ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 149 เขาเรียนรู้และปรับตัวเก่งจริงๆ
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 149 เขาเรียนรู้และปรับตัวเก่งจริงๆ
ตอนที่ 149 เขาเรียนรู้และปรับตัวเก่งจริงๆ
หลิวจี้พุ่งทะยานเข้าไปในเรือนเก่าตระกูลหลิวอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่คาดคิดว่าจะพบเจอกับความว่างเปล่า
หลิวเหล่าฮั่นไม่อยู่ที่บ้านนานแล้ว
เมื่อคืน ผู้ที่รวบรวมเงินได้ต่างนำเงินไปมอบให้ผู้ใหญ่บ้าน พอรุ่งเช้าวันนี้ ผู้ใหญ่บ้านก็นำเงินนั้นเข้าอำเภอ
คาดไม่ถึงว่าการแข่งขันจะดุเดือดนัก หมู่บ้านตระกูลหลิวได้สิทธิ์แรงงานเกณฑ์แทนเพียงห้าสิทธิ์ เมื่อนำมาจัดสรร เรือนเก่าตระกูลหลิวได้รับเพียงหนึ่งสิทธิ์ ยังเหลืออีกหนึ่งคนที่ต้องไปเป็นแรงงานเกณฑ์
เมื่อหลิวเหล่าฮั่นได้ยินข่าวนี้ ทั้งร่างก็หนักอึ้งไปทันที ได้แต่ถือเงินหกตำลึงที่ผู้ใหญ่บ้านคืนมา ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ฉินเหยามาแจ้งชื่อของหลิวจี้ขึ้นทะเบียนพอดี คราเดินผ่านเรือนเก่าตระกูลหลิวจึงแนะนำทางออกให้หลิวเหล่าฮั่น
“ไปหาหลิวต้าฝูเถิด”
ครอบครัวของเขาต้องส่งคนไปสองคน แต่ก็ได้รับสิทธิ์แรงงานเกณฑ์แทนเพียงหนึ่งคน เหลืออีกหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบุตรคนใดเขาก็ไม่อาจตัดใจส่งไปได้
เรื่องเช่นนี้ สำหรับครอบครัวทั่วไปถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่สำหรับบางคนที่ยากจนกลับเป็นโอกาสทางการค้า
ขอเพียงเจ้ากล้าใช้เงินก็มีคนมากมายที่ยอมรับงานเพื่อเงินโดยไม่ห่วงชีวิต
เมื่อหลิวต้าฝูได้รับข่าวจากผู้ใหญ่บ้านก็รีบจัดเกวียน เตรียมเงินและมุ่งหน้าเข้าเมืองทันที
ดังนั้น หลิวเหล่าฮั่นที่ได้รับคำแนะนำจากฉินเหยาก็กำเงินทั้งหมดที่เหลืออยู่ในบ้าน รีบติดตามหลิวต้าฝู และเดินทางเข้าเมืองพร้อมกัน
เมื่อถึงเมืองก็พบว่ามีผู้คนถือป้ายรอพวกเขาอยู่แล้ว สิบตำลึงก็สามารถหาคนแทนไปเป็นแรงงานเกณฑ์ได้
ครอบครัวใดที่สามารถจ่ายเงินก้อนนี้ได้ก็จะยอมจ่ายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เพราะหากเจ้าลังเลไปชั่วขณะ คนผู้นั้นก็ถูกผู้อื่นแย่งตัวไปเสียแล้ว
ยามนี้ หลิวเหล่าฮั่นกำลังดำเนินเอกสารส่งต่อกับบุคคลที่มารับหน้าที่แรงงานเกณฑ์แทน
ทางการเองก็มิได้เข้มงวดนัก เพียงหาเครือญาติห่างๆ พี่น้องร่วมสายโลหิต หรือแม้แต่บุตรบุญธรรมมาก็สามารถใช้เป็นตัวแทนได้
ดังนั้น หลิวจี้จะหาพ่อของตนพบได้อย่างไรเล่า
เมื่อหาพ่อไม่พบ หัวใจของหลิวจี้เหมือนตายไปครึ่งหนึ่ง ความเสียใจถาโถมขึ้นมา เขากำหมัดชกศีรษะตนเองด้วยความโกรธ
เพราะความละโมบอยากกินสุราและเนื้อของฝานซิ่วไฉแท้ๆ ซ้ำยังโชคร้ายให้นางมารร้ายผู้นั้นเห็นเข้าอีก!
แต่ตอนนี้เสียใจภายหลังแล้วจะมีประโยชน์อันใด
ชื่อของเขาถูกบันทึกลงในบัญชีแรงงานเกณฑ์ไปแล้ว ตอนนี้ยังจะหาผู้ใดมาลบชื่อออกได้อีก
หรือว่า… ใช้เงินว่าจ้างผู้อื่นมาเป็นแรงงานเกณฑ์แทนเขา?
หลิวจี้พบคำตอบที่ว่านี้อย่างสิ้นหวัง มีเพียงฉินเหยาเท่านั้นที่เขาสามารถพึ่งพาได้!
นางมีเงิน ขอเพียงกล่อมให้นางหายโกรธก็ยังทันการณ์อยู่
“เมียจ๋า!”
เงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาเตรียมงอเข่าลงจะคุกเข่าลงตรงหน้านาง
ฉินเหยากำลังตรวจดูพัฒนาการด้านการเรียนของพวกต้าหลางทั้งสี่คนอยู่ในห้องพวกเขา พอเห็นหลิวจี้ร้องไห้โหยหวนพุ่งเข้ามาก็ขวมดคิ้ว สีหน้าพลันเย็นชาในทันที
เด็กๆ ตกใจกับท่าทีของเขา โชคดีที่ฉินเหยาปฏิกิริยาว่องไว ก่อนที่เขาจะได้คุกเข่านางก็จับแขนเขาเอาไว้แล้วผลักออกไปเสียก่อน
ฉินเหยาหันหน้าไปมองเด็กทั้งสี่คนพลางส่งยิ้มจาง “พอแล้ว วันนี้พวกเจ้าผ่านเกณฑ์หมดแล้ว ไปเล่นกันเถอะ”
กล่าวจบก็เหลือบตามองหลิวจี้ แววตาแฝงไว้ด้วยคำเตือน เจ้าน่ะ อย่าได้ทำให้เด็กๆ ตกใจเด็ดขาด
หลิวจี้ร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้น ก่อนจะเผยฟันขาว ยิ้มแหยๆ ให้เด็กทั้งสี่คน “เมื่อครู่ข้าเดินเร็วไปหน่อย เท้ามันลื่นน่ะ ฮ่าๆๆ…”
ซานหลางและซื่อเหนียงหัวเราะออกมาทันที ชี้ไปที่เขาพลางทำท่าทางล้อเลียน ทำให้หลิวจี้ยกมือขึ้นเหมือนจะทำโทษพวกเขา ฝาแฝดชายหญิงหัวเราะร่า ก่อนจะกอดศีรษะตนเองแล้ววิ่งหนีไป
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกเราไปเล่นชู่จวีกันเถอะ!”
ต้าหลางขานรับ ก่อนจะหันไปหยิบชู่จวีจากกล่องไม้ข้างเตียงแล้ววิ่งตามเอ้อร์หลางและฝาแฝดไป
ภายในห้องเงียบลงทันที ฉินเหยานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ พลางปรายตามองไปยังประตูด้วยสายตาเย็นชา
รอยยิ้มบนใบหน้าหลิวจี้ไม่อาจคงอยู่ได้อีก เขาลื่นไถลคุกเข่าลงตรงเท้านาง น้ำเสียงสั่นเครือพรั่งพรูไปด้วยน้ำตา
“เมียจ๋า เจ้าต้องเข้าใจผิดอะไรสักอย่างแน่ๆ ฟังข้าอธิบายก่อน…”
ฉินเหยาชูมือขัดจังหวะ “ไม่ต้อง ข้าไม่อยากฟัง”
หลิวจี้คุกเข่าขึ้นหน้ามาสองก้าว กอดขานางไว้แน่น แววตาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน “เมียจ๋า นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ สิ่งที่เจ้าพบเห็นในเมืองวันนั้นไม่ใช่ทั้งหมด ข้าสาบาน ข้า…”
“ข้าไม่เคยให้โอกาสเจ้ารึ”
ฉินเหยาขัดจังหวะเสียงร้องไห้ของเขาอีกครั้ง ออกแรงที่ขาเล็กน้อยก็สะบัดหลิวจี้ที่กอดขานางกระเด็นไปไกลถึงหนึ่งจั้ง
หลิวจี้สูดหายใจเฮือกใหญ่ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วสะโพก คราวนี้ถึงกับน้ำตาตกจริงๆ ส่ายหน้ารัวๆ “เมียจ๋า ไม่เอา…”
เพียงสองคำว่าไม่เอาที่เขาเปล่งออกมากลับดังก้องสะท้อนซ้ำไปมา แฝงด้วยความอ้อนวอนเว้าวอนอย่างสุดซึ้ง
ฉินเหยาลุกขึ้นยืน เดินมายืนตรงหน้าของเขา เชิดหน้าขึ้นมองลงมาจากที่สูง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับปลายคางของเขาไว้แน่น
แรงบีบที่ปลายนิ้วแทบจะบดขยี้กระดูกขากรรไกรของหลิวจี้ให้แหลก!
แววตาที่เต็มไปด้วยความรำคาญและจิตสังหารทำเอาหลิวจี้ขนลุกชันไปทั้งร่าง
ในใจของหลิวจี้ร้องเรียกบิดามารดาสุดเสียง รีบมาช่วยข้าเร็ว!
แต่โชคร้ายที่คางของเขาถูกบีบไว้แน่น ทำให้ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย
ฉินเหยามองดูท่าทางหวาดกลัวดิ้นรนของเขาแล้วหัวเราะเยาะ ก่อนจะปล่อยมือจากคางของเขา ตบเบาๆ สองทีลงบนใบหน้าหล่อเหลาแต่เต็มไปด้วยน้ำตาของเขา “หลิวจี้เอ๋ยหลิวจี้ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้ามันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
“หากรู้ความก็จงออกจากบ้านหลังนี้ไปเอง ไม่เช่นนั้น….”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดคำว่าตายออกมา หลิวจี้ก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เดินออกไปพร้อมกับร้องตอบว่า
“ข้าไปเป็นแรงงานเกณฑ์ก็ได้ ขอแค่เมียจ๋าพอใจ ชีวิตของหลิวจี้คนนี้มันไม่มีค่าอะไรอยู่แล้ว!”
เมื่อเดินไปถึงระเบียง เขาก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความน้อยใจต่ำใจ “หากข้ารอดกลับมาได้ เมียจ๋าต้องยอมฟังคำอธิบายของข้านะ”
ฉินเหยา “ไม่ฟัง! ไสหัวไป!”
หลิวจี้ “…”
ก็ได้ ไสหัวไปก็ไสหัวไป!
เขาไสหัวกลับเข้าไปในห้องเล็กๆ ของตัวเอง มองผ่านลูกกรงหน้าต่าง ความโศกเศร้าครั้งนี้มาแรงจนร้องไห้ไม่ออก
เพราะเขายังอยากมีชีวิตอยู่!
ซื่อเหนียงและพี่น้องเล่นกันจนกระทั่งก่อนมื้อเย็นจึงกลับมา แต่ละคนดูอารมณ์ดี ไม่ทันสังเกตเลยว่าบิดาของตนกำลังอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉินเหยาจ้องมองอยู่ หลิวจี้จึงต้องฝืนทำท่าทีสบายๆ เพื่อไม่ให้เด็กๆ หวาดกลัวกับฉากนองเลือดกลางบ้าน
เหมือนใช้เวลาครุ่นคิดไปครึ่งวัน จู่ๆ ก็เกิดมีความคิดบางอย่างขึ้นมา เข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ในทันที
เมื่อรู้แน่แก่ใจว่าการเข้ารับเกณฑ์แรงงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลิวจี้จึงล้มเลิกความฝันลมๆ แล้งๆ
เขาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ จากการพยายามหลบเลี่ยงแรงงานเกณฑ์กลายเป็นหาทางเพิ่มโอกาสรอดชีวิตแทนจึงรีบจัดเตรียมสัมภาระ แสดงให้เห็นถึงความ ‘รู้สถานการณ์แล้วปรับตัวตาม’ อย่างถึงที่สุด
หลังมื้อเย็น เขาเดินทางไปยังเรือนเก่า ส่วนว่าเขาไปหาหลิวเหล่าฮั่นเพื่อร้องไห้อ้อนวอนเหมือนตอนฉินเหยาหรือไม่นั้น นางไม่รู้และก็ไม่อยากรู้ด้วย
แต่ที่แน่ๆ พอเขากลับมาแล้วก็เหมือนจะได้ค่าประสบการณ์ในการเอาตัวรอดเพิ่มขึ้นเต็มเปี่ยม หยิบมีดพร้าเดินไปทำอะไรบางอย่างที่ลานหลังบ้าน
เขาเหลาไม้ยาวขึ้นมาหนึ่งด้าม สูงเกือบเท่าตัวคน จากนั้นก็ถอดใบมีดพร้าจากด้ามเดิม นำมาติดเข้ากับปลายไม้ ทำให้มันกลายเป็นดาบตัดม้า[1]แบบหยาบๆ
ฉินเหยาเลิกคิ้วขึ้น นี่เขากำลังทำอาวุธป้องกันตัวหรือ
หลังจากเตรียมอาวุธเสร็จแล้ว เขาก็หยิบกล่องเข็มด้ายออกมา ขะมักเขม้นเสริมพื้นรองเท้าให้หนาขึ้น นั่งเย็บอยู่ทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอน เย็บรองเท้าไปสองคู่
ฉินเหยาพึมพำด้วยความแปลกใจ เพิ่งค้นพบว่าชายผู้นี้มีพรสวรรค์ด้านงานเย็บปักถึงเพียงนี้
จากนั้น หลิวจี้ก็รื้อเสื้อผ้าทั้งหมดของตนออกมา ซ่อมแซมและเสริมกระเป๋าเข้าไปในชุดที่หนาที่สุด ยัดเกลือ น้ำตาล หินจุดไฟ และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ลงไป
คืนก่อนออกเดินทาง เขายังแอบล้วงเงินเหรียญจากถุงเงินของเอ้อร์หลางแล้วยัดทั้งหมดเข้าไปในกระเป๋าชั้นในของเสื้อ
ออกเดินทางไปนอกบ้าน ไม่มีอะไรมีค่าเท่าเงินอีกแล้ว
เวลากระชั้นชิดนัก หลิวจี้ทำได้เพียงเท่านี้
กอดเสื้อคลุมที่อัดแน่นไปด้วยของใช้ หลิวจี้น้ำตาคลอเบ้า เข้านอนในบ้านเป็นคืนสุดท้าย
ฉินเหยาไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตรอดได้นานขนาดนั้น นางกำลังคิดว่าอีกไม่นานคงมีคนหอบศพของเขากลับมาแล้วค่อยหาโลงศพดีๆ ให้เขาฝังกลบอย่างเหมาะสม
แต่พอเอื้อมมือไปคลำใต้หมอน กริชเหล็กกล้าที่หลอมขึ้นอย่างประณีตของนางกลับหายไปเสียแล้ว!
[1] ดาบฝักหรือดาบตัดม้า (朴刀) เป็นอาวุธทหารราบคมเดียวของจีนที่ยังคงใช้เป็นหลักในการฝึกศิลปะการต่อสู้ของจีนใบดาบมีรูปร่างเหมือนดาบ จีน แต่ด้ามของอาวุธยาวกว่า โดยปกติยาวประมาณหนึ่งถึงสองเมตร (ประมาณสามถึงหกฟุต) ซึ่งมีหน้าตัดเป็นวงกลม