ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 137 ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก
ตอนที่ 137 ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก
ฉินเหยารินน้ำให้สารถีหนึ่งถ้วยแล้วนั่งลงตรงข้ามเขา นางเอ่ยถามว่าหลิวจี้มีข้อความใดฝากมาหรือไม่
แล้วก็มีจริงๆ
สารถีกล่าวว่า “หลิวซานให้ข้านำคำพูดมาบอกฉินเหนียงจื่อว่า…”
“เส้นทางกลับบ้านไกลนัก วันหยุดก็มีเพียงหนึ่งวัน ไม่อยากเสียเวลาไปบนถนน เกรงว่าจะกระทบกับแผนการเรียน ขอเมียจ๋านำค่าใช้จ่ายช่วงปลายเดือนฝากมากับท่านลุงสารถีให้ข้าด้วย ข้าอยู่ที่สำนักศึกษาสุขสบายดี ปฏิบัติตามแผนการเรียนอย่างเคร่งครัด ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ขอเมียจ๋าอย่าได้เป็นกังวล”
ฉินเหยาฟังจบก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย การพูดเช่นนี้เป็นของหลิวจี้อย่างแน่นอน
นางสอบถามรายละเอียดกับสารถีอีกเล็กน้อย เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่ใช่การหลอกลวง นางจึงบอกสารถีให้นั่งรอสักครู่ ก่อนเดินออกจากห้องโถงไปยังห้องนอนเพื่อหยิบเงิน
เพิ่งออกมาจากห้องนอนก็บังเอิญสบตาเข้ากับพวกต้าหลางพี่น้อง นางชี้ไปที่ห้องของพวกเขา กลับไปฝึกคัดอักษรเดี๋ยวนี้!
พี่น้องทั้งสี่ขยับริมฝีปากตอบรับอย่างไร้เสียงแล้วพากันหนีเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วเพื่อฝึกคัดอักษรต่อ
ฉินเหยาจึงเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบเงินตำลึงสองเฉียนออกมายื่นให้สารถี
เมื่อรับเงินมา สารถีก็ลุกขึ้นเตรียมจะออกเดินทางทันที
บ้านของฉินเหยาไม่มีบุรุษ หากสารถีอยู่นานเกินไปอาจถูกคนซุบซิบนินทาได้
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เขาออกเดินทางช้าแล้ว ระหว่างทางยังมีชาวบ้านที่รอขึ้นเกวียนวัวไปยังตลาดและอำเภออีก จึงไม่อาจเสียเวลา ต้องรีบออกเดินทางทันที
ฉินเหยายืนอยู่หน้าประตู มองส่งเกวียนวัวที่แล่นออกจากหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มสุภาพที่มุมปากค่อยๆ จางหาย สายตาของนางทอประกายลึกล้ำ
ในหมู่บ้าน ข้าวของแต่ละบ้านถูกเก็บเกี่ยวจนหมดแล้ว ผืนนากลายเป็นที่ว่าง กองฟางถูกขนกลับไปเก็บที่บ้าน หากขนไม่หมดก็วางกองไว้ในนา รอให้ถึงเวลาค่อยนำไปใช้
ฉินเหยาเลือกฟางที่ตากแดดจนแห้งดีแล้ว นำมาปูเตียงใหม่ทั้งหมดในบ้าน
ฟางเก่าถูกนำไปเผาใช้เป็นเชื้อไฟ ส่วนฟางใหม่ถูกปูลงบนพื้นเตียง วางทับด้วยเสื่อใยปาล์มอีกชั้น แล้วคลุมด้วยผ้าห่มฝ้าย เมื่อนอนลงไปแล้วให้ความรู้สึกนุ่มสบายและอบอุ่น
ช่วงนี้กลางคืนเริ่มหนาว เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวความหนาวอีกแล้ว
ยังเหลือฟางอีกมาก หลังจากว่างจากงานในที่นา ฉินเหยากับเด็กสี่คนในบ้านก็ช่วยกันถักรองเท้าฟาง
ครานี้ไม่ได้ทำไว้ขาย แต่ทำไว้ใช้เองจึงถักอย่างประณีตและแข็งแรงเป็นพิเศษ ฉินเหยาทำรองเท้าแตะฟางแบบไม่มีส้นให้ตนเองหนึ่งคู่ ซื่อเหนียงเห็นเข้าก็ร้องอยากได้ ฉินเหยาจึงถักให้นางอีกคู่
เด็กหญิงลากรองเท้าไปมา เดินต๊อกแต๊กอยู่ในบ้าน เท้าเปลือยเปล่า ลื่นล้มเป็นครั้งคราวจนรองเท้าแตะกระเด็นไปข้างหนึ่งแล้วต้องกระโดดขาเดียวไปเก็บ นางเล่นกับรองเท้าคู่นี้อยู่ได้ครึ่งค่อนวัน
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางเห็นแล้วก็ตาร้อน แต่ไม่กล้ารบกวนให้ฉินเหยาช่วยทำให้จึงลองถักเอง ได้ออกมาสองคู่ที่ดูไม่เป็นรูปร่างนัก ใส่ไปได้ครึ่งวันก็หลุดรุ่ยหมดแล้ว
ท้ายที่สุด ฉินเหยาก็จัดการทำให้ทุกคนคนละคู่จึงเป็นอันจบเรื่อง
พี่น้องทั้งสี่มองว่ารองเท้าแตะนี้เป็นของล้ำค่า ปกติจะไม่ใส่ เพียงวางไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างเตียง
ทุกค่ำหลังอาหาร เมื่อฉินเหยาเรียกให้ไปล้างหน้าแปรงฟัน สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือวิ่งกลับไปที่ห้อง เปลี่ยนจากรองเท้ามีส้นมาเป็นรองเท้าแตะฟางที่ใส่เดินได้ง่ายแล้วจึงพากันไปล้างเท้า เมื่อเสร็จแล้วก็ใส่รองเท้าแตะฟางเดินไปเดินมาในบ้าน
ผ่านไปหลายวัน ความตื่นเต้นก็ยังไม่ลดลง เสียงรองเท้าแตะฟางครืดคราดยังดังข้างหูฉินเหยาไม่ขาด
จนกระทั่งฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมา อากาศเย็นลงฉับพลัน พี่น้องทั้งสี่จึงลดความตื่นเต้นลงไปบ้าง ยอมสวมถุงเท้ายาวแล้วเปลี่ยนมาใส่รองเท้าผ้าแทนอย่างว่าง่าย
บ้านฉินเหยาเองก็ทำกองฟางเช่นเดียวกับชาวบ้าน กองไว้ใกล้กับห้องส้วมที่อยู่หลังบ้าน
ตั้งแต่ได้เรียนรู้ตำรับการเลี้ยงม้าจากบ้านหลิวต้าฝู นางก็ใช้ฟางข้าวผสมขี้เถ้าจากไม้เพื่อหมักเป็นอาหารม้า
เริ่มจากสับฟางให้ละเอียด จากนั้นขูดขี้เถ้าไม้จากเตาออกมาใส่กระบุง หาหม้อเก่าใบหนึ่งที่ไม่ได้ใช้ เทฟางที่สับแล้วลงไป โรยขี้เถ้าไม้เป็นชั้นๆ เว้นระยะห่างกันทุกหนึ่งนิ้ว เพื่อทำให้ฟางกลายเป็นด่าง ปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วในวันถัดไปก็นำไปให้ม้ากิน
เพราะทำยุ่งยากนัก ฉินเหยาจึงทำให้ม้ากินเพียงสัปดาห์ละครั้งเพื่อเสริมสารอาหารให้หลากหลาย
เพื่อเหล่าหวง ตอนเช้าฉินเหยาขึ้นเขาไปตัดฟืนสำหรับกักตุนไว้ใช้ในฤดูหนาว นางมักจะพาต้าหลางไปด้วย นางตัดฟืนบนเขา ส่วนต้าหลางตัดหญ้าที่เชิงเขา
หญ้าทั่วไปต้องสับให้ละเอียดแล้วนำมาผสมกับข้าวฟ่างที่ตั้งใจซื้อมาโดยเฉพาะเพื่อนำไปเลี้ยงม้า วันหนึ่งหลิวเหล่าฮั่นเห็นเข้าโดยบังเอิญ ถึงกับร้องออกมาว่าฟุ่มเฟือยนัก
แต่ผลลัพธ์ก็น่ายินดี ขนที่ร่วงไปของเหล่าหวงค่อยๆ งอกกลับมา ทำให้ดูสง่างามยิ่งขึ้น
มันมีกำลังมากขึ้น เวลาฉินเหยาต้องไปขนหินจากภูเขา นางจะจูงมันไปช่วยขนหิน เจ้าสัตว์ตัวนี้ก็วิ่งได้เร็วปานสายลม
เพราะตัวมันสูงใหญ่ เด็กในหมู่บ้านต่างกลัวมัน เมื่อเห็นจากระยะไกลก็มักจะหลีกทางให้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีคนนั่งอยู่บนม้าด้วย
กลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วงเริ่มเข้มข้นขึ้น สีเขียวบนภูเขาค่อยๆ จางหาย ถูกแต่งแต้มด้วยสีเหลืองทองของใบไม้ร่วง
ต้าหลางเริ่มอยู่ไม่สุขมักจะหยิบหนังสติ๊กและคันธนูเล็กที่ฉินเหยาทำให้มาเล่นอยู่เสมอ เขาจะออกไปข้างนอกแต่เช้าตรู่แล้วกลับมาก่อนมื้อเที่ยง
เมื่อถามว่าไปทำอะไรมา เขาก็ตอบว่าไปฝึกยิงหนังสติ๊กและธนูที่เชิงเขาพลางจ้องฉินเหยาด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ตอนแรกฉินเหยาไม่เข้าใจ แต่หลังจากเกิดขึ้นหลายครั้ง ก็ได้ยินคนพูดว่าตระกูลหยางแห่งหมู่บ้านเซี่ยเหอเข้าป่าไปแล้ว นางจึงนึกขึ้นได้ว่า ตนเองเคยให้สัญญาไว้ว่าฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะพาต้าหลางเข้าป่าไปล่าสัตว์
เจ้าหนูนี่เห็นต้นไม้บนภูเขากลายเป็นสีเหลืองทองแล้ว แต่คนที่ให้สัญญากลับทำท่าจำไม่ได้จึงอดไม่ได้ที่จะร้อนใจ
หากเป็นเอ้อร์หลางหรือซื่อเหนียง ป่านนี้คงเอะอะออกมาแล้ว
แต่นี่คือต้าหลาง เด็กที่ทั้งอ่อนไหวและรู้ความ เมื่อเห็นว่าฉินเหยาไม่เอ่ยถึง จึงคิดว่านางไม่อยากพาไปหรืออาจลืมไปแล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้เขาแสดงพฤติกรรมเช่นนี้
“เด็กน้อยจริงๆ” ฉินเหยาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็ก จะไร้เดียงสาเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
…
ค้อนเหล็กทุบตะปูยาวหนึ่งจั้งลงในรอยแยกของหินเสียงดังโครม ก้อนหินขนาดใหญ่ร่วงหล่นจากหน้าผา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่ยืนดูอยู่รอบๆ
นี่มิใช่ครั้งแรกที่พวกหลิวไป่เห็นภาพเช่นนี้ แต่ทุกครั้งก็ยังคงรู้สึกถึงความหวาดกลัวราวกับแผ่นดินถล่มลงมา
แม้ว่าพวกเขาจะถอยไปอยู่ในเขตปลอดภัยแล้ว แต่เมื่อก้อนหินร่วงหล่นลงมาพร้อมกัน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปอีก
เมื่อเสียงกัมปนาทสงบลง ฉินเหยาก็ตรวจสอบหน้าผาอีกครั้ง ก่อนนำตาข่ายเชือกปอที่ถักไว้แขวนเข้ากับตะขอเหล็กเพื่อป้องกันเศษหินเล็กๆ กลิ้งตกลงไปทำร้ายคนงานที่อยู่ด้านล่าง
เมื่อตรวจสอบแล้วว่าไม่มีปัญหา นางจึงปีนเชือกกลับขึ้นไปบนยอดเขาแล้วเดินลงมาทางลาดด้านหลัง
หนึ่งเค่อถัดมา ฉินเหยาก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังกลุ่มคนแล้วกล่าวกำชับว่า
“จะต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ ชีวิตคนนั้นสำคัญที่สุด ทุกคนต้องจำกฎการทำงานให้ขึ้นใจ ครั้งหน้า หากข้าไม่อยู่ ห้ามผู้ใดเคลื่อนย้ายหินโดยพลการ!”
กลุ่มคนงานขุดหินลุกขึ้นมองนางพลางขานรับเสียงดัง “ทราบแล้ว!”
ฉินเหยาโบกมือ “เริ่มงานเถิด”
ผู้คนจึงเริ่มจดจ่ออยู่กับงาน ขนย้ายและทุบหินกันอย่างขะมักเขม้น
ฉินเหยาปัดเศษหินบนร่างกาย เงยหน้ามองฟ้า ดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางศีรษะพอดี
ทุกครั้งที่เริ่มเจาะหิน มักจะต้องวุ่นวายตั้งแต่เช้าจรดเที่ยง
แต่หลังจากเก็บหินชุดนี้แล้ว หินสำหรับทำโม่ห้าสิบชุดก็เพียงพอแล้ว
เมื่อคนงานขนหินกลับไปหมดแล้วก็จะเริ่มกระบวนการขัดและเจียรหินอย่างเต็มกำลัง
ส่วนโม่หินสิบเจ็ดชุดของบ้านเถ้าแก่อู่ คงต้องรอจนถึงกลางเดือนหน้าแล้วค่อยมาเก็บอีกรอบ
ฉินเหยาคำนวณวันในใจ วันนี้เป็นวันหยุดพักของหลิวจี้อีกแล้ว
เมื่อคืนสารถีมาหาเพราะได้รับการไหว้วานจากหลิวจี้ให้มาเอาค่าใช้จ่าย
แต่ฉินเหยาไม่ได้ให้เงินไป
ตัวสารถีเองยังถูกนางส่งออกจากหมู่บ้านด้วยตนเอง
หลังกลับจากพื้นที่ทำงาน พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก
ฉินเหยาเปลี่ยนเป็นเสื้อปอเนื้อบางเบาแล้วหยิบอานม้าที่แขวนอยู่บนผนังห้องโถงลงมา