ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 155 กริชอันล้ำค่าของอาสะใภ้สามที่ถูกลับคมไว้
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 155 กริชอันล้ำค่าของอาสะใภ้สามที่ถูกลับคมไว้
ตอนที่ 155 กริชอันล้ำค่าของอาสะใภ้สามที่ถูกลับคมไว้
“อ๊า!!!”
พวกหมานอี๋แห่งม่อเป่ยโกรธจนร้องลั่น ฟันดาบลงมาที่หลิวจี้อีกครั้ง
หลิวจี้รีบหลบอย่างรวดเร็ว “เฮ้ เจ้าฟันไม่โดนข้าหรอก~”
ขณะกำลังได้ใจ ทันใดนั้นกลับมีหอกพุ่งเข้ามาจากด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว หวังอู่และพวกมองเห็น แต่เพราะอยู่ไกลเกินไปจึงเข้าไปช่วยไม่ทัน
ทำได้เพียงตะโกนเสียงดังว่า “ระวังข้างหลัง!”
หลิวจี้รู้สึกเพียงลมพัดวูบมาจากด้านหลัง ด้านหน้าก็มีดาบยาว ขยับไปทางไหนไม่ได้แล้ว ใจจึงคิดเงียบๆ ว่า ครั้งนี้จบสิ้นแล้ว!
ในยามเป็นตายคับขัน จู่ๆ ความไม่ยินยอมก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ
หรือว่าคนรูปงาม เจ้าสำราญอย่างเขาจะต้องมาตายที่นี่จริงๆ?
ชีวิตน้อยๆ ของเขา ไร้ความสำเร็จ ผู้คนรังเกียจแม้แต่สุนัขก็ไม่ชอบ หากตายไปเช่นนี้ เกรงว่าทุกคนคงสมใจ
แต่เหตุใดเขาต้องยอมให้พวกนั้นสมใจด้วยเล่า?
ดาบเหล็กสองเล่มฟาดเข้ามาพร้อมกันทั้งหน้าและหลัง หลิวจี้ไม่อาจหลบได้จึงตัดสินใจย่อตัวลงต่ำแล้วกลิ้งเข้าไปใต้ท้องม้า
เพียงได้ยินเสียง “แกร๊ง!” ดังสนั่น คมอาวุธก็กระทบกันข้างหู ทำให้หลิวจี้รู้สึกเสียวฟันจนทรมาน กลืนน้ำลายลงไปแรงๆ อย่างอดไม่อยู่
เงาของชายร่างกำยำคนหนึ่งพุ่งเข้ามาคว้าตัวหลิวจี้ออกจากใต้ท้องม้าของชาวม่อเป่ยสองคน
หลิวจี้เงยหน้าขึ้นมอง ที่แท้ก็คือหลิวฉีหลานชายของผู้ใหญ่บ้าน!
ยามเป็นตาย พบเจอคนบ้านเดียวกัน น้ำตาย่อมเอ่อขึ้นคลอในดวงตา
หลิวจี้น้ำตาคลอเบ้า
หลิวฉีไม่มีเวลาปลอบเขา รีบผลักท่านอาสามไปซ่อนหลังเกวียนเสบียง จากนั้นก็อาศัยความกล้าหาญเตรียมจะพุ่งออกไปเพียงลำพัง
“ฉีเอ๋ย!” หลิวจี้คว้าตัวเขาไว้แน่น พลางกำชับทีละคำ “จับโจรต้องจับหัวหน้า ฆ่าผู้นำของพวกมันซะ!”
หลิวฉีกำลังจะถามว่าใครเป็นหัวหน้า ทันใดนั้นกริชที่เย็นเฉียบและหนักอึ้งเล่มหนึ่งก็ถูกยัดใส่ฝ่ามือของเขา
“นี่คือกริชอันล้ำค่าของอาสะใภ้สามของเจ้าที่ลับคมเอาไว้ ตอนนี้อาสามมอบให้เจ้า จงไปฆ่าคนที่ขี่ม้าสีพุทราแดงตัวที่มีจุดขาวบนหน้าผากนั้นเสีย รีบไป!”
กริชอันล้ำค่าที่อาสะใภ้สามลับคมเอาไว้?
เด็กหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความเลือดร้อนดวงตาทอประกาย รีบพยักหน้าหนักแน่น “ได้!”
เมื่อได้ ‘ศาสตราวุธเทพที่อาสะใภ้สามเคยลับคมไว้’ มา หลิวฉีก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบพุ่งฝ่าความมืดอันวุ่นวายไป
หัวใจของหลิวจี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสั่นไหวตาม
แต่แล้ว…เด็กหนุ่มก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ยืนอยู่ข้างเกวียนเสบียงกับเขา “ท่านอา ข้าวิ่งตามม้าไม่ทัน”
เสียงเพิ่งขาดคำ คมดาบอันคุ้นเคยก็ฟาดลงมาอีกครั้ง หลิวฉีพุ่งขึ้นไป ดึงคนบนหลังม้าลงมา แล้วแทงปลิดชีพศัตรูด้วยมีดเดียว
เด็กหนุ่มตื่นเต้นยิ่งนัก “ท่านอา! กริชเล่มนี้ใช้ดีจริงๆ!”
“…ก็ดี เช่นนั้นเจ้าก็ยืนอยู่ข้างอา คอยคุ้มกันอาด้วย” ชายหนุ่มนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะหลอกล่อออกไปเช่นนั้น
หลิวฉีตอบรับทันทีว่า “ได้!”
ศัตรูดูเหมือนจะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ทันใดนั้น ข่าวแห่งชัยชนะก็ดังมาจากแนวหน้า ซ่างกวนเลี่ยได้สังหารหัวหน้าทหารม่อเป่ยลงแล้ว
การต่อสู้พลันจบลง
หลิวจี้ลอบเช็ดคราบเปียกชื้นบนหน้าผาก ไม่แน่ใจว่าคือเลือดหรือเหงื่อ ร่างกายอ่อนแรงราวกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง ล้มลงบนกองเสบียง
หลิวฉีกลับดูเหมือนยังมีพลังงานไม่สิ้นสุด เขากำกริชแน่น ดวงตาส่องประกาย กวาดตามองหาศัตรู
น่าเสียดาย ศัตรูทั้งหมดถูกทหารที่ซ่างกวนเลี่ยนำมาเข้ากวาดล้างจนหมดสิ้น
พวกเขาไล่ตามออกไปไกล กว่าหนึ่งเค่อจึงควบม้ากลับมา แต่ละคนหิ้วหัวศัตรูหลายหัว ทำให้ผู้คนฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อกลับมายังแนวรบ สิ่งแรกที่ซ่างกวนเลี่ยทำคือจุดคบเพลิง ตรวจนับจำนวนคน ม้า และเสบียง
หลิวฉีจำต้องคืนกริชให้หลิวจี้ก่อนแล้วกลับไปยังกลุ่มของตน
หลิวจี้จึงเพิ่งได้รู้ว่าตัวเขากับหลิวฉีอยู่ในกองกำลังของซ่างกวนเลี่ยมาโดยตลอด
เพียงแต่คนหนึ่งอยู่แนวหน้า ส่วนอีกคนอยู่แนวหลัง อีกทั้งซ่างกวนเลี่ยควบคุมกองทัพอย่างเข้มงวด แต่ละคนจึงดูแลเพียงรถเสบียงของตนเองโดยไม่ออกจากกลุ่ม ทำให้ทั้งสองไม่เคยพบหน้ากันเลย
เมื่อครู่ หลิวฉีเพียงบังเอิญได้ยินเสียงตะโกนของหลิวจี้จึงรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ด้วย
เพื่อหลานชายคนโตผู้นี้ ผู้ใหญ่บ้านถึงกับไปติดสินบนทางอำเภอด้วยตนเอง
การที่หลิวฉีถูกจัดให้อยู่ในกองทัพของซ่างกวนเลี่ย นี่หมายความว่าอะไร
หลิวจี้เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เดิมทีเขาเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าหน้าที่ที่คุมตัวเขามาเอาเงินไปแล้วไม่ทำอะไร แต่แท้จริงอีกฝ่ายทำงานให้เขาจริงๆ
ไม่ได้ดูถูกว่าเงินแค่ห้าเหวินน้อยนิด กลับจัดให้เขาอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้นำที่ไว้วางใจได้
หลิวจี้ย้อนคิดถึงการเดินทางมาตลอดทาง กองทัพของเขาเลี่ยงอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้การนำของซ่างกวนเลี่ย
แล้วมองไปยังกองขนเสบียงที่กระจัดกระจายอยู่ด้านหลัง พร้อมกับหัวหน้าหมานอี๋แห่งม่อเป่ยที่สิ้นชีพใต้คมดาบ หลิวจี้ก็รีบยกมือขึ้นคารวะขอบฟ้าสามครั้งอย่างนอบน้อม
ขอบคุณเจ้าหน้าที่ วันหน้าเมื่อข้าหลิวจี้รุ่งเรืองขึ้นแล้ว จะไปขอบคุณถึงที่อย่างดีแน่นอน
หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว รถเสบียงไม่มีขาดหายไปแม้แต่คันเดียว ม้าก็ได้รับการคุ้มกันอย่างเต็มกำลัง ไม่มีตัวใดล้มตาย
แต่ประชาชนเสียชีวิตไปสิบเก้าคน บาดเจ็บสาหัสใกล้ตายอีกเจ็ดคน และมีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยอีกกว่าสี่สิบกว่าคน
ในกลุ่มของหลิวจี้ที่มีหกคน ห้าคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยในระดับต่างกัน
มีเพียงเขาคนเดียวที่ไม่เป็นอะไรเลย นอกจากทรงผมที่ยุ่งเหยิงและเสื้อผ้ามอมแมม แม้แต่แผลถลอกก็ไม่มี เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์
หลังจากตรวจสอบขบวนเสบียงโดยสังเขปแล้ว พวกเขาก็นำศพของแรงงานที่เสียชีวิตขึ้นมา จากนั้นเดินทางต่อไปยังจุดพักแรมที่กำหนดไว้เพื่อพักผ่อนและฝังศพในที่แห่งนั้น
เพราะหลิวจี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาจึงถูกเรียกให้เข้าร่วมกลุ่มฝังศพ ต้องขุดหลุมตลอดทั้งคืน กว่าจะได้พักก็ย่ำรุ่ง เมื่อล้มตัวลงบนพื้นหญ้า เขาก็ผล็อยหลับไปทั้งที่เสื้อผ้ายังเปียกชื้น
รุ่งเช้า เขาถูกสหายปลุกขึ้นอย่างไร้ความปรานี
ฟ้าสว่างแล้ว กองทัพใหญ่เคลื่อนขบวนต่อ
หากไม่เห็นหัวศัตรูแขวนอยู่บนหลังม้าของซ่างกวนเลี่ยและพรรคพวก หลิวจี้คงคิดว่าศึกเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ความรู้สึกอัดอั้นที่สั่งสมมาหลายวันของทุกคนก็ปะทุขึ้น ความเศร้าหมองกดทับจนหายใจแทบไม่ออก
หลายคนบาดเจ็บ อีกกองขนเสบียงที่ร่วมทางมาก็อยู่ในสภาพใกล้แตกพ่าย ความเร็วในการเดินทางลดลงอย่างมาก หนึ่งวันเดินทางไปได้เพียงแปดสิบลี้
ยามค่ำคืน ณ จุดพักแรม ความคิดถึงบ้านของทุกคนพุ่งถึงขีดสุด ต่างเช็ดน้ำตากันเป็นแถว กลัวว่าจะไม่ได้กลับไปอีก
“วันนี้วันที่เท่าไรแล้วหรือ” หวังอู่ถามขึ้นอย่างกะทันหัน
ทุกคนเงียบคิดไปพักใหญ่ หลิวจี้จึงตอบว่า “วันที่สิบห้าเดือนสิบแล้ว”
หวังอู่คล้ายตกอยู่ในภวังค์ “เพิ่งหนึ่งเดือนเองหรือนี่”
เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าพวกเขาเดินทางมาราวกับเป็นปีแล้วเล่า
เมืองวั่งเยวี่ยช่างไกลเหลือเกิน เดินเท่าไรก็ไม่ถึงเสียที
อีกคนสะกิดไหล่หลิวจี้ “เจ้าจำได้ชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไร”
หลิวจี้กระตุกริมฝีปากเล็กน้อย ฝืนยิ้มออกมาอย่างขมขื่นยิ่งกว่าเดิม แต่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงถอนหายใจในใจ เพราะเขาไม่เคยหยุดคิดถึงบ้านเลยอย่างไรเล่า
เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เรียนในสำนักศึกษา มันช่างงดงามเสียจริง แม้แต่กลิ่นเท้าเหม็นเปรี้ยวของสหายร่วมห้องพักก็ถูกความทรงจำกรองออกไป
ทุกสิ่งในอดีต เมื่อนึกย้อนกลับไปก็อยากร้องไห้
“ฮู่~” หลิวจี้พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมา เงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟากฟ้า
จันทร์ที่ม่อเป่ยช่างกลมโต
ค่ำคืนที่ม่อเป่ย ทั้งหนาวทั้งหิว!
น้ำตาลกับเกลือหมดเกลี้ยง เพราะถุงเสบียงรั่วกลางทาง อาหารของพวกเขาจึงต้องถูกส่งเข้าคลังเสบียงทัพ ตอนนี้แม้แต่อาหารของตัวเองก็ไม่มีเหลือแล้ว
อีกสองวันกว่าจะถึงเมืองวั่งเยวี่ย ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะเหลือกันอยู่กี่คน
คืนนั้น หลิวจี้ฝันเห็นลานบ้านหลังเล็กที่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลหลิวอีกครั้ง เขาร่ำไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด “ฮือๆๆ เมียจ๋า ข้าผิดไปแล้ว”
เช้าวันต่อมา หวังอู่และพวกพ้องมองเขาด้วยสายตาดูแคลน บุรุษสูงเจ็ดฉื่อแท้ๆ กลับละเมอขอโทษสตรีในฝัน ช่างไร้อนาคตนัก!
หลิวจี้ “…”