ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 15 ทำไร่นั้นเป็นไปไม่ได้
บนลานว่าง ฉินเหยาอุ้มเด็กสองคนไว้คนละข้าง ทั้งคู่กอดนางแน่น
ทั้งห้าคนเบียดกันแน่น มองดูบ้านหลังเล็กที่หญ้ามุงหลังคาปลิวกระจัดกระจายท่ามกลางสายลมแรงราวกับพร้อมจะพังครืนลงมาได้ทุกเมื่อด้วยความกังวล
รอแล้วรอเล่า รอแล้วรอเล่า
ในที่สุดลมแรงก็สงบลง
บ้านเล็กๆ ที่ดูเปราะบางอย่างมาก กลับยืนหยัดอยู่ตรงหน้าได้อย่างน่าประหลาดใจ
แต่เมื่อมองหญ้ามุงหลังคาที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น และหลังคาที่เหลือเพียงคานกับหญ้าคาเพียงไม่กี่ชิ้น ฉินเหยาก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
บ้านยังคงอยู่ แต่การซ่อมแซมหลังคาใหม่ย่อมต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย
เมื่อมองไปที่เงินในกระเป๋าที่เหลือเพียงสี่สิบเหรียญทองแดง ฉินเหยาก็รู้สึกเหมือนสวรรค์อยากให้นางตาย!
เจ้าตัวน้อยทั้งสี่ยังไม่รู้ถึงความทุกข์ในใจของนาง เมื่อเห็นว่าบ้านยังไม่พัง พวกเขาก็ร้องตะโกนด้วยความดีใจ “ท่านน้า บ้านไม่เป็นไร!”
ฉินเหยาเหลือบมองเอ้อร์หลางที่กำลังดีใจแวบหนึ่ง “เจ้ากล้าเรียกนี่ว่าไม่เป็นไรหรือ”
น้ำเสียงขุ่นเคืองเต็มเปี่ยมทำให้เอ้อร์หลางสะดุ้งสุดตัว รีบยกมือปิดปากตนเองด้วยความกลัว
เมื่อแสงแรกของวันเริ่มปรากฏบนขอบฟ้า ความเสียหายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ฉินเหยานวดขมับที่เต้นตุบๆ แล้วบอกให้พี่น้องทั้งสี่ยืนอยู่กับที่ อย่าขยับไปไหน ก่อนจะเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน
ฉินเหยาเคาะประตูใหญ่ของเรือนเก่าตระกูลหลิว
เมื่อวานเพิ่งลงนาเสร็จทั้งหมด บุรุษในตระกูลหลิวกำลังตั้งใจพักผ่อน ยามนี้ยังหลับสนิทอยู่เลย
นางชิวสะใภ้รองลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงมาเปิด เห็นฉินเหยายืนอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ท้องฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ ทำเอานางตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
“มี…มีเรื่องอะไรหรือ” นางชิวฝืนรวบรวมสติถามอย่างระมัดระวัง
ไม่รู้ว่าเพราะฟ้ามืดเกินไปหรือเหตุผลอื่น แต่เมื่อเห็นภรรยาใหม่ของเจ้าสาม นางก็อดรู้สึกหวาดหวั่นในใจไม่ได้
ฉินเหยาเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้รอง เมื่อคืนนี้เกิดลมพัดแรง หลังคาบ้านข้าถูกพัดปลิวไปหมดแล้ว”
นางชิวชะงัก “เกิดลมพัดแรงหรือ”
“ลมแรงมาก” ฉินเหยาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
นางชิวชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตั้งสติและถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม”
ฉินเหยาส่ายหน้าตอบว่าไม่มีใครเป็นอะไร นางชิวจึงถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อปลุกสามีตนเอง
เสียงในลานบ้านทำให้หลิวเหล่าฮั่นและนางจางตื่นขึ้น สองผู้อาวุโสลุกขึ้นสวมเสื้อคลุม
นางชิวชี้ไปที่หน้าประตูแล้วบอกว่า “ท่านพ่อ หลังคาบ้านของเจ้าสามปลิวไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”
หลิวเหล่าฮั่นตกใจมาก แต่เมื่อได้ยินว่ายังไม่มีใครเป็นอะไรก็โล่งใจ ก่อนจะเรียกบุตรชายทั้งสามให้เตรียมเครื่องมือซ่อมแซมหลังคาแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังบ้านของหลิวจี้ทันที
ฉินเหยาเดินตามอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นท่าทีเร่งรีบของพ่อลูกทั้งสี่คน หัวใจที่เฉยชามาเนิ่นนานของนางก็อ่อนลงเล็กน้อย
คนในหมู่บ้านมีฝีมือหลากหลาย การซ่อมหลังคาสำหรับหลิวเหล่าฮั่นและบุตรชายทั้งสามถือเป็นเรื่องเล็กน้อย
เมื่อเห็นหลังคาที่ว่างเปล่า พวกเขาก็ไม่พูดอะไรเพียงลงมือจัดการทันที
หลิวเฝยเก็บหญ้าคาที่ยังสามารถใช้งานได้บนพื้นขึ้นมา ส่วนหลิวไป่และหลิวจ้งเมื่อเห็นว่าหญ้าคาไม่พอก็รีบวิ่งไปยังริมแม่น้ำเพื่อตัดหญ้ามาเพิ่ม
หลิวเหล่าฮั่นกลับบ้านแบกบันไดขึ้นหลังมา จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนหลังคา รับหญ้าที่หลิวเฝยโยนขึ้นมาแล้วปูลงไปใหม่
แค่ช่วงเช้าหลังคาก็ถูกพ่อลูกทั้งสี่คนซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงจนเสร็จเรียบร้อย มุมทั้งสี่ยังถูกทับด้วยหินหนักหลายก้อนเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกลมพัดปลิวอีกด้วย
ฉินเหยารู้สึกซาบซึ้งใจจึงนำข้าวกล้องที่ซื้อมาเมื่อวานทั้งหมดไปต้มเป็นโจ๊ก ให้พวกเขาพ่อลูกอยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนกลับ
หลิวเหล่าฮั่นดื่มโจ๊กข้าวกล้องข้นๆ ในชามพลางมองแม่ลูกที่นั่งยองๆ อยู่หน้าเตาไฟกินเผือกด้วยท่าทางลังเลอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงวางชามเปล่าลงนำหลิวไป่และคนอื่นๆ กลับไป
แต่ก่อนจะไป เขายังอดกำชับฉินเหยาไม่ได้ “ที่ดินสองหมู่นั่นรีบลงเมล็ดพันธุ์เข้าเถอะ อีกสองวันฝนอาจจะตกแล้ว”
ฉินเหยาตอบรับว่าเข้าใจแล้ว เดินไปส่งพวกเขาแล้วกลับมา จากนั้นก็เรียกต้าหลางให้แบกจอบขึ้นบ่า พร้อมถือหม้อใส่เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลี มุ่งหน้าไปยังที่ดินสองหมู่ข้างภูเขา
เอ้อร์หลางถูกทิ้งไว้เฝ้าบ้าน ดูแลคู่แฝดชายหญิง
แม้จะอยู่ในหมู่บ้านที่ทุกคนรู้จักกันดี อีกทั้งบ้านของพวกเขาก็อยู่ในส่วนลึกสุดของหมู่บ้าน ไม่น่าจะมีใครมาลักพาตัวเด็ก แต่ฉินเหยาก็ไม่กล้าทิ้งคู่แฝดอายุเพียงสี่ขวบไว้ที่บ้านตามลำพัง
ฉินเหยามั่นใจว่าตนเองได้เรียนรู้วิธีปลูกพืชจากนางจางมาแล้วเมื่อวาน ก็แค่ปลูกพืช จะยากเย็นเพียงไหนกันเชียว
แต่ไม่คิดเลยว่า ความจริงจะสวนกลับมารวดเร็วถึงเพียงนี้
ที่ดินสองหมู่ของหลิวจี้ถูกขุดเตรียมไว้รอบหนึ่งแล้ว
สิ่งที่ฉินเหยาต้องทำเพียงแค่ขุดหลุม หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปแล้วกลบดินให้เรียบร้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น ที่ดินหนึ่งหมู่กลับทำไปได้เพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น!
ฉินเหยามองดูพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้หว่านเมล็ดด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา คิดว่าตัวเองคงมองผิดไป
ไม่อย่างนั้นเหตุใดนางทำงานหนักตลอดทั้งบ่าย แต่กลับปลูกได้เพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านี้เล่า?
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก ปัญหาคือ นางรู้สึกว่าร่างกายที่เพิ่งฟื้นตัวได้เล็กน้อยกำลังจะไม่ไหวแล้ว
นางหันไปมองต้าหลางที่นั่งอยู่บนคันนา ใบหน้าเขาแดงก่ำเพราะแดดจัด แววตาของแม่ลูกทั้งสองสะท้อนให้เห็นถึงความความสิ้นหวัง
อากาศช่วงนี้ ช่วงเช้าเย็น กลางวันร้อน ที่ดินของหลิวจี้อยู่ไกลลับตาผู้คน ทั้งหุบเขามีเพียงที่ดินสองหมู่ของบ้านพวกเขา ทำให้มีแมลงเยอะเป็นพิเศษ พวกมันส่งเสียงหึ่งๆ บินวนอยู่รอบศีรษะตลอดเวลา
ตอนมาฉินเหยาเตรียมตัวมาไม่ดีนัก ทำได้แค่เอาเสื้อนอกคลุมหัวไว้แล้วกอดศีรษะให้มิดชิด เผยเพียงดวงตาออกมา
แต่ข้อเท้าและหลังเท้าของสองแม่ลูกที่โผล่พ้นออกมากลับถูกยุงกัดจนเต็มไปด้วยตุ่ม คันแต่ก็ไม่กล้าเกา เพราะกลัวว่าหนังจะถลอกจนเจ็บกว่าเดิม ทรมานอย่างยิ่ง
ที่ดินรกร้างในภูเขานั้น แม้จะถูกถางไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ยังมีเศษหินและรากไม้งอกขึ้นมา ต้องคอยจับโยนออกไปก่อนถึงจะปลูกพืชได้
รองเท้าฟางที่สวมใส่เดินบนพื้นนาได้ไม่สะดวกนัก เดินไปไม่กี่ก้าว ฝ่าเท้าก็เต็มไปด้วยโคลนหนักๆ ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง
การปลูกพืชเป็นกระบวนการที่ต้องทำซ้ำไปซ้ำมา น่าเบื่อและไร้สีสัน
ช่วงแรกๆ ฉินเหยาขุดดินด้วยความกระฉับกระเฉง จนบางครั้งจอบยังไปกระแทกกับก้อนหินจนเกิดประกายไฟ
แต่ยิ่งขุดลงไปเรื่อยๆ จอบในมือก็ยิ่งหนักขึ้น แม้แต่ฉินเหยาที่มีกำลังมากก็ยังรู้สึกว่าแขนเริ่มตึงและปวดเมื่อย
การหว่านเมล็ดแต่ละครั้ง ต้องค้อมเอว ยืดตัวแล้วค้อมลงอีก ทำซ้ำไปซ้ำมานับร้อยครั้งจนเอวแทบจะรับไม่ไหว
ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าที่คลุมไว้ด้วยเสื้อทำให้ทั้งร้อนและอึดอัด ยิ่งขยับตัว ความไม่สบายก็ยิ่งถาโถมเข้ามา ทรมานเกินจะเปรียบ
ฉินเหยาฝืนทนทำต่อเพราะคิดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน
นางคิดว่าตัวเองเหนื่อยขนาดนี้น่าจะปลูกไปได้กว่าครึ่ง แต่กลับพบว่าพื้นที่ที่ปลูกได้กลับมีเพียงมุมเล็กๆ เท่านั้น
ต้าหลางทนไม่ไหวจนต้องเกาตุ่มยุงกัดที่เท้าเบาๆ เขามองฉินเหยาด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อจนทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังบังคับใช้แรงงานเด็ก
เมื่อคิดว่าวันพรุ่งนี้ต้องมาทนทรมานเช่นนี้อีก ฉินเหยาก็แทบอยากกลับไปในวันสิ้นโลกทันที
นางยอมที่จะต่อสู้ในฝูงซอมบี้หรือกลายเป็นอาหารของพืชและสัตว์กลายพันธุ์ ดีกว่าต้องกลับมาปลูกพืชอีกวัน!
เมื่อนึกถึงหลิวเหล่าฮั่นและบุตรชายทั้งสี่ที่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่มีวันหยุดพักตลอดทั้งปี เพื่อดูแลที่ดินหนึ่งร้อยกว่าหมู่ของครอบครัว ฉินเหยาก็รู้สึกนับถือพวกเขาเป็นอย่างมาก
พระอาทิตย์ใกล้ลับยอดเขาแล้ว เสียงนกไม่ทราบชนิดดังมาจากในภูเขา ต้าหลางลุกขึ้นยืน มองฉินเหยาด้วยความกลัวเล็กน้อย “ท่านน้า ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว”
ฉินเหยาถูกความเหนื่อยล้าจากการปลูกพืชเล่นงานจนไม่อยากพูดอะไร เพียงโบกมือให้ต้าหลาง แม่ลูกทั้งสองเดินกลับบ้านท่ามกลางแสงจันทร์
ที่หน้าเตาไฟ ฉินเหยากินเผือกที่เอ้อร์หลางกับซานหลางย่างไว้ ในใจคิดว่านางต้องเข้าไปในภูเขาอีกสักรอบ
การทำไร่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ ชาตินี้ไม่คิดจะทำไร่อีกแล้ว!