ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 148 ท่านพ่อช่วยลูกด้วย Home ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว ตอนที่ 148 ท่านพ่อช่วยลูกด้วย
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 148 ท่านพ่อช่วยลูกด้วย Home ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว ตอนที่ 148 ท่านพ่อช่วยลูกด้วย
ต้าหลางและเอ้อร์หลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทั้งสองอายุมากกว่าเล็กน้อย เคยผ่านความหวาดกลัวจากช่วงปีแห่งความโกลาหลมาก่อน
สารพัดคำสั่งเกณฑ์ทหาร เกณฑ์แรงงานซ่อมสะพานสร้างถนนและภาษีแปลกประหลาดมากมาย ทุกครั้งที่ระฆังดังขึ้น บรรยากาศในหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ดังนั้น งานเกณฑ์แรงงานขนเสบียง ย่อมไม่มีทางเป็นเรื่องง่ายเหมือนที่ท่านน้ากล่าวแน่นอน
ต้าหลางหยั่งเชิงถามด้วยความระแวดระวัง “เช่นนั้นบ้านพวกเราก็ต้องส่งคนไปหรือ”
ฉินเหยารินน้ำให้ตนเองอย่างสงบแล้วพยักหน้า “ถูกต้อง ท่านพ่อของพวกเจ้าจะไป”
น้ำเสียงของนางเรียบง่ายราวกับเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเกินไป
หัวใจของต้าหลางกระตุกวูบ มองฉินเหยาด้วยความลังเลอยู่หลายครั้งจนถูกเอ้อร์หลางกระตุกชายเสื้ออย่างแรง สุดท้ายก็เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ โดยไม่เอ่ยสิ่งใด และหยิบกาน้ำขึ้นมารินเติมน้ำในถ้วยให้นาง
“พอขนเสบียงเสร็จแล้ว ท่านพ่อก็จะกลับมาใช่หรือไม่” ซื่อเหนียงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
ฉินเหยาลูบแก้มกลมของนางเบาๆ “ใช่ หากทำภารกิจเสร็จสิ้นก็กลับมาได้ บางทีอาจกลับมาทันช่วงปีใหม่ก็ได้”
เงื่อนไขก็คือ ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ!
ซื่อเหนียงตอบอ้อพลางพยักหน้ารับ เข้าใจบ้างแต่ก็ยังไม่ทั้งหมด นางมองพี่ชายแล้วหันมามองท่านแม่ รู้สึกคล้ายมีบางอย่างแปลกๆ ชอบกล
แต่เมื่อเห็นท่านแม่ยังยิ้มแย้ม ซักถามเรื่องการเรียนของพี่ๆ เป็นปกติ นางก็วางใจลง ในเมื่อท่านแม่บอกว่าไม่มีเรื่องอะไรก็ย่อมไม่มีเรื่องแน่นอน~
หลังจากใช้น้ำอุ่นล้างหน้าและเท้าแล้ว แต่ละคนก็กลับเข้าเรือนไปนอน
ตลอดคืนฝนยังคงตกอยู่ เสียงฝนหนักเบาสลับกันไป ความเย็นแทรกซึมเข้ามาเป็นระลอก โชคดีที่ก่อนหน้านี้เพิ่งเปลี่ยนฟางรองเตียงเป็นแบบใหม่ที่นุ่มขึ้น อีกทั้งผ้าห่มก็เปลี่ยนเป็นแบบหนาขึ้นแล้ว
ยามเที่ยงคืน ขณะที่ฟังเสียงฝนตกนอกเรือนและกำลังหลับสบาย ประตูเรือนก็ถูกเคาะดัง ปึงปึงปึง
ฉินเหยาและเด็กทั้งสี่ในเรือนข้างๆ ต่างสะดุ้งตื่น
ฉินเหยาลุกขึ้นแล้วตะโกนไปยังลานเรือน “ผู้ใดกัน!”
“ข้าเอง เมียจ๋าข้ากลับมาแล้ว!”
ที่แท้เป็นหลิวจี้
ฉินเหยาแต่งตัวพลางคิดในใจ วันนี้เป็นวันหยุดพักของเขารึ
แต่กลับมาได้จังหวะพอดี เช่นนี้นางก็ไม่ต้องเข้าเมืองไปพาตัวเขากลับมาเพื่อเข้ารับการเกณฑ์แรงงานแล้ว
ฉินเหยาเปิดประตูแล้วรีบถอยไปยืนใต้ชายคาของเรือนหลักเพื่อหลบฝน
ต้าหลางและเอ้อร์หลางก็เปิดประตูห้อง โผล่ศีรษะออกมาเห็นร่างเปียกปอนในค่ำคืนฝนตกแล้วเอ่ยเรียกด้วยความลังเล “ท่านพ่อ?”
หลิวจี้ปิดประตูเรือน ตอบรับเสียงต่ำ ก่อนรีบวิ่งเข้ามาในเรือนหลัก ถอดงอบที่แทบไม่ได้ช่วยกันฝนออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เปียกโชกจนน่าสังเวช
เส้นผมเปียกแปะติดอยู่บนใบหน้า อาภรณ์ยาวเต็มไปด้วยคราบโคลน รองเท้าผ้าที่ย่ำโคลนนั้นยิ่งดูไม่ได้ ถูกน้ำโคลนชะเสียจนเปลี่ยนเป็นอีกสีหนึ่งจนไม่อาจมองเห็นรูปเดิม
ต้าหลางดันเอ้อร์หลางกลับเข้าไปในห้อง รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วตรงไปยังห้องครัว ก่อไฟต้มน้ำ ตักน้ำขิงร้อนๆ หนึ่งชามมาแล้วยื่นให้หลิวจี้ “ท่านพ่อ ดื่มน้ำขิงเพื่ออบอุ่นร่างกายสักหน่อยเถิด”
หลิวจี้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ ยื่นมือจะลูบศีรษะลูก แต่เมื่อเห็นว่ามือของตนเปรอะโคลนไปหมดจึงชักกลับอย่างกระดากใจ รับชามมาแล้วดื่มน้ำขิงรวดเดียวหมด
เขาเดินทางมาตอนฟ้ามืด ทั้งยังมีฝนตก พื้นดินลื่นเป็นโคลน แม้จะอดทนมาจนถึงปากหมู่บ้านแล้ว แต่สุดท้ายกลับมาล้มลื่นเอาตรงหน้าประตูเรือนตนเองจนเนื้อตัวเปรอะไปด้วยโคลนอย่างที่เห็น
สองพ่อลูกช่วยกันเก็บล้างจนเรียบร้อย ฉินเหยากอดอกยืนอยู่ใต้ระเบียง มองดูเงาร่างที่เคลื่อนไหวไปมาในครัวและห้องอาบน้ำ สีหน้าของนางยากจะคาดเดา
หลิวจี้อาบน้ำสระผมจนเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าปอที่สะอาด ก่อนเดินออกจากห้องอาบน้ำ
เพียงเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาที่เย็นชาคู่นั้น หัวใจของเขาบีบรัดแน่นทันที
“เมียจ๋า ข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” หลิวจี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าซักเสื้อผ้าเสร็จก็จะนอนแล้ว”
ฉินเหยาพยักหน้าแล้วโบกมือให้ต้าหลางที่ยังคงง่วนอยู่ในครัวต้มโจ๊กให้หลิวจี้ “ปล่อยให้เขาทำเอง เจ้าไปนอนเถอะ”
เด็กเล็กอดนอนมากเกินไปไม่ดีต่อร่างกาย
ต้าหลางรับคำเบาๆ แต่ยังคงเป็นห่วงจึงกำชับบิดาอีกหลายคำก่อนจะยอมกลับไปนอน
หลิวจี้ยืนอยู่หน้าเตาเพียงลำพัง โจ๊กขาวในหม้อเดือดพล่านค่อยๆ ปล่อยไอร้อนพวยพุ่ง เขาหันไปมองห้องนอนที่อยู่ตรงข้ามโดยไม่รู้ตัวแล้วขยับเข้าใกล้เตาเพื่อขับไล่ความหนาวที่เกาะกุมร่างกาย แม้ความเย็นจากร่างกายจะจางหายไป แต่ความเย็นในใจกลับทวีขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า เงาหลังที่เดินผ่านหน้าโรงเตี๊ยมอย่างรีบเร่งในยามโพล้เพล้วันนั้นก็คือฉินเหยา
นางเห็นแล้ว แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยอย่างนั้นหรือ
แบบนี้น่ากลัวยิ่งกว่านางพุ่งเข้ามาต่อยตีเขาเสียอีก!
เพราะความกระวนกระวายใจ บวกกับเงินใช้จ่ายที่ไม่มีผู้ใดส่งมาและจดหมายสี่ฉบับที่ส่งไปกลับไร้ซึ่งการตอบกลับ ฉะนั้นเมื่อเลิกเรียน หลิวจี้จึงขอยืมงอบของสหายร่วมชั้นแล้วรีบเร่งเดินทางกลับบ้านทันที
ฟ้ามืดสนิทแล้ว บนถนนแทบไม่เห็นเกวียนวัวหรือรถม้าเลย เขาจึงต้องเดินเท้ากลับตลอดทาง
เขาเดินทางถึงสามชั่วยาม จากยามโพล้เพล้จนกระทั่งฟ้ามืด จากฟ้ามืดจนกระทั่งดึกดื่น ในที่สุดก็กลับมาถึงบ้าน
เมื่อประตูเปิดออกในชั่วขณะนั้น หลิวจี้เตรียมใจไว้แล้วว่าคงต้องเผชิญกับพายุร้าย คำอธิบายที่เตรียมไว้พร้อมจะหลุดออกจากปากได้ทุกเมื่อ
คาดไม่ถึงว่าเมื่อประตูเปิดออก นางกลับถอยออกไปอยู่นอกห้องโถง ไม่เปิดโอกาสให้เขาเอ่ยปากแม้แต่น้อย
จากนั้น นางก็จ้องมองการกระทำทุกอย่างของเขาด้วยสีหน้าไม่แยแส
ระหว่างอาบน้ำเมื่อครู่ เขาอดไม่ได้ที่จะลูบต้นคอด้านหลังอยู่หลายครั้ง รู้สึกคล้ายมีคมมีดจ่ออยู่บนศีรษะตลอดเวลา
โจ๊กในหม้อสุกได้ที่ กลิ่นหอมของข้าวอบอวล หลิวจี้ลูบท้องตนเองแล้วคิดว่า ช่างเถอะ กินให้อิ่มก่อน พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาก็ยังเป็นชายชาตรีที่เข้มแข็งดังเดิม!
ต้าหลางเมื่อครู่พูดว่าอะไรนะ อ้อ บนชั้นสองของตู้กับข้าว ยังมีกากหมูเจียวและผัดผักดองเหลืออยู่อีกครึ่งถ้วย
หลิวจี้หยิบกับข้าวที่เหลืออยู่นั้นมาใส่ลงในโจ๊กขาวแล้วตักกินอย่างรวดเร็วเพื่อเติมเต็มท้องของตน
เมื่อกินเสร็จ เขาก็เก็บกวาดเตาให้เรียบร้อย ซักเสื้อผ้าที่สกปรกจนสะอาด เพลานี้ไก่ในลานบ้านก็เริ่มขันแล้ว
หลิวจี้เป่าตะเกียงน้ำมันให้ดับ พลางอ้าปากหาวก่อนผลักประตูห้องออก จากนั้นทิ้งตัวลงบนฟูกที่หอมสะอาดและอ่อนนุ่ม ไม่คิดสิ่งใดอีกแล้ว ขอหลับใหลอย่างสุขสบายก่อน
เขาหลับยาวจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายแก่ๆ
คนในบ้านไม่มีใครปลุกเขาเลย เกรงใจเกินไปแล้ว
จากคืนที่กลับมาถึงบ้านประจวบจนบ่าย เขายังไม่ได้ยินข่าวเรื่องเกณฑ์แรงงานราษฎรแม้แต่น้อย
จนกระทั่งเขาเดินออกจากบ้านอย่างสบายอารมณ์ไปยังหมู่บ้าน มองเห็นชาวบ้านแต่ละคนล้วนมีท่าทีร้อนรนกระวนกระวายจึงค่อยรู้สึกถึงความผิดปกติ
“นี่! พวกเจ้าจะไปที่ใดกันรึ” หลิวจี้เอ่ยถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้น ไฉนทุกคนถึงทำหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้”
ญาติผู้พี่ที่ถูกเขาขวางไว้เอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ายังไม่รู้หรือ”
หลิวจี้ส่ายศีรษะ เขาควรจะรู้เรื่องหรือ
ลูกพี่ลูกน้องมองท่าทางของเขาแล้วถอนหายใจด้วยความอิจฉา “คงเป็นเพราะเมียของเจ้าช่วยให้เจ้าได้รับการเกณฑ์แรงงานแทนแล้ว เช่นนั้นการเกณฑ์แรงงานราษฎรขนเสบียงกองทัพของราชสำนักในครั้งนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าแล้วสินะ”
กล่าวจบก็รีบร้อนจะจากไป ไม่อยากอยู่กับเขานานไปกว่านี้ เกรงว่าตนเองจะอิจฉาจนคลุ้มคลั่ง
หลิวจี้ร้องเรียกอยู่หลายครั้งแต่ก็รั้งอีกฝ่ายไว้ไม่ได้ ยืนค้างอยู่กับที่ พลางครุ่นคิดถึงคำพูดของลูกพี่ลูกน้องซ้ำไปซ้ำมา จู่ๆ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
เกณฑ์แรงงานราษฎรของราชสำนัก?
มีการเกณฑ์แรงงานอีกแล้วหรือ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ความวิตกกังวลที่เขากดเอาไว้พลันถาโถมขึ้นมาอย่างรุนแรง
เมื่อนึกถึงท่าทีไม่ยี่หระของฉินเหยาเมื่อวานนี้ สีหน้าของหลิวจี้ก็พลันเปลี่ยนไป รีบรุดไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้านทันที
เขาพลิกดูรายชื่อผู้ถูกเกณฑ์และสองตัวอักษรหลิวจี้ก็เด่นหราอยู่ในนั้น
“จบเห่แล้ว! จบเห่แล้ว!”
เหมือนมีน้ำเย็นเฉียบราดลงมาจากศีรษะ หลิวจี้สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้ใหญ่บ้าน เขาหมุนตัวแล้ววิ่งกลับบ้านอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านพ่อ! ช่วยลูกด้วยเถิด!”