ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 153 เจอคนบ้านเดียวกัน
ตอนที่ 153 เจอคนบ้านเดียวกัน
เมื่อขบวนหยุดพัก อีกกลุ่มของแรงงานเกณฑ์และทหารก็เดินเข้ามาขอให้แรงงานเกณฑ์ฝั่งหลิวจี้ช่วยเหลือ
คิดว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็ล้วนเป็นแรงงานเกณฑ์ที่ถูกเกณฑ์มาทำงานหนักตรากตรำ อีกทั้งยังมีคนบ้านเดียวกัน เมื่อเจอคนบ้านเดียวกันน้ำตาย่อมรื้นคลอ ทั้งหมดจึงมักจะตอบตกลงกันโดยง่าย
เห็นสหายร่วมกลุ่มเริ่มใจอ่อนและอยากจะไปช่วย หลิวจี้รีบเรียกทั้งห้าคนเอาไว้ ตะโกนเตือนให้พวกเขาอย่าหาเรื่องใส่ตัว
เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ตลอดเวลาและเกวียนเสบียงตรงหน้าก็คือสิ่งเดียวที่ช่วยรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ เขาจึงไม่อยากละสายตาแม้แต่นิดเดียว
หากเสบียงของกองทัพเกิดปัญหา ต่อให้พวกเขารอดชีวิตก็ต้องตายอยู่ดี
เช่นนี้แล้ว ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปสนใจเรื่องของผู้อื่นได้?
เพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาได้ดื่มน้ำที่หลิวจี้มักเติมน้ำตาลลงไปอยู่เสมอ และในยามค่ำคืน เขาก็เป็นคนจัดการเรื่องอาหารให้กลุ่ม ทั้งยังแอบเติมเกลือเข้าไปไม่น้อย แม้ทั้งห้าคนจะรู้สึกไม่พอใจที่เขาไร้น้ำใจ แต่สุดท้ายก็ยังเชื่อฟังเขาและถอยกลับไปยืนเฝ้าเกวียนเสบียงของตนเอง
คนรอบข้างต่างมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกไปจากเดิม บางคนถึงกับส่งเสียง “ชิชะ” ออกมาเป็นครั้งคราว แสดงความรังเกียจว่าพวกเขาไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์
เห็นสหายร่วมกลุ่มเริ่มทนไม่ไหว อยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลืนคำลงไป หลิวจี้จึงตัดสินใจถอดกระบอกน้ำของตนส่งให้พวกเขา “กระหายน้ำหรือไม่ มาๆๆ ดื่มสักสองอึก”
ท่าทีที่อบอุ่นเป็นธรรมชาตินั้น หากไม่รู้ความจริง คงคิดว่าเป็นสุรารสเลิศเป็นแน่
แต่แม้มิใช่สุราดีก็ยังเป็นของวิเศษยิ่ง
น้ำที่ผสมน้ำตาลและเกลือเข้าด้วยกัน แรกเริ่มอาจมีรสชาติแปลกไปบ้าง แต่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากและยังมีกำลังเดินทางต่อไปได้
นี่เองคือเคล็ดลับที่ทำให้กลุ่มของพวกเขาสามารถเดินอยู่แถวหน้าได้ตลอดและรอดพ้นจากการถูกเฆี่ยนตี
พูดให้ถูกต้อง นี่เป็นสูตรลับเฉพาะของหลิวจี้
เพราะติดค้างบุญคุณจึงยอมทำตามอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อหลิวจี้ยื่นน้ำเกลือผสมน้ำตาลมาให้ พวกที่เดินทางมาด้วยกันทั้งห้าคนย่อมไม่ปฏิเสธ ‘ถูกบีบบังคับ’ ให้เลือกเดินตามเขา
ตอนออกเดินทาง พวกเขารู้เพียงว่าไปเป็นแรงงานเกณฑ์ให้ทางการ ซึ่งมีอาหารให้กินจึงไม่ได้เตรียมเสบียงมาเลย มีเพียงดาบตัดม้าสำหรับป้องกันตัวและเหรียญอีแปะไม่กี่เหรียญติดตัวไว้ยามจำเป็น
บางคนบ้านยากจน แม้แต่รองเท้าดีๆ สักคู่ก็ไม่มี ใส่เพียงรองเท้าฟางที่พอเดินไปนานๆ ก็ขาดวิ่นจนต้องเดินเท้าเปล่าตามกลุ่มใหญ่ไป
มีใครบ้างที่เตรียมตัวมาดีเช่นหลิวจี้ ไม่เพียงแค่พกดาบตัดม้าและเงินเหรียญ แต่ยังพกน้ำตาลและเกลือมาด้วย
เขาเตรียมรองเท้าสองคู่ที่เสริมพื้นให้หนาขึ้น รวมถึงเสื้อผ้าหนาๆ และเสื้อกันฝนพร้อมหมวกไม้ไผ่ เตรียมมาครบถ้วนทุกอย่าง
ของพวกนั้นเขาเก็บซ่อนไว้ที่ใดไม่มีใครรู้ ช่วงแรกของการเดินทางอากาศร้อนจนแทบทนไม่ไหว หากไม่ได้จิบน้ำหวานของเขาเข้าไปเกรงว่าคงหมดแรงไปนานแล้ว
พอถึงเวลาอาหารเย็น หลิวจี้ก็ล้วงหม้อใบเล็กออกมาตั้งบนเตาหิน
หากต้าหลางอยู่ที่นี่ ตอนนี้คงจำได้ในพริบตาว่า หม้อใบนี้คือใบที่ฉินเหยาสั่งทำเป็นพิเศษจากช่างตีเหล็กในหมู่บ้านเซี่ยเหอเพื่อให้เขาใช้หุงหาอาหารระหว่างฝึกฝนในภูเขา
หม้อใบนี้ไม่ใหญ่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางเพียงราวสิบหกเซนติเมตร แต่ทำให้ลึกเป็นพิเศษจึงบรรจุอาหารได้ไม่น้อย
ทำจากเหล็กบาง น้ำหนักเบา ที่จับหม้อมีร่องและตัวล็อก สามารถถอดออกเก็บไว้ในหม้อได้และยังเหลือพื้นที่ภายในสำหรับใส่ของใช้จำเป็นที่สามารถยัดเข้าไปได้ สะดวกมากทีเดียว
ยามค่ำคืน ขณะที่คนอื่นต้องประหยัดเสบียง กัดกินอาหารแห้งที่เตรียมมาตั้งแต่วันแรก หลิวจี้กลับทำแผ่นแป้งใส่ผักให้ทุกคน
เขาเติมเกลือลงไปในแป้ง รสชาติเข้มข้นกว่าแกงจืดน้ำใสที่พวกเขากินกันเป็นไหนๆ
โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่วันหลังฝนตก อากาศหนาวขึ้นทุกวัน การได้กินของร้อนๆ ในยามค่ำคืนช่างปลุกกำลังใจให้ฮึกเหิมยิ่งนัก
ดังนั้น หลิวจี้จึงอาศัยน้ำตาลและเกลือเล็กน้อยนี้ กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มแฝงในกลุ่มของตน อีกทั้งยังใช้เป็นข้ออ้างให้ตนได้อู้งานบ้าง
เช่น หากเดินจนเหนื่อยเกินไปก็อิงกายเข้ากับรถ ยกเท้าขึ้นเล็กน้อย แขวนตัวเองไว้ที่ท้ายรถให้เคลื่อนตามไป พวกพ้องในกลุ่มไม่เพียงแต่ยอมให้ทำเช่นนั้น ยังช่วยระวังหลังให้กันด้วย
แต่คราวก่อนที่โดนแส้ฟาดหนึ่งทีก็เพราะการช่วยปกปิดไม่รัดกุมพอ ทำให้ถูกทหารลาดตระเวนจับได้
แต่หลังจากนั้น หลิวจี้ก็สงบเสงี่ยมขึ้นมาก เพราะเดินไปเดินมากลับกลายเป็นเคยชินเสียอย่างนั้น!
นี่อาจเป็นสิ่งที่ฉินเหยามักพูดถึงอยู่บ่อยๆ…รสนิยมชอบถูกทรมานงั้นหรือ
สหายห้าคนในกลุ่มดื่มน้ำเกลือผสมน้ำตาลในกระบอกไม้ไผ่จนหมดเกลี้ยงแล้วยื่นกระบอกเปล่าคืนให้หลิวจี้ ก่อนจะนั่งพักใต้เงารถม้าที่ทอดลงมา
ใช้หลักการที่ว่า ตราบใดที่ข้ามองไม่เห็น สายตาแปลกๆ พวกนั้นก็ไม่มีอยู่จริง
หลิวจี้อ้าปากค้าง สะบัดกระบอกไม้ไผ่แรงๆ หนึ่งที กระทั่งหยดสุดท้ายของน้ำเกลือผสมน้ำตาลก็ไม่เหลือให้เขา
เขาถลึงตาใส่พวกอีกห้าคนอย่างไม่สบอารมณ์ เก็บกระบอกเปล่าไป ใช้ไม้ค้ำดาบยาวพยุงกาย ยืนโงนเงนเกียจคร้านอยู่ครู่หนึ่งพร้อมทั้งมองดูเหตุการณ์ของอีกกลุ่ม
นอกด่านเสวียนเยว่แห่งนี้ สายตาทอดออกไปเห็นเพียงเนินเขาสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยหญ้า ไม่มีสิ่งใดบดบังทั้งสี่ด้าน
หลิวจี้จึงรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เหตุใดเมื่อข้าศึกปรากฏขึ้น พวกเขาถึงไม่สามารถมองเห็นล่วงหน้าได้
ขณะที่จมอยู่ในความคิดฟุ้งซ่าน ซ่างกวนเลี่ยก็ตะโกนออกคำสั่งลงมา ทำให้เหล่าแรงงานรีบรวมตัวเข้าแถวและออกเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด
พื้นหญ้านอกด่านเดินง่ายกว่าถนนในด่าน ทางกว้างและเรียบเสมอ
พอพ้นด่านเสวียนเยว่ อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ใครที่มีเสื้อผ้าหนาๆ ก็นำออกมาเปลี่ยนกัน
ระหว่างทาง พวกเขาผ่านแม่น้ำสายหนึ่ง ทุกคนจึงเติมน้ำในกระบอกให้เต็ม
จากที่นี่ไปยังเมืองถัดไป ยังเหลือระยะทางอีกสามร้อยลี้
และเมืองนั้นก็คือจุดหมายปลายทางของการขนส่งเสบียงในครั้งนี้ มีนามว่าเมืองวั่งเยวี่ย เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของแคว้นเซิ่ง ปกป้องแนวพรมแดนด้านเหนือทั้งหมด
ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองวั่งเยวี่ยล้วนเป็นครอบครัวทหาร เนื่องจากยุคสมัยก่อนเกิดความวุ่นวาย ทำให้มีหลายชนเผ่าอาศัยปะปนกันอยู่
หลิวจี้เคยโชคดีได้เห็นบันทึกท่องเที่ยวเกี่ยวกับภูมิทัศน์ชายแดนจากสหายร่วมห้อง ในหนังสือกล่าวไว้ว่า ก่อนที่แคว้นเซิ่งจะก่อตั้ง เมืองวั่งเยวี่ยเคยถูกพวกหมานอี๋ยึดครองมานานกว่าสามสิบปี
ปัจจุบัน แคว้นเซิ่งใช้กำลังเข้ายึดเมืองวั่งเยวี่ยคืนมา แน่นอนว่าทำให้หมานอี๋ไม่ต้องการสูญเสียทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์แห่งนี้จึงทำการยั่วยุอยู่บ่อยครั้ง
สงครามปะทุขึ้น หลิวจี้คาดเดาว่า อาจเป็นเพราะเมืองสำคัญแห่งนี้
แต่ก่อน ข้าเป็นเพียงสามัญชนตัวเล็กๆ ไหนเลยจะใส่ใจเรื่องใหญ่ของแผ่นดินเล่า
ทว่าเมื่อเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ แม้ยากลำบาก แต่ก็ได้เห็นความกว้างใหญ่ของแคว้นเซิ่ง
เมื่อเปรียบเทียบความอุดมสมบูรณ์ของด่านชั้นในกับทุ่งหญ้าอันแห้งแล้งของด่านชั้นนอก หากเขาเป็นชาวม่อเป่ย คงอยากยกทัพลงใต้เพื่อยึดครองแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์นี้เช่นกัน
อีกทั้งเขายังได้ยินพวกแรงงานอาวุโสกล่าวว่า หากไปต่อทางตอนเหนือจะเป็นเทือกเขาหิมะ ยอดเขาขาวโพลนปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี หนาวเหน็บยิ่งนัก มีเพียงฤดูร้อนเท่านั้นที่อากาศอุ่นขึ้นมาบ้าง
สภาพอากาศเช่นนี้ ย่อมไม่อาจทำการเพาะปลูกได้ ต้องเลี้ยงม้าเลี้ยงแกะเพื่อยังชีพเท่านั้น
หากปีใดอากาศแปรปรวน ด่านเสวียนเยว่ย่อมต้องเผชิญภัย พวกม่อเป่ยโหดเหี้ยมยิ่งกว่าโจรภูเขา ควบม้าผ่านไปมาอย่างรวดเร็ว ปล้นเงิน ปล้นคน ปล้นเสบียง ที่ใดพวกมันผ่านราวกับฝูงตั๊กแตนลง
ม้าของพวกมันยอดเยี่ยมนัก เด็กสามขวบก็ขี่ม้าได้ พวกมันกวาดต้อนชาวชายแดนเพียงครู่เดียว ก่อนจะเร่งจากไป ช่างร้ายกาจยิ่งนัก
เมื่อรับรู้เรื่องเหล่านี้แล้วมองไปยังรถขนเสบียงที่เรียงรายอยู่ด้านหน้าและด้านหลัง หลิวจี้พลันเกิดความกังวลว่า ชาวม่อเป่ยอาจบุกเข้ามาปล้นเสบียงได้ทุกเมื่อ
แต่ถึงกระนั้น ตอนนี้พวกเขาก็มีสองกองขบวน รวมแล้วกว่าสองร้อยคน เกรงว่าพวกม่อเป่ยคงไม่กล้ากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้
ยามฟ้าเริ่มมืด ซ่างกวนเลี่ยส่งหน่วยสอดแนมออกไปตรวจสอบก่อนจะกลับมารายงานว่ามีทะเลสาบเล็กๆ อยู่เบื้องหน้า ทั้งสองกองขบวนสามารถตั้งค่ายพักแรมที่นั่นได้
เหล่าแรงงานเร่งฝีเท้าอย่างสุดกำลัง หวังเพียงให้ถึงที่หมายโดยไว จะได้หยุดพักเร็วขึ้น
อีกทั้งพลบค่ำแล้ว พวกศัตรูได้มาป้วนเปี้ยนครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ หากจะบุกก็ต้องมานานแล้ว ทุกคนจึงเริ่มผ่อนคลาย
ทว่าทันใดนั้น เสียงกีบม้าก็ดังก้องขึ้นอย่างกะทันหัน ค่อยๆ ใกล้เข้ามา เงาดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากเส้นขอบฟ้าด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด!