางจะปลูกพืชเองหรือจำเป็นต้องขายทิ้งในอนาคต ก็ยังมีค่า
แน่นอน ที่ดินชั้นดีราคาย่อมแพง นางเคยถามหลิวเหล่าฮั่นแล้ว ที่ดินสิบหมู่ที่หลิวต้าฝูให้นางเช่าอยู่นั้น หากขายจะอยู่ที่แปดถึงสิบตำลึงต่อหนึ่งหมู่
เมื่อคำนวณแล้ว ฉินเหยาพบว่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่มีอยู่ตอนนี้ พอซื้อได้เพียงสิบหมู่เท่านั้น
เช่นนั้น แทนที่จะรีบซื้อในราคาสูงตอนนี้ มิสู้รอโอกาสที่เหมาะสมกว่านี้จะดีกว่า ขณะเดียวกันจะได้สะสมเงินเพิ่มเผื่อจะได้ซื้อที่ทำเลดีกว่านี้
หากซื้อทีละมากๆ ยังอาจต่อรองราคาส่งได้ด้วย!
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ฉินเหยาจึงยังไม่แตะต้องเงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้ และมุ่งมั่นบริหารโรงงานเป็นหลัก
ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือน
ที่โรงงานกังหันน้ำ คนงานเริ่มชำนาญในกระบวนการผลิตแล้ว สายการผลิตเริ่มแสดงผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน
หากอิงความเร็วในการผลิตขณะนี้ กังหันน้ำขนาดเล็กสามสิบชุดสำหรับกลางเดือนสิบสามารถส่งมอบได้ตามกำหนด
ช่างไม้หลิวเองก็สบายขึ้นไม่น้อย เขา ฉินเหยาและซุ่นจื่อที่นางคัดเลือกมา เดินทางไปยังตลาดและหมู่บ้านอื่นเพื่อขายสินค้าเป็นครั้งคราว
พวกเขาทั้งรักษาลูกค้าเก่าและหาลูกค้าใหม่ ทุกๆ สองถึงสามวันก็นำคำสั่งซื้อกลับมาได้หนึ่งรายการ
แม้จะไม่เทียบเท่ากับฉินเหยาที่เพียงออกโรงครั้งเดียวก็ขายได้สิบเจ็ดชุด แต่ยอดขายที่ไหลมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องก็นับว่ามั่นคงมาก
หลี่เจิ้งนำคนมาเก็บภาษีธัญพืชทำให้หมู่บ้านคึกคักอยู่หลายวัน
ปีนี้เป็นปีที่พืชผลอุดมสมบูรณ์ ภาษีธัญพืชก็ต่ำกว่าสมัยราชวงศ์ก่อนมาก บนใบหน้าของชาวบ้านจึงแทบไม่มีความไม่พอใจให้เห็น
อย่างไรก็ตาม สำหรับครอบครัวที่มีคนมากแต่ที่ดินน้อย ภาษีธัญพืชหนึ่งในสิบห้าส่วน ยังคงเป็นภาระที่หนักหนา
บ้านของฉินเหยามีที่ดินน้อยต้องส่งมอบธัญพืชเพียงหนึ่งร้อยเก้าสิบกว่าจิน แบกสองตะกร้าก็เสร็จแล้ว
แต่บ้านของหลิวเหล่าฮั่นมีมากกว่านั้น ปีนี้เพาะปลูกหนึ่งร้อยสิบหมู่ รวมทั้งเปลือกแล้วเก็บเกี่ยวได้สองหมื่นสี่พันสองร้อยจิน ต้องชำระภาษีธัญพืชหนึ่งพันหกร้อยจิน เหลือไว้สองหมื่นสองพันห้าร้อยกว่าจิน
ปีนี้ทั้งอำเภอเก็บเกี่ยวได้ดี ราคาธัญพืชต่ำลงมาก ข้าวของบ้านหลิวต้าฝูขายออกไปได้เพียงจินละสามเหวิน น้อยกว่าปีที่แล้วถึงครึ่งหนึ่ง
หลังจากหักเสบียงที่คนในบ้านต้องกินไปหนึ่งปี ข้าวที่เหลือของหลิวเหล่าฮั่นหากขายออกไปทั้งหมดก็จะได้เงินถึงสี่สิบแปดตำลึง
ทั้งครอบครัวมีกันเก้าคน อีกไม่นานนางชิวก็จะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ปีหน้าจะมีทั้งหมดสิบคน หากไม่มีภาระภาษีอื่นๆ ก็ถือว่าพออยู่ได้อย่างสุขสบาย
หากไม่มีภัยพิบัติจากสวรรค์หรือเภทภัยจากมนุษย์ สะสมอีกไม่กี่ปีก็อาจก้าวไปสู่ความเป็นอยู่ที่มั่นคงขึ้นได้
ทว่าผู้เฒ่าที่ผ่านโลกมามากเช่นหลิวเหล่าฮั่นและนางจาง แม้จะยินดีกับการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ในปีนี้ แต่ความรู้สึกที่มีมากกว่ากลับเป็นเพียงการถอนหายใจโล่งอก
เพราะพวกเขารู้ดีว่า ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่ง สวรรค์อาจแสดงอำนาจลงมาก็เป็นได้
ข้าวที่เหลือในปีนี้ พวกเขาไม่กล้าขายออกไปทั้งหมด แต่ขายไปเพียงครึ่งเดียว
หลังจากขายข้าวแล้วได้เงินยี่สิบสี่ตำลึงก็ยังกล้าใช้เพียงบางส่วนเท่านั้น
เพราะหลิวเฝยถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว ครอบครัวจึงต้องสร้างห้องเพิ่มสำหรับใช้เป็นเรือนหอ
หลังจากชำระภาษีธัญพืชเสร็จสิ้น ฉินเหยาจึงนึกขึ้นได้ว่าวันหยุดพักของสำนักศึกษามาถึงแล้ว
เดิมทีนางคิดว่าหลิวจี้จะกลับมาก่อนฟ้ามืดเช่นเดียวกับครั้งก่อน แต่ไม่คาดคิดว่า คืนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา
กลางดึก ฉินเหยาสะดุ้งตื่นขึ้นมาสองครั้ง ครั้งแรกเพราะลูกสุนัขสีเหลืองตัวใหม่ของท่านยายหวังที่ท้ายหมู่บ้านเห่าขึ้นมา
และอีกครั้งหนึ่ง เพราะเสียงร้องของเหล่าหวงในคอกม้า คิดว่าน่าจะมีคนเดินผ่านทำให้มันตกใจ
จนกระทั่งฟ้าสว่าง คนที่ควรกลับมากลับยังไม่กลับมา
ในตอนเช้า ต้าหลางยังเอ่ยถามว่า “ท่านน้า ท่านพ่อของข้ายังไม่กลับมาหรือ”
“อาจจะมีเรื่องทำให้ล่าช้าอยู่กระมัง” ฉินเหยาตอบอย่างไม่แน่ใจนัก
ต้าหลางรู้สึกกังวล กลัวว่าท่านพ่อจะเกิดเรื่องในตัวเมือง
ฉินเหยาเองก็รู้สึกแปลกเช่นกัน กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ยังไม่เห็นคนกลับมา จึงคิดจะจูงเหล่าหวงจากคอกม้าเพื่อไปที่อำเภอสักครั้ง
ขณะกำลังจะขึ้นม้า หูของนางก็ขยับไหวเล็กน้อย รีบก้าวออกไปยังลานหน้าบ้าน ก้มหน้าลงมองไปทางริมแม่น้ำ เห็นเกวียนวัวคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาทางบ้าน
ทว่าบนเกวียนเล่มนั้นกลับไม่มีวี่แววของหลิวจี้
ตัวสารถีนั้นฉินเหยาเคยพบมาก่อน เขามักเดินทางไปมาระหว่างหมู่บ้านเซี่ยเหอกับอำเภอไคหยาง นางกับหลิวจี้เคยนั่งรถของเขามาแล้ว
สารถีหยุดรถไว้ที่ตีนเขาแล้วเดินขึ้นมาเอง เมื่อเห็นฉินเหยารออยู่ที่ปากทาง เขาก็กล่าวขึ้นขณะเดินเข้ามาหา
“ขออภัย ขออภัย ฉินเหนียงจื่อเจ้าคงรอจนร้อนใจแล้วกระมัง เดิมทีข้าควรจะมาแต่เมื่อคืน แต่จู่ๆ มีเรื่องที่บ้านทำให้ล่าช้าไป กลางคืนขับเกวียนวัวอันตรายเกินไปจึงรอจนเช้าค่อยมา”
ฉินเหยาได้ยินดังนั้นก็พอเดาได้จึงถามว่า “หลิวจี้เป็นคนไหว้วานเจ้ามาหรือ”
“ใช่ ใช่ ใช่!” สารถีพยักหน้าหนักแน่น “สามีของเจ้าไหว้วานข้ามา!”
ครั้งก่อนที่เขามาส่งฉินเหยาจากเมืองจินสือกลับหมู่บ้านตระกูลหลิว เขายังจำได้ว่า สามีของนางวิ่งจากภูเขาลงมารับถึงริมแม่น้ำ บุรุษหล่อเหลา สตรีงดงาม นับเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก
ตอนนั้นเขาก็รู้สึกแล้วว่าสามีของนางมีบุคลิกสง่างาม ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศิษย์ของสำนักศึกษา แถมยังคุ้นเคยกับฝานซิ่วไฉและพวกพ้อง พวกนั้นล้วนเป็นท่านซิ่วไฉเชียวนะ นับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ พอครั้งนี้หลิวจี้ฝากเขากลับมาที่บ้านเพื่อรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สารถีจึงตอบรับอย่างรวดเร็วและยังแสดงท่าทีเอาใจอยู่ไม่น้อย
ฉินเหยาเชิญสารถีเข้ามาในบ้าน ขณะที่พวกต้าหลางสี่พี่น้องยืนชิดกำแพงนอกห้องโถง เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ