ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 152 เจ้าก็เป็นคนดีไม่น้อย
ตอนที่ 152 เจ้าก็เป็นคนดีไม่น้อย
จนกระทั่งรุ่งสางของวันถัดไป ทุกคนพักผ่อนจนหายเหนื่อยและออกเดินทางอีกครั้ง ขณะที่ขบวนลำเลียงเสบียงชุดอื่นเพิ่งมาถึงสถานีพักม้าด้วยสภาพเปียกปอน
ขณะที่ทั้งสองขบวนสวนทางกัน หลิวจี้อดไม่ได้จึงเอ่ยถามชาวบ้านในขบวนหลังว่า เหตุใดพวกเขาจึงมีสภาพย่ำแย่ถึงเพียงนี้
ชาวบ้านผู้หนึ่งกล่าวว่า หัวหน้าขบวนของพวกเขาเป็นคนใจดีนัก พอฝนเริ่มตกก็สั่งให้หยุดพักริมทางเพื่อหลบฝน คิดว่าฝนคงตกเพียงครึ่งชั่วยามก็คงหยุด
ใครจะคาดคิดว่าครึ่งชั่วยามผ่านไป ฝนไม่เพียงไม่หยุดกลับยิ่งตกหนักขึ้นกว่าเดิม
ผ้าที่คลุมเกวียนเสบียงไว้ถูกสายลมกรรโชกจนส่งเสียงหวีดร้องก้องกังวาน เวลานั้นหัวหน้าขบวนของพวกเขาจึงตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติและสั่งให้เดินทางฝ่าฝนต่อไปในทันที
แต่ทว่า เส้นทางข้างหน้าได้ถูกขบวนของหลิวจี้เหยียบย่ำจนเละเทะไปหมดแล้วทำให้ขบวนลำเลียงเสบียงที่ตามหลังมาต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัส
หากเผลอพลาดแม้เพียงนิดเดียวก็อาจถึงขั้นคนล้มม้าคว่ำได้
เมื่อเห็นว่าขบวนเดินทางด้วยความยากลำบากเช่นนี้ หัวหน้าขบวนจึงตัดสินใจสั่งให้หยุดเดินอีกครั้งเพื่อทำการปกป้องเสบียงทหารจากสายฝน ทั้งผ้ากันน้ำ เสื้อกันฝน หรือแม้กระทั่งร่างของคนเองล้วนถูกนำมาใช้คลุมปกป้องกระสอบเสบียง
เป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงต้องทนตากฝนอยู่ตลอดคืน
สายฝนซึมเปียกเสื้อผ้ามานานแล้วและเพราะไม่มีที่กำบังจึงไม่อาจก่อไฟให้ความอบอุ่นได้ จำต้องทนหนาวเหน็บอยู่เช่นนั้นตลอดทั้งคืน
ยามนี้แม้ฝนจะหยุดตก แต่ฟืนก็เปียกโชกไปหมด ไม่อาจก่อไฟได้ ผู้คนจึงต้องกัดฟันทนความหิวโหย เดินทางมาถึงสถานีพักม้าด้วยสภาพเหมือนตายทั้งเป็น
เมื่อได้ฟังเรื่องราวของอีกฝ่าย หลิวจี้รู้สึกเหมือนตนได้ประสบกับความทุกข์นั้นเอง เขาสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าลึก
จากนั้นเงยหน้ามองไปยังหัวหน้าขบวนผู้ดุดันบนหลังม้าสีนิล ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่าภาพเงาหลังของเขาดูยิ่งใหญ่สง่างามขึ้นมาหลายเท่า
ระหว่างต้องทนทุกข์ยาวนานกับอดทนเพียงช่วงสั้นๆ ไม่ว่าใครย่อมเลือกอย่างหลัง
หัวหน้าขบวนที่เฉลียวฉลาด แม้จะโหดไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าต้องอยู่ใต้คำสั่งของคนโง่เป็นไหนๆ
ก่อนออกเดินทาง หลิวจี้มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความเห็นใจแล้วยื่นแผ่นแป้งย่างครึ่งแผ่นที่พวกเขาเพิ่งก่อไฟทำกินเองในเช้านี้ให้ มันยังอุ่นอยู่ หวังเพียงให้ช่วยคลายหนาวลงได้บ้าง
ชาวบ้านผู้นั้นซาบซึ้งใจยิ่งนัก พลันเอ่ยว่า “น้องชายตัวน้อย เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ”
หลิวจี้ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ ก่อนหันหลังเดินตามขบวนหลักของตน มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป
สายฝนอันหนักหน่วงทิ้งผลกระทบร้ายแรงไว้ เบื้องหน้าพื้นถนนลื่นและเต็มไปด้วยโคลนตม ร่องล้อเกวียนที่เพิ่งขุดเปิดออกกลับถูกโคลนใหม่กลบซ้ำอีกในพริบตา
ใต้เท้าซ่างกวนหัวหน้าขบวนผู้นั้นยิ่งทวีความหงุดหงิดขึ้น แม้หลิวจี้จะระวังตัวเพียงใด แต่สุดท้ายก็ตกเป็นเป้าโดนหวดแส้เข้าที่ก้น แสบทะลุถึงทรวง
น่าแปลกนัก ยามค่ำเมื่อขบวนหยุดพัก หลิวจี้ให้สหายช่วยดูว่าตรงก้นที่ร้อนแสบของตนว่ามีเลือดออกหรือไม่ แต่กลับได้รับคำตอบว่าไม่มี มีเพียงรอยฟกช้ำเป็นแนวยาวเท่านั้น
“เป็นไปได้อย่างไร?” เขายังรู้สึกเจ็บแสบราวกับผิวแตกอยู่เลย!
สหายยังคงพยักหน้า “จริงๆ ผิวของเจ้ายังดีอยู่”
กล่าวจบก็จัดการดึงกางเกงของหลิวจี้ขึ้นอย่างรำคาญใจ ใครกันจะอยากเสียเวลามามองบั้นท้ายของชายอีกคน
หลิวจี้ใช้มือลูบก้นของตนเอง อยากนวดแต่ไม่กล้าสัมผัส พลางคิดในใจว่า เหล่าทหารนี่ไม่มีใครปกติสักคน มือที่ลงหวดยังเป็นมือที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วเสียด้วย
เพิ่งอยากจะคิดนั่งพักสักครู่ ทหารส่งสารก็ปรากฏตัวอีกแล้ว
หลิวจี้สะดุ้งเฮือก รีบยืนตัวตรงในทันที ท่าทางของเขาไม่ผิดจากเวลาที่ฉินเหยาฝึกต้าหลางและเอ้อร์หลางให้ยืนในท่าทหารเลย ท่ามกลางสหายรอบข้างที่ยืนเอนเอียงไปมา ร่างหยัดตรงของเขาดูโดดเด่นเกินไปมาก
ทหารส่งสารกล่าวเตือนเสียงดังว่า “หลังคืนนี้ พวกเราจะออกจากด่านเสวียนเยว่ เมื่อพ้นด่านเสวียนเยว่ไป ก็จะเข้าสู่เขตสมรภูมิรบระหว่างแคว้นเซิ่งของเรากับกองทัพศัตรู ข้าศึกอาจปรากฏตัวเพื่อปล้นเสบียงของเราได้ทุกเมื่อ พวกเจ้าต้องระวังให้ดี!”
“ตอนนี้ จงนำอาวุธของพวกเจ้ามาลับให้คมแลเช็ดให้เงา! พรุ่งนี้เมื่อล่วงพ้นด่านเสวียนเยว่ หากพบศัตรูจงฆ่าเสียให้หมด!”
“ผู้ใดบังอาจหวาดกลัวและหลบหนี ข้าจะลงโทษทั้งกลุ่มตามกฎทหารและโทษหนักถึงประหารสามชั่วโคตร!”
หลังจากถ่ายทอดคำสั่งของใต้เท้าซ่างกวนเสร็จแล้ว พลทหารสิบนายก็หยิบบัญชีรายชื่อออกมา ทำการเรียกชื่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่ด่าน
ในขณะเดียวกันก็เป็นการข่มขู่ไปในตัว
บัญชีรายชื่ออยู่ในมือ บันทึกไว้อย่างละเอียดว่ามาจากที่ใด มีสมาชิกในครอบครัวกี่คน ในตระกูลมีกี่เรือน ใครก็อย่าคิดที่จะหวังให้โชคช่วย
หนึ่งเกวียนมีหกคน ยี่สิบเกวียนก็เท่ากับหนึ่งร้อยยี่สิบคน
หลิวจี้นึกถึงกองทัพใหญ่ที่เดินผ่านมาตลอดทาง มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยล้มลงกลางทางและไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีก บางคนทนความทุกข์ทรมานไม่ไหวคิดหนีแต่ก็ถูกจับได้ และถูกประหารกุดศีรษะกลางที่นั้นเอง ทำให้เขาถึงกับตัวสั่นเทา
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว สตรีอำมหิตที่เรือนเขายังน่ากลัวกว่านัก
เมื่อเรียกชื่อเสร็จสิ้น ทั้งร้อยยี่สิบคนต่างอยู่กันครบถ้วน
หลิวจี้และคนในกลุ่มมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ หลายวันก่อนเสียงกรีดร้องโหยหวนจากกองหลังดังลั่นขนาดนั้น แต่กลับไม่มีใครตายเลยสักคนเลยรึ
คืนนั้น หลิวจี้นอนกอดดาบตัดม้าที่ทำเองไว้แน่น
ในความฝัน ขบวนส่งเสบียงของพวกเขาถูกศัตรูจู่โจม เขาเห็นดาบใหญ่เปื้อนเลือดของพวกคนเถื่อนกำลังจะฟันลงมาที่ตนเอง ทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ
ที่แท้เป็นเพียงฝันไป ต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียงต่างยืนอยู่หน้าเตียงมองเขาด้วยความเป็นห่วง
ด้านหลังพี่น้องทั้งสี่ ฉินเหยากอดอกหัวเราะเยาะเย้ยอย่างเย็นชา “ฝันร้ายอีกแล้วหรือ”
หลิวจี้รีบพยักหน้า มองเปลวเทียนอบอุ่นภายในห้อง แม้รู้ว่าภารกิจส่งเสบียงจบลงแล้ว แต่ความหวาดกลัวยังคงหลงเหลืออยู่ พลางรีบพูดขึ้นว่า
“เมียจ๋า ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้ตัวแล้วจริงๆ ต่อไปข้าจะตั้งใจอ่านหนังสือ เมียจ๋าอย่าโกรธข้าเลย…”
“หลิวจี้!” จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนลั่น
บ้านที่อบอุ่นและครอบครัวตรงหน้ากลับกลายเป็นหมอกควันแล้วจางหายไปในพริบตา
หลิวจี้ร้องลั่นว่า “เมียจ๋า ข้าผิดไปแล้วจริงๆ!” ก่อนสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วพบเข้ากับใบหน้าดำมืดอยู่ตรงหน้า
ที่แท้แล้ว เขากำลังฝันซ้อนฝัน
“รีบลุกขึ้นเถอะ พวกเรากำลังจะออกจากด่านเสวียนเยว่แล้ว” สหายของเขาเอ่ยเตือน
กล่าวจบก็เหล่มองเขาก่อนจะหัวเราะแซวว่า “ฝันถึงเมียของเจ้าหรือ”
หลิวจี้ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก ก่อนครางรับเสียงหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เห็นป้อมปราการของด่านเสวียนเยว่อยู่ไม่ไกล
เขาไม่อยากตื่นขึ้นมาเลย ในความฝันทุกอย่างได้จบลงแล้ว แต่ในความเป็นจริงมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
หลิวจี้หมดเรี่ยวแรง ไม่อยากพูดอะไร เพียงทำสิ่งที่ต้องทำ กัดกินอาหารแห้งเสร็จแล้วขบวนส่งเสบียงก็ออกเดินทางอีกครั้ง
คราวนี้ ใต้เท้าซ่างกวนสั่งให้พวกเขาเดินช้าลงหน่อย นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยาก ปกติแล้วจะเร่งราวกับขับไล่วิญญาณ
เพิ่งเดินผ่านด่านเสวียนเยว่มาได้ไม่นาน สถานการณ์ก็ดูท่าไม่สู้ดี
เดินมาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ใต้เท้าก็สั่งให้หยุดแล้วส่งพลทหารสองนายออกไปสืบข่าว
หนึ่งชั่วยามต่อมา พลทหารกลับมา กระซิบกระซาบอยู่ข้างหูใต้เท้า พวกเขาอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินอะไร รู้เพียงว่า สีหน้าของใต้เท้าดูไม่ค่อยสู้ดีนัก
หลังจากนั้น ใต้เท้าก็สั่งให้พวกเขาพักต่ออีกหนึ่งชั่วยาม ก่อนขบวนจะออกเดินอีกครั้ง
พฤติกรรมแปลกประหลาดติดต่อกันเช่นนี้ ทำให้หลิวจี้และเหล่าชาวบ้านงุนงงไม่น้อย
สองชั่วยามต่อมา พวกเขาเดินมาพบกับขบวนส่งเสบียงที่ออกเดินทางไปก่อนหน้านี้
เกวียนยังอยู่ เสบียงยังอยู่ แต่ผู้คนตายไปกว่าครึ่ง ม้าก็ล้มลงไปกว่าสิบตัว
ทุกสิ่งกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เป็นร่องรอยของการต่อสู้อย่างรุนแรง
หลิวจี้และทุกคนเพิ่งตระหนักได้ว่า พวกเขารอดพ้นจากการซุ่มโจมตีของศัตรูมาได้
หัวหน้าขบวนของอีกฝ่าย เมื่อเห็นใต้เท้าซ่างกวนก็รีบวิ่งเข้ามาทันที
แขนของเขาถูกลูกธนูปัก เขาเพียงตัดปลายลูกธนูออกอย่างลวกๆ ไม่ทันได้ดูแลตัวเอง พอเห็นซ่างกวนเลี่ยก็รีบร้อนขอให้ช่วยแบ่งกำลังคนมาช่วยขนเสบียงให้สำเร็จ
ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองเจรจาข้อตกลงกันอย่างไร ซ่างกวนเลี่ยถึงตอบตกลงช่วย
แต่ก็แค่ยอมให้ขบวนของอีกฝ่ายเดินตามหลังเท่านั้น ส่วนคนและม้าฝ่ายนั้นต้องหาทางขนเสบียงเอง