ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 141 หัวเสือ
ตอนที่ 141 หัวเสือ
“โฮก!” เสียงคำรามของเสือดังก้องไปทั่วผืนป่า
ด้วยความแตกต่างของพละกำลังมหาศาล กวางลายจุดไม่มีแม้แต่โอกาสจะต่อต้าน เพียงพริบตามันก็ถูกเสือกระโจนเข้าใส่และถูกกดลงบนพื้นอย่างแน่นหนา
ปากกว้างราวกับอ่างเลือดอ้าออก ก่อนจะขย้ำเข้าที่ลำคอกวางลายจุด ฉีกหนังและเนื้อชิ้นใหญ่ออกมาจนเลือดสาดกระเซ็น!
ต้าหลางยืนอยู่ห่างจากเสือและกวางไม่ถึงสิบเมตร หยดเลือดกระเซ็นมาโดนหางตา ความหวาดกลัวแล่นไปทั่วร่าง เลือดในกายเย็นเฉียบ ตัวแข็งทื่อไม่อาจตอบโต้
เสือกัดเหยื่อจนตายก่อนเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำกลมขนาดใหญ่จับจ้องไปยังมนุษย์แปลกหน้าตรงหน้า
ด้วยสัญชาตญาณต้องการปกป้องอาหาร อีกทั้งในสายตาของสัตว์แล้ว ผู้ที่ตัวเล็กกว่าย่อมอ่อนแอและรังแกได้ มันจึงกระโจนขึ้นแล้วพุ่งตรงไปยังต้าหลางในทันที
เสือตัวนี้มีลำตัวยาวถึงสามเมตร หากยืนเทียบกันในแนวดิ่งมันก็สูงกว่าต้าหลางเสียอีก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรขนาดมหึมาเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับหนูเจอช้าง
ระยะทางสั้นเกินไป เสือพุ่งมาถึงศีรษะต้าหลางภายในพริบตา อุ้งเท้าที่ซ่อนพลังอันมหาศาลเอาไว้นั้นดูแล้วเหมือนเพียงตวัดเบาๆ แต่หากโดนเข้าเพียงครั้งเดียว ด้วยร่างกายบอบบางของต้าหลาง หากไม่ตายก็คงพิการ
“ข้าบอกแล้วว่าข้าอยู่ข้างหลัง เจ้าไม่ต้องกลัว”
เสียงราบเรียบของฉินเหยาดังขึ้นข้างหู นางคว้าตัวต้าหลางที่กำลังตื่นตระหนกจนตัวแข็งทื่อออกมา ก่อนเหวี่ยงหมัดหนักๆ เข้าที่คางเสือตัวนั้น!
นางในตอนนี้ หาใช่หญิงสาวที่ถูกความหิวโหยและความหนาวเหน็บทรมานจนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเมื่อปีก่อนอีกต่อไป
ฉินเหยาที่ฟื้นฟูร่างกายมาตลอดหนึ่งปี พละกำลังในการต่อสู้พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด สัตว์และพืชกลายพันธุ์ในวันสิ้นโลกยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง นับประสาอะไรกับเสือธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง?
หมัดของนางซัดเข้าที่ตัวเสือซึ่งกำลังพุ่งเข้าหาต้าหลางจนกระเด็น มันกลิ้งหลุนๆ ตกลงบนพื้น ก่อนจะลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ดวงตาเสือเผยความประหลาดใจที่ดูแล้วแทบจะเหมือนกับมนุษย์
ราวกับมันไม่เข้าใจว่าเหตุใดมนุษย์ที่ตัวเล็กกว่ามันมากผู้นี้ถึงสามารถซัดมันจนกระเด็นได้
เมื่ออยู่ในป่าเสือนั้นไร้คู่ต่อกร มันเกิดมาพร้อมกับความโอหัง หมัดทรงพลังของฉินเหยา ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้มันล่าถอย ตรงกันข้าม มันกลับเข้าใจผิดคิดว่านางคือศัตรูที่มาช่วงชิงเหยื่อ จึงเปิดฉากจู่โจมฉินเหยาอย่างดุเดือด
มันลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนพุ่งเข้ามาสองก้าวตวัดอุ้งเท้าออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อทดสอบฉินเหยา อุ้งเท้าตะปบผ่านไปหลายครั้ง ทว่าฉินเหยากลับหลบหลีกได้ทั้งหมด
แต่เมื่อนางชักดาบใหญ่ที่คาดอยู่ตรงเอวออกมา อุ้งเท้าเสือที่พุ่งเข้ามาหยั่งเชิงก็พลันปรากฏบาดแผลลึกจนเห็นกระดูกในทันที
เสือทั้งเจ็บทั้งโกรธ มันคำรามเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนแก้วหูของฉินเหยาเจ็บแปลบเป็นระลอก
“หนวกหูนัก!” ฉินเหยาตวาดลั่น เดิมทีนางยังลังเลว่าจะจัดการจบชีวิตอีกฝ่ายเลยดีหรือไม่ ตอนนี้นางกลับยกดาบขึ้นบุกเข้าสังหารอย่างไม่ลังเลแล้ว
ส่วนเรื่องจะเก็บเสือไว้ให้บุตรชายฝึกฝีมือนั้น แม้เสือตัวนี้ตายไปก็ยังมีสัตว์อื่นให้ฝึกอีก ไม่ต้องรีบร้อน
เสือสามารถเป็นเจ้าแห่งพงไพรได้ก็เพราะมันเกิดมาพร้อมกับพละกำลังมหาศาล เพียงอุ้งเท้าเดียวฟาดลงมาก็สามารถบดขยี้กะโหลกของเจ้าให้แหลกละเอียดได้
แต่ฉินเหยากลับแข็งแกร่งยิ่งกว่ามัน ในมือยังมีอาวุธ เพียงเผชิญหน้ากันไม่ถึงสามกระบวนท่า เสือก็รับรู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของนาง มันไม่ลังเลอีกต่อไป ความโอหังที่เคยมีสลายหายไปสิ้น รีบหันหลังแล้ววิ่งหนีทันที
ตอนนี้มันเลือกวิ่งหนี สิ่งที่สูญเสียไปก็แค่กวางลายจุดตัวหนึ่ง
แต่หากมันชักช้ากว่านี้อีกหน่อย สิ่งที่ต้องสูญเสียก็คือชีวิตของมันเอง!
ฉินเหยายกเท้าไล่ตาม แสยะยิ้มบ้าคลั่ง “คิดจะหนีหรือ สายไปแล้ว!”
ปีที่แล้วยังหาเสือไม่พบ ปีนี้เพิ่งเข้าป่า ยังไม่ทันได้ออกตามหา เสือก็โผล่มาถึงที่ แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร
ดังนั้น ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของต้าหลาง เขาเห็นเพียงแม่เลี้ยงของตนวิ่งขนาบคู่ไปกับเสือ ไล่ต้อนกันไปเรื่อยๆ ก่อนที่นางจะตวัดดาบออกไป เสียง ฉัวะ พลันดังขึ้น หัวของเสือหลุดออกจากร่างกำยำของมันทันที
ใช่แล้ว… หัวทั้งหัวของมันขาดกระเด็น
ตุบ! เสียงกระแทกดังลั่น ร่างของเสือไร้ซึ่งการควบคุมล้มลงกับพื้นทันที เลือดสีแดงพุ่งกระจายราวเสาน้ำพุ เปลี่ยนป่าทั้งผืนให้กลายเป็นหมอกโลหิต
ฉินเหยาถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มพลางเดินไปข้างหน้า เมินหัวเสือที่กลิ้งอยู่ ก่อนจะเก็บดาบของตนขึ้นมา
“ชิ ดาบทื่อซะแล้ว”
ฉินเหยาสะบัดดาบเช็ดเศษเนื้อและเลือดออก ก่อนเดินไปยังหัวเสือ เตะมันให้พลิกกลับมาประจันหน้า ดวงตาของเสือในตอนนี้เปลี่ยนเป็นหม่นหมองไร้ชีวิต
เสียงฝีเท้าเล็กๆ ดังมาจากด้านหลัง ฉินเหยาหันไปมอง เป็นต้าหลางนั่นเอง
เขามองร่างของเสือที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นและหัวเสือที่กลิ้งอยู่ พลางพึมพำว่า “หนังเสือเสียหมดแล้ว”
ฉินเหยาเห็นว่าเขาไม่ได้ตกใจจนเสียสติก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี นางหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของนางดังก้องไปทั่วทั้งป่า สะท้อนกังวานจนสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างตกใจ พากันแตกฮือหนีออกไปจากพื้นที่อันตรายแห่งนี้
ต้าหลางเงยหน้ามองสตรีตรงหน้าที่เหยียบหัวเสือไว้ใต้เท้า เห็นนางหัวเราะจนน้ำตาไหลพราก ริมฝีปากของเขาก็เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว แม่เลี้ยงของเขาคือคนที่เก่งกาจที่สุดที่เขาเคยพบมา!
ฉินเหยาเตะหัวเสือไปตรงหน้าต้าหลาง “นี่ให้เจ้า”
ในเมื่อหนังเสือทั้งตัวใช้ไม่ได้แล้ว เก็บหัวเสือไว้เป็นที่ระลึกก็ดีเหมือนกัน
กลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่ว หัวเสือชุ่มโชกไปด้วยเลือดสดๆ ต้าหลางกลั้นหายใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบใช้ถุงผ้ากระสอบห่อเก็บไว้อย่างดีใจ
มองดูร่างเสือและกวางลายจุดที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ฉินเหยาก็ขมวดคิ้วก่อนจะนวดหว่างคิ้วอย่างปวดหัว “เดิมทีข้าคิดจะพาเจ้ามาอยู่ฝึกอีกสักหลายวัน แต่แบบนี้คงไม่ได้แล้ว จำต้องลงเขาก่อนกำหนด”
ต้าหลางไม่ได้รู้สึกเสียดาย เขากล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านน้า เรื่องที่ข้าได้เรียนรู้ในช่วงหลายวันนี้ ก็เพียงพอให้ข้าฝึกฝนไปอีกนานแล้ว”
หลังจากลงเขา เขาจะต้องทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้อย่างละเอียดและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้
ฉินเหยามองเขาด้วยแววตาสนใจ นับว่าเป็นเด็กที่รู้จักตนเอง ไม่โลภมาก ตั้งใจเรียนรู้ไปทีละขั้น ไม่เลวเลย ไม่เลวเลยจริงๆ
สองแม่ลูกช่วยกันตัดกิ่งไม้ทำรถลาก ต้าหลางก้มหน้าก้มตาทำงาน ทว่า เขาจะเหลือบมองร่างของกวางลายจุดและเสืออยู่เป็นระยะ ความหวาดกลัวที่เคยมีเลือนหายไปสิ้น ในหัวมีเพียงภาพการโจมตีของเสือร้ายยามจู่โจมเหยื่อ
ส่วนภาพที่แม่เลี้ยงของเขาตวัดดาบฟันหัวเสือจนขาดสะบั้นนั้น เขาจะจดจำไปตลอดชีวิต แต่ก็ไม่ได้มั่นใจถึงขั้นคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ตนสามารถเรียนรู้ได้
ต้าหลางนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่ตนไล่ล่ากวางลายจุดโดยไม่ได้สังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัว จนเกือบต้องจบชีวิตลงในปากเสือ
ขณะสองแม่ลูกลากซากสัตว์ไปหาที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ ต้าหลางก็อดไม่ได้ที่จะถามฉินเหยาด้วยความกังวล ว่านางโกรธเขาหรือไม่ที่วันนี้ไม่เชื่อฟัง
ฉินเหยายิ้มบางๆ “หากข้าไม่อนุญาต เจ้าจะมีโอกาสทำผิดได้อย่างไร ข้ารู้ว่าคนหนุ่มสาวมักไม่เชื่อฟังคำเตือน ต้องให้เจ้าได้เผชิญเองจึงจะเข้าใจถึงผลลัพธ์”
ต้าหลางรับคำอย่างกระดากใจ ก่อนเงยหน้ามองคนข้างกาย ยามราตรีมาเยือน มีเพียงแสงจันทร์สลัวสาดลงมา เผยให้เห็นเงาร่างที่เลือนราง
“ท่านน้า ข้าอยากเป็นคนเช่นท่านในอนาคต” ต้าหลางกล่าวด้วยความชื่นชม
ฉินเหยาปัดกิ่งไม้ข้างหน้าพลางเตือนให้เขาระวังทางเดิน ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยถาม “ข้าเป็นคนเช่นไรหรือ”
ต้าหลางตอบอย่างจริงจัง “สงบนิ่ง สุขุม ไม่หวาดกลัวต่ออุปสรรคใดๆ และสามารถทำให้ตนเองอยู่ในจุดที่ไร้พ่ายได้เสมอ”
ฉินเหยาส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดที่ไร้พ่ายตลอดไป อีกอย่าง ข้ามีตัวช่วยพิเศษ”
“ตัวช่วยพิเศษคืออะไร” ต้าหลางขมวดคิ้วเกาศีรษะด้วยความสงสัย
แมลงตัวหนึ่งตกลงมาที่คอทำให้รู้สึกคันเล็กน้อย เขาใช้แขนเสื้อปัดมันออกไปโดยไม่แสดงท่าทีตื่นตกใจอีกต่อไป ไม่ว่าเป็นแมลงตัวเล็กหรือแม้แต่งูเล็กๆ ก็ไม่ทำให้เขาหวาดหวั่นเหมือนเมื่อก่อน เพราะเริ่มคุ้นชินกับชีวิตในป่าแล้ว
“ตัวช่วยพิเศษของข้าก็คือพลังเหนือมนุษย์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด…”
ฉินเหยาชะงักฝีเท้ากะทันหัน ต้าหลางจึงหยุดตามโดยไม่รู้ตัว เขามองตามสายตาของนาง เห็นแสงไฟสีส้มปรากฏขึ้นในป่ามืดมิด
เสียงพูดคุยแว่วมาเบาๆ
สองแม่ลูกที่แบกรถลากอยู่บนบ่า หันมามองกันด้วยความดีใจ ก่อนจะพร้อมใจกันเปล่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นว่า “นี่!”