ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 142 มีชื่อแล้ว
ตอนที่ 142 มีชื่อแล้ว
ท่ามกลางแสงสลัว เงาร่างสองสายค่อยๆ ปรากฏออกมา
“ใคร?” หนึ่งในนั้นเอ่ยถามเสียงแผ่ว
ฉินเหยาหัวเราะ เสียงนี้นางคุ้นเคยยิ่งนัก “พี่หยางต้า ข้าเอง ฉินเหยา!”
“หา” หยางต้าตกใจไม่น้อย คิดในใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
เขารีบเรียกบุตรชายหยางซวี่ให้มารับแม่ลูกคู่นี้ด้วยกัน แต่เพราะฟ้ามืดจึงมองไม่เห็นว่าพวกนางกำลังลากอะไรอยู่ ได้กลิ่นเพียงใบไม้ที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
สองพ่อลูกตั้งท่าจะช่วยแบกรถลากของสองแม่ลูก แต่ฉินเหยารีบกล่าวห้าม “ไม่ต้อง มันหนักเกินไป พวกท่านหิ้วไม่ไหวหรอก”
หยางต้ากับบุตรชายชะงักไปเล็กน้อย มือที่ยื่นออกไปหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บมือกลับไป
ฉินเหยาดันต้าหลางที่อยู่ข้างกายนางออกไป “ซวี่เกอเอ๋อร์ ช่วยดูแลเจ้าเด็กนี่ให้ข้าหน่อยสิ”
ต้าหลางปลดเถาวัลย์ที่พันไหล่ออก รู้ดีว่าตัวเองมีแต่จะเป็นภาระให้แม่เลี้ยงเปล่าๆ จึงเดินนำไปพร้อมกับหยางซวี่ก่อน
หยางต้าอยู่ข้างหลัง คอยคุ้มกันเด็กทั้งสองจนมาถึงกองไฟ
ฉินเหยาปรากฏตัวเป็นคนสุดท้าย นางวางของที่ลากมาไว้ข้างกองไฟ
สถานที่แห่งนี้ก็คือถ้ำที่ฉินเหยาเคยอยู่เมื่อปีก่อน หยางต้าคงเก็บกวาดไปแล้วรอบหนึ่ง พงหญ้าหน้าถ้ำและกิ่งไม้รกเรื้อภายในถูกเก็บกวาดออกไป แถมยังนำก้อนหินมาก่อกำแพงเตี้ยที่ปากถ้ำเพื่อบดบังทางเข้าและช่วยพรางตาได้ อีกทั้งยังสะดวกสำหรับก่อไฟทำอาหาร
เมื่อมีแสงสว่าง เหยื่อที่ฉินเหยาลากมาก็เผยโฉมออกมาให้เห็น ร่างของเสือขนสีน้ำตาลทองทำเอาหยางต้าตกใจแทบกระโดด
“พวกเจ้าเจอเสือมาเรอะ!” หยางต้าอุทานด้วยความตกใจ
ฉินเหยาพยักหน้า ยิ้มอย่างถ่อมตัว “โชคยังดีอยู่บ้าง”
หยางต้า ข้าถามเรื่องนี้ที่ไหนกัน?!
สายตากวาดมองสองแม่ลูกอยู่ครู่หนึ่ง เสื้อผ้าของทั้งสองขาดวิ่นและเปรอะเปื้อน ทว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่น้อย ช่างเหลือเชื่อนัก
เมื่อเหลือบมองร่างเสือที่เย็นชืดบนรถลาก หยางต้าก็เข้าใจถึงพลังที่แท้จริงของฉินเหยามากขึ้น
ต้าหลางปลดถุงผ้ากระสอบที่แบกมาตลอดทางลงวางบนรถลาก ไหล่ที่หนักอึ้งพลันเบาขึ้นในทันที เขาถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก
“นี่คงไม่ใช่หัวเสือหรอกกระมัง” หยางซวี่ชี้ไปที่ถุงผ้ากระสอบซึ่งเผยให้เห็นเค้าโครงหัวเสืออยู่รางๆ พลางถามด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
ต้าหลางพยักหน้ารับ “ท่านน้าข้าฆ่ามันเองแหละ”
พูดจบ เขายังใช้มือแทนดาบทำท่าฟันไปที่ศีรษะ ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
สองพ่อลูกหยางต้าสบตากัน ใบหน้าทั้งสองเผยความตระหนกออกมาเหมือนกันทุกประการ
ระหว่างที่ทั้งสองยังตกตะลึง ฉินเหยาได้หาทำเลเหมาะแล้วเรียกต้าหลางให้นั่งลง นางหยิบหม้อ ถ้วย และกระบอกไม้ไผ่ออกมาแล้วใช้ไฟของพวกเขาหุงข้าวต้ม
“พวกเจ้ายังพกข้าวมาด้วยหรือ” หยางซวี่ถามอย่างประหลาดใจ
ต้าหลางมองเขาอย่างงุนงง “หากไม่พกข้าวมาแล้วจะกินอะไรล่ะ”
“ก็นี่ไง” หยางซวี่ยื่นแผ่นขนมปิ่งแห้งกรอบออกมาจากถุงผ้าใบเล็กบนพื้น “เวลาเข้าป่าพกเสบียงแห้งสะดวกกว่า วันนี้หากไม่เจอถ้ำนี่ล่ะก็ พวกข้ายังไม่กล้าก่อไฟกองใหญ่ขนาดนี้เลย แสงไฟอาจดึงดูดสัตว์ร้ายได้”
ต้าหลางได้ยินเช่นนั้นก็คิดในใจ ที่แท้คนปกติเข้าป่าล่าสัตว์กันเป็นแบบนี้เองสินะ
ไม่เหมือนพวกเขา คืนแรกที่เข้าป่าก็จุดไฟเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่แม่เลี้ยงก่อไฟดวงตาของนางจะเป็นประกายราวกับนักล่าเหมือนอยากให้สัตว์ร้ายเข้ามาหาพวกเขาก่อนเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยเจอสัตว์ร้ายที่ถูกดึงดูดเข้ามาหาแสงไฟเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หยางซวี่นั่งลงตรงข้ามสองแม่ลูก พลางถามต้าหลางด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจ้าชื่ออะไร แล้วฉินเหนียงจื่อเป็นอะไรกับเจ้าหรือ”
ต้าหลางมองฉินเหยาครู่หนึ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาไม่มีชื่อ ตั้งแต่เล็กมาก็ถูกเรียกว่าต้าหลางมาตลอด
ฉินเหยาหยิบกระบอกไม้ไผ่มาเทน้ำลงในหม้อเล็กที่ใส่ข้าวไว้ ปิดฝาหม้อ ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนยิ้มตอบ
“จื่อวั่ง หลิวจื่อวั่ง บุตรชายคนโตของข้า”
หยางซวี่ตบไหล่ต้าหลางเบาๆ แล้วชี้ไปที่ซากเสือพลางถาม “เจ้ากลัวหรือไม่”
ต้าหลางส่ายหน้าช้าๆ อย่างมึนงง ในหัวของเขาเอาแต่คิดถึงประโยคเมื่อครู่ของฉินเหยา ‘จื่อวั่ง หลิวจื่อวั่ง’
“เหตุใดต้องเป็นจื่อวั่งหรือ” เด็กชายเติมฟืนเข้าไปในกองไฟพลางกระซิบถามด้วยความสงสัย
ฉินเหยายักไหล่ “เพราะมันไพเราะดี”
ต้าหลางตอบ “อ้อ”
มันไพเราะจริงๆ ไพเราะกว่าหลิวต้าหลางเป็นร้อยเท่า ไม่สิ พันเท่า!
ฉินเหยามองเขาแวบหนึ่ง รอยยิ้มของเด็กชายนั้นกว้างเสียจนเกือบไปถึงใบหู แค่ได้ชื่อใหม่ก็ปลาบปลื้มถึงเพียงนี้ สมแล้วที่ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
“แล้วพวกเขาล่ะ” ต้าหลางกระซิบถามอีกครั้ง
ฉินเหยานิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “จื่อซู จื่อหมิง ผิงหลิง ปีหน้าเมื่อไปสำนักศึกษาข้าจะแจ้งชื่อพวกเจ้าไป”
ต้าหลางพยักหน้ารัวด้วยความตื่นเต้น หากเอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียงรู้ว่าแม่เลี้ยงตั้งชื่อไพเราะให้พวกเขาเช่นนี้ คงต้องดีใจมากแน่ๆ
ฉินเหยามองเขาที่กำลังหุงข้าวต้มไปพลางฮัมเพลงไปพลาง ก่อนหัวเราะแล้วถาม “ดีใจถึงเพียงนี้เลยหรือ”
“อืม!” เด็กชายหันกลับมามองนางแวบหนึ่ง ดวงตาของเขาส่องประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าจันทราบนท้องฟ้าเสียอีก
หยางต้ากับหยางซวี่ช่วยกันเก็บกวาดพื้นที่ในถ้ำไปได้กว่าครึ่งแล้ว หยางต้ามุดออกมาจากถ้ำแล้วเอ่ยกับฉินเหยา
“คืนนี้พวกเจ้านอนข้างใน ข้ากับซวี่เกอเอ๋อร์จะผลัดกันเฝ้ายามเอง”
“ไม่เป็นไร” ฉินเหยาเป่าข้าวต้มกับเนื้อแห้งที่ต้าหลางยื่นมาให้ “ข้าเฝ้ายามเองก็ได้ พวกท่านนอนในถ้ำกันหมด แบบนี้จะสะดวกกว่า”
เห็นหยางต้าทำท่าจะปฏิเสธ ฉินเหยาก็ชี้ไปที่กำแพงเตี้ยๆ “หากข้าง่วงก็แค่พิงตรงนี้หลับตาสักพัก เฝ้ากองไฟไว้ก็ไม่หนาวแล้ว”
เห็นนางยืนกรานเช่นนี้ อีกทั้งยังรู้ว่านางมีความสามารถพอ หยางต้าจึงไม่พูดอะไรต่อ เขาดึงตัวบุตรชายที่ทำท่าจะขอแบ่งข้าวต้มร้อนๆ มากินแล้วเดินออกไปเก็บฟืนมาเพิ่ม เพื่อให้ฉินเหยาใช้ก่อไฟกลางดึก
เมื่อเก็บฟืนเสร็จกลับมา ฉินเหยากับต้าหลางก็ทานอาหารค่ำเสร็จพอดี ทั้งสองเล่นกับกระรอกน้อยขนขาวที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว
ฉินเหยาใช้เชือกปอผูกข้อเท้ามันไว้ เจ้ากระรอกพยายามหนีแต่ไม่สำเร็จ มันทั้งตกใจทั้งดุร้ายส่งเสียงร้องจี๊ดๆ ออกมา
หยางซวี่เห็นกระรอกตัวเป็นๆ ที่สวยงามเช่นนี้ก็อิจฉา หากพ่อเขามีฝีมือเช่นนี้ ป่านนี้เขาคงนั่งสบายอยู่ในบ้านเป็นคุณชายไปแล้ว
“หลิวจื่อวั่ง ท่านแม่ของเจ้าช่างดีกับเจ้าจริงๆ จับกระรอกมาให้เป็นสัตว์เลี้ยงอีกต่างหาก”
“ไม่ใช่ จะขายต่างหาก” ต้าหลางอธิบาย
ฉินเหยากำชับต้าหลางให้จับเชือกให้ดี อย่าให้กระรอกกัดขาดได้ จากนั้นจึงหันไปถามหยางต้าด้วยความสงสัย “พวกท่านพ่อลูกเข้าป่ามาทำอะไรหรือ”
หยางต้ามองต้าหลางแวบหนึ่ง “ก็ไม่ต่างจากเจ้า อยากพาพวกเขาออกมาฝึกฝนประสบการณ์”
ไม่เช่นนั้น ใครกันจะพาเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบพวกนี้มาล่าสัตว์
“ว่าแต่เจ้า เด็กเล็กเพียงนี้ เจ้าก็กล้าพามาด้วยหรือ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น…” พูดถึงตรงนี้ หางตาของหยางต้าก็เหลือบไปเห็นซากเสือบนรถลาก เขาจึงกระแอมไอเบาๆ สองที ก่อนรีบโบกมือ “ไม่มีอะไรแล้ว”
“ฉินเหนียงจื่อ พรุ่งนี้เราไปด้วยกันดีหรือไม่” หยางต้าชักชวนอย่างกระตือรือร้น “ถือโอกาสเรียนรู้วิธีล่าสัตว์จากเจ้าสักหน่อย”
“ไม่ล่ะ” ฉินเหยาปฏิเสธ พวกนางมีเหยื่อที่ล่ามาแล้ว ต้องจัดการก่อน
หยางซวี่ได้ยินท่านพ่อเชิญแม่ลูกคู่นี้ก็ตั้งตารอคอย แต่เมื่อได้ยินฉินเหยาปฏิเสธ เขาก็ถอนหายใจอย่างเสียดายพลางหันไปพูดกับต้าหลางด้วยความอิจฉาอีกครั้ง
“จื่อวั่ง ข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ นะ”
“เป็นอะไรอีก” หูของหยางต้าไม่ได้หนวก “พ่อของเจ้าก็เคยล่าเสือเหมือนกันนะ เจ้าเด็กนี่ยังกล้าเลือกอาจารย์อีกหรือ”
หยางซวี่โอดครวญ “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย ท่านจะตื่นเต้นไปไย”
หยางต้าถลึงตามองลูกชาย “เจ้าตัวแสบ!”
เมื่อเห็นต้าหลางที่กินเสร็จแล้วยังรู้จักเก็บถ้วยชาม อีกทั้งยังหาของให้กระรอกกิน หยางต้าก็นึกในใจ ข้ายังอิจฉาที่คนเขามีบุตรชายว่านอนสอนง่ายเลย