ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 138 หลบหนีโดยไว
ตอนที่ 138 หลบหนีโดยไว
“ท่านน้า”
ต้าหลางปรากฏตัวขึ้นที่หน้าคอกม้า ขณะนั้นฉินเหยากำลังวางอานม้าลงบนหลังของเหล่าหวงพอดี
“ท่านจะเข้าเมืองไปพบท่านพ่อหรือ”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่อาจปิดบังได้ และฉินเหยาก็มองออกทันที
เขาจะไม่กังวลได้อย่างไร? หลิวจี้หายไปตลอดช่วงวันหยุดสองรอบติดต่อกัน ไม่กลับบ้านเลย มีเพียงแค่ส่งสารถีขับรถมารับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ นอกนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ ทั้งสิ้น
ผู้ใหญ่ต่างพูดกันว่า สันดอนขุดง่ายแต่สันดานนั้นขุดยาก ต้าหลางเองก็เป็นกังวลในเรื่องนี้มาก
เขาไม่กล้าคิดเลยว่าหากท่านพ่อยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน เอาแต่กินดื่มเที่ยวเล่นโดยไม่คิดจะตั้งใจเรียนหนังสือแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะน่าสะพรึงเพียงใด
ความสงบนิ่งของฉินเหยาในตอนนี้ มองจากสายตาของเด็กหนุ่มแล้ว ก็เหมือนความเงียบสงบก่อนพายุจะมา
ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงจนทุกสิ่งพังพินาศ!
ฉินเหยาจูงม้าออกมา ก่อนจะบอกกับต้าหลางว่า “ข้าจะกลับมาช่วงเย็นๆ นะ”
เป็นการยอมรับว่าจะเข้าเมืองไปหาหลิวจี้
ต้าหลางพยักหน้า “เช่นนั้น เช่นนั้นข้าจะเตรียมอาหารเย็นรอท่านกลับมากินนะ มีเนื้อด้วย ข้าจะทำน้ำแกงเนื้อให้พวกเรากิน เพิ่มเต้าหู้ลงไปด้วย บ้านของท่านป้าสะใภ้โจวเพิ่งทำเต้าหู้สดใหม่เมื่อเช้านี้”
ได้ยินประโยคยาวเหยียดนี้ ฉินเหยาก็อดไม่ไหวเผลอหัวเราะออกมา “ข้าพาเจ้าไปด้วยไม่ได้ เจ้าขี่ม้าไม่เป็น หากตกลงไปกลางทาง ข้าไม่รับผิดชอบนะ”
พูดจบก็ตบไหล่ของเขาเบาๆ “อย่ากังวลไป ข้าสบายดี”
ต้าหลางอยากจะยิ้ม แต่ก็เกือบจะร้องไห้ออกมาแทน เขาไม่ได้เป็นห่วงนางเสียหน่อย เขาเป็นห่วงชีวิตของท่านพ่อต่างหาก!
“ข้าไปล่ะ เจ้าเข้าบ้านเถอะ แดดแรงนัก นอนพักกลางวันเสียหน่อย แล้วบ่ายนี้ตั้งใจฝึกเขียนอักษรเพิ่มอีกสักสองบทนะ”
วันนี้เป็นหน้าที่ของเอ้อร์หลางและซานหลางที่จะไปยังโรงโม่น้ำเพื่อเก็บกล่องเงิน ล้างถ้วยชาม เลี้ยงไก่และทำงานบ้าน
ส่วนต้าหลางกับซื่อเหนียงที่ว่างอยู่ก็สมควรใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ให้มากที่สุด
“ย่าห์!”
ฉินเหยากระตุกบังเหียน เหล่าหวงทะยานออกไปอย่างรวดเร็วราวสายลม
เพียงพริบตาเดียว หนึ่งคนหนึ่งม้าก็หายลับไปตามเส้นทางคดเคี้ยวในหมู่บ้าน มุ่งหน้าสู่ตัวอำเภอ
หนึ่งชั่วยามกว่าให้หลัง ฉินเหยาก็มาถึงอำเภอไคหยาง จ่ายค่าเข้าเมืองตามปกติ ผูกม้าให้เรียบร้อย แล้วเดินเข้าเมือง
ตอนนี้เป็นยามโพล้เพล้แล้ว ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า สองข้างถนนเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังเก็บแผงเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
ร้านค้าสองฟากฝั่งยังมีลูกค้าอยู่บ้าง แผงน้ำชาเล็กๆ ข้างถนนคนกลับเยอะที่สุด นักเล่านิทานนั่งอยู่ตรงกลาง เหล่าผู้ฟังฟังเรื่องที่เขาเล่าติดพันจนไม่อยากกลับบ้าน
โคมแดงหน้าโรงเตี๊ยมถูกคนงานในร้านปลดลงมาเพื่อจุดไฟแล้วแขวนขึ้นไปใหม่ โคมไฟเปล่งแสงเจิดจ้าสะท้อนบรรยากาศรื่นเริง
โรงเตี๊ยมสองแห่งตั้งอยู่ตรงข้ามกัน พอดีกับที่เป็นช่วงเวลามื้อเย็น คนงานจากทั้งสองร้านจึงพากันออกมายืนเรียกลูกค้า ใครเดินผ่านเป็นต้องตะโกนเชื้อเชิญ
ฉินเหยาเอ่ยปฏิเสธคนงานร้านอาหารที่เข้ามาขวางทางอย่างเย็นชา กำลังยกเท้าจะก้าวไปยังสำนักศึกษา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากชั้นบน เท้าของนางหยุดชะงักลงในทันที
คนงานจากร้านอาหารถูกใบหน้าเย็นชาของนางทำให้ตกใจ เหตุใดจู่ๆ นางก็หยุดเดินเล่า
หรือว่าจะหันกลับมาด่าเขาสักสองสามประโยค?
แน่นอนว่าเขาคิดมากไปเอง
ฉินเหยาหันกลับไป ใบหูขยับไหว ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มห้าหกคนในชุดบัณฑิตกำลังยืนพิงราวระเบียงหันหลังให้ถนน ถือจอกสุราขึ้นดื่มและผลัดกันร่ายกวี
เมื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศจนได้ที่ เสื้อคลุมตัวนอกก็คลายออก ปิ่นปักผมถูกดึงออก ปล่อยเรือนผมให้สยายพลิ้ว ก่อนลุกขึ้นร่ายรำ
มือข้างหนึ่งจับบ่าสตรีที่เล่นผีผา มืออีกข้างชูจอกสุรา ทำท่าจะคารวะนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ คิดว่าตนเองเป็นบัณฑิตผู้แสนสง่างาม แต่ในสายตาคนรอบข้างกลับเป็นเพียงพวกขี้เมาที่ดื่มสุรามากเกินไปเท่านั้น
สหายร่วมวงร่ำสุราตบมือชมเชย พลางกล่าวว่า “เยี่ยมยอด เยี่ยมยอด เยี่ยมยอด! ประโยคนี้ของคุณชายฝานช่างล้ำเลิศนัก!”
ฉินเหยาได้ยินเสียงนั้น ไอเย็นเยียบพลันแผ่กระจายไปทั่วร่าง
คนงานในร้านที่คอยต้อนรับลูกค้ารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนชั้นสอง อ้อ ที่แท้ก็เหล่าศิษย์จากสำนักศึกษากำลังร่วมดื่มสุราและแต่งกวีกับฝานซิ่วไฉนี่เอง
แต่เหตุใดสตรีตรงหน้านางนี้ถึงดูอำมหิตเช่นนี้นะ
หรือว่านางคือภรรยาของบัณฑิตคนใดบนชั้นสอง?
คิดได้ดังนั้น คนงานก็ปลุกใจตนเอง กำลังจะเอ่ยปากถาม ทว่ากลุ่มบัณฑิตบนชั้นสองกลับพากันเดินลงมาข้างล่างเสียก่อน
พวกเขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น คงเริ่มเบื่อแล้ว ตอนนี้คงจะไปหาสถานที่แห่งใหม่เพื่อหาความสำราญกันต่อ
คนงานคิดในใจ สตรีผู้นี้จะเข้าไปคว้าตัวบัณฑิตคนไหนกันนะ อีกไม่นานต้องมีเรื่องสนุกให้ดูแน่
แต่พอหันกลับไปมองอย่างรอคอยก็ต้องงงงัน “อ้าว เหนียงจื่อคนเมื่อครู่ไปไหนแล้ว”
“เหนียงจื่อ?”
บัณฑิตที่มีหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นที่สุดในกลุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือกทั้งร่าง!
เขาเงยหน้ามองคนงานร้าน ใบหน้านั้นแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา “เหนียงจื่ออะไร? ใครคือเหนียงจื่อ!?”
เด็กในร้านรีบชี้ไปทางทิศเหนือ “นั่นอย่างไร นั่นน่ะ!”
นึกว่าจะมีเรื่องสนุกให้ดูแล้วเชียว ทำไมไปเสียแล้วเล่า
หรือว่านางไม่ใช่ภรรยาของใครสักคนในกลุ่มบัณฑิตนี่?
ขณะนั้น สายลมโชยผ่านพัดกลิ่นสุราให้เจือจางลง บัณฑิตรูปงามมองตามเงาหลังของสตรีที่กำลังก้าวฉับๆ จากไปราวกับดาวตก จู่ๆ ก็เหมือนโดนสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมาที่กลางใจ!
“พี่หลิว?”
สหายร่วมวงโบกมือไปมาตรงหน้าเขาพลางหัวเราะลั่น “ท่านมองอะไรอยู่หรือ หรือว่าเห็นนางฟ้าเข้าแล้ว”
หลิวจี้ปัดมือตรงหน้าออกอย่างมึนงง ออกแรงขยี้ตาของตนเองแล้วเงยหน้ามองเงาแผ่นหลังที่คุ้นเคยนั้นอีกครั้ง
เพียงแค่ชั่วครู่ที่ลังเล ฟ้าก็มืดลง เงาร่างนั้นเปลี่ยนเป็นเลือนราง
แต่ถึงเงาร่างของคนผู้นั้นนั้นจะกลายเป็นเถ้าธุลี เขาก็ยังจำได้!
แต่ก่อนที่จะได้ยืนยันอีกครั้ง ประตูเมืองก็ปิดลงอย่างช้าๆ เห็นเพียงเงาร่างของคนผู้หนึ่งขี่ม้าพุ่งออกจากเมือง มุ่งสู่แนวเขาสีดำทะมึน
“หลิวจี้?” ฝานซิ่วไฉเห็นเขาเหม่อลอยเรียกเท่าไรก็ไม่ขานรับจึงก้าวเข้ามาด้วยตนเอง โอบบ่าหลิวจี้ไว้พลางหัวเราะจนกลิ่นสุราฟุ้งตลบ
“ไปไปไป ไปที่บ่อนซิงวั่งสักรอบ พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา!”
บ่อนพนันอะไร?
เปิดหูเปิดตาอะไรกัน?
สมองของหลิวจี้สับสนไปหมด หัวใจสั่นระรัว
ยามมองไปยังความมืดมิดของรัตติกาลที่คืบคลานมา โคมแดงที่แขวนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้ามกลับคล้ายดวงตาอำมหิตของอสูรยักษ์ที่กำลังแยกเขี้ยวอ้าปากกว้างหมายจะกลืนกินเขาทั้งเป็น
สุราฤทธิ์ไม่ได้แรงนัก ฝานซิ่วไฉดูแล้วเหมือนเมา แต่ที่จริงแล้วยังมีสติอยู่มาก
เมื่อเห็นหลิวจี้ที่ก่อนนี้ยังกระตือรือร้น จู่ๆ ก็เมินเฉยตนเสียอย่างนั้น ฝานซิ่วไฉจึงอดหงุดหงิดไม่ได้
สีหน้าเขาเย็นชาลงในทันทีพลางเอ่ยถามอีกครั้ง “หลิวจี้ เจ้าจะไปบ่อนซิงวั่งหรือไม่ไป!?”
หลิวจี้ทั้งสับสนทั้งตื่นตระหนก แต่ก็ยังพอมีสติรู้ว่าไม่ควรล่วงเกินคนเหล่านี้ ในช่วงคับขันเขาพลันเกิดปัญญาขึ้นมา รีบโอบเสาใกล้ตัว ก้มลงกุมท้องเอาไว้ สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“แย่แล้ว แย่แล้ว เสี่ยวเอ้อร์! เสี่ยวเอ้อร์! ห้องส้วมอยู่ที่ใด รีบพาข้าไปที!” เขาร้องออกมาอย่างร้อนรน
เสี่ยวเอ้อร์รีบเข้ามาชี้ทางให้ หลิวจี้กุมท้องไปพลางกล่าวขอโทษฝานซิ่วไฉไปพลาง
“พี่ฝาน พวกท่านไปก่อนเถอะแล้วข้าจะตามไปทีหลัง อ๊า ทนไม่ไหวแล้ว เร็วๆๆ!”
เสี่ยวเอ้อร์กลัวว่าเขาจะปล่อยของเสียไว้หน้าประตูร้านตนจึงรีบเร่งฝีเท้า พอเห็นเขาเดินเซไปเซมา ก็ย้อนกลับมาพยุง ทั้งสองพุ่งตรงไปยังลานหลังร้าน ก่อนจะมีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากที่ไกลๆ
“โธ่เอ๊ย! กางเกงของข้า กางเกงของข้า…”
บัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมพากันขมวดคิ้วแน่นราวกับว่าอากาศรอบตัวเริ่มมีกลิ่นแปลกประหลาด พวกเขารีบยกมือขึ้นปิดจมูก ขณะค้อมตัวให้ฝานซิ่วไฉ ก่อนพากันหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลิวจี้บีบจมูกตัวเอง นั่งอยู่ในห้องส้วมอย่างอดทนถึงสองเค่อเต็มๆ ก่อนจะออกมา เรื่องท้องเสียทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโกหก
เขาสร่างเมาแล้ว ระหว่างทางเดินกลับไปยังสำนักศึกษา เมื่อนึกย้อนกลับไป ก็รู้สึกหวาดหวั่นจนขนลุก