ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 16 เตรียมตัว
การจะเข้าไปในภูเขาเองก็ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ
หากต้องการผลงานที่ดี อุปกรณ์ต้องพร้อมก่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินเหยาไม่ได้ไปยังที่ดิน แต่ขึ้นภูเขาไปขุดเผือกมาให้พอกินสำหรับสี่วันก่อน
เผือกแถบนั้นถูกขุดไปหลายครั้งจนแทบจะไม่เหลือแล้ว
จากนั้นนางก็ซ่อนเผือกและจอบไว้ในพุ่มหญ้าตรงเชิงเขา หยิบเคียวแล้วไปยังสถานที่ที่ชาวบ้านมักไปตัดฟืน ตัดฟืนมาได้เต็มตะกร้า เมื่อรวมกับฟืนที่เก็บไว้เมื่อสองสามวันก่อนก็เพียงพอสำหรับใช้งานในครัวเรือนได้ครึ่งเดือน
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูงกลางฟ้า ฉินเหยากลับมาถึงบ้านแต่ไม่ได้พัก นางกินเผือกสองสามหัวให้พออิ่มแล้วหยิบเงินทั้งหมดในบ้านสี่สิบเหรียญทองแดง รีบเดินไปยังหมู่บ้านข้างเคียงอย่างรวดเร็ว
มู่บ้านนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านตระกูลหลิว เพียงเดินเลียบแม่น้ำตามกระแสลงไปใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามก็ถึง
ฉินเหยาเดินเร็ว ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเศษก็ถึงแล้ว
ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่กว่าหมู่บ้านตระกูลหลิว เรียกว่าหมู่บ้านเซี่ยเหอ ในหมู่บ้านมีช่างตีเหล็กคนหนึ่งที่ปกติหาเลี้ยงชีพด้วยการทำเครื่องมือการเกษตรให้กับชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง
ในหมู่บ้านนี้ยังมีบ้านของพรานที่มีชื่อเสียงในแถบสิบลี้แปดหมู่บ้าน บุรุษในบ้านล้วนเป็นพราน ได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยล่าเสือตัวหนึ่งได้จนมีชื่อเสียงเล็กน้อยในเมืองจินสือ
ฉินเหยาไปที่ร้านตีเหล็กก่อน ต่อรองอยู่พักหนึ่ง ใช้เงินสามสิบเหรียญแลกมีดสั้นเก่าๆ มาหนึ่งเล่ม
สำหรับฉินเหยาแล้ว มีดเล่มนี้เบาเกินไปเล็กน้อย นางลองกะน้ำหนักในมือแล้วสะบัดออกไปสองสามครั้ง ท่วงท่าสะบัดออกกว้างและชักกลับว่องไว แม้ไม่มีเทคนิคใดๆ แต่เสียงหวีดหวิวของลมกลับทำให้ผู้คนไม่กล้าสัมผัสโดนรัศมีความคมของมัน
ช่างตีเหล็กมองนางด้วยความประหลาดใจ “แม่นาง เจ้าใช้มีดได้เก่งจริงๆ!”
ฉินเหยาเก็บมีดพร้อมยิ้มบางๆ ให้เขา “นายช่าง เจ้ารู้ไหมว่าบ้านของพรานอยู่ทางไหน”
ช่างตีเหล็กย่อมรู้ดีเพราะอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เขาชี้ไปทางกระท่อมโดดเดี่ยวซึ่งตั้งอยู่กลางทางขึ้นเขาทิศตะวันออก
ฉินเหยากล่าวขอบคุณแล้วหมุนตัวเดินไปด้วยก้าวย่างที่มั่นคง
เพราะเป็นช่วงกลางวัน ประตูบ้านนายพรานจึงเปิดแง้มอยู่ ฉินเหยาร้องเรียกที่หน้าประตูสองครั้งก็มีหญิงชราท่าทางกระฉับกระเฉงเดินออกมา นางคิดว่าฉินเหยามาซื้อเนื้อจึงโบกมือพร้อมบอกว่าเนื้อหมดแล้ว ทั้งหมดถูกนำไปขายในตัวเมือง
ฉินเหยารู้ทันทีว่าคนที่นางต้องการพบไม่อยู่บ้านจึงถามหญิงชราด้วยน้ำเสียงสุภาพว่าบุรุษในบ้านจะกลับมาเมื่อใด
“เจ้าไม่ได้มาซื้อเนื้อหรือ” หญิงชราถามด้วยความสงสัย
ฉินเหยาพยักหน้า “ข้ามาที่นี่เพื่อขอยืมอุปกรณ์ล่าสัตว์จากบ้านท่าน ถึงเวลาจะคืนให้พร้อมส่วนแบ่งหนึ่งในสิบของสัตว์ที่ล่าได้ ไม่ทราบว่าพอจะได้หรือไม่”
หญิงชราเพิ่งเคยได้ยินว่ามีคนมาขอยืมอุปกรณ์ล่าสัตว์จึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบว่านางตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องรอให้บุตรชายกลับมาก่อน
ฉินเหยาจึงนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านนายพราน ถือโอกาสใช้เวลาที่รอฝึกฝนมีดสั้นเล่มใหม่ให้ชำนาญ
การรอคอยของฉินเหยาครั้งนี้ กินเวลาจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน
ครอบครัวนายพรานสกุลหยางมีพี่น้องสองคน พี่ใหญ่ชื่อหยางต้า น้องชายชื่อหยางเอ้อร์ ทั้งสองต่างมีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน เมื่อวานพวกเขาดูเหมือนจะล่าสัตว์ใหญ่ได้จึงช่วยกันนำไปขายที่โรงเตี๊ยมในเมืองยกครอบครัว ช่วงบ่ายจึงกลับมาพร้อมข้าวของมากมาย
เมื่อพวกเขามาถึงบ้าน ยายหยางก็เล่าเรื่องของฉินเหยาให้บุตรชายทั้งสองฟัง
ชาวบ้านที่นี่ระแวดระวังคนแปลกหน้ามาก แต่เมื่อเห็นว่าฉินเหยามาจากหมู่บ้านข้างเคียงอย่างหมู่บ้านตระกูลหลิวซึ่งพวกเขารู้จักดีจึงค่อยลดความระวังลง
พี่น้องทั้งสองเดินมาหาฉินเหยาด้วยความสงสัย พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธที่จะให้ยืม แต่กังวลว่านางจะทำอุปกรณ์ของพวกเขาเสียหายมากกว่า
แน่นอน ประเด็นหลักคือพวกเขาไม่เชื่อว่าฉินเหยาจะล่าสัตว์ได้จริง
ถึงจะพูดว่าจะแบ่งหนึ่งในสิบเป็นค่าตอบแทน แต่หากล่าอะไรไม่ได้เลย อุปกรณ์ของพวกเขาก็จะต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์น่ะสิ
“หากข้าล่าไม่ได้ ข้าจะชดใช้ค่าซ่อมแซมตามความเสียหายของอุปกรณ์” ฉินเหยาพูดอย่างจริงใจ
ในใจคิดว่าหากพี่น้องทั้งสองยังไม่ตกลง นางคงต้องเริ่มเล่นบทโศกเพื่อเรียกคะแนนความเห็นใจ
แต่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง พี่น้องทั้งสองเห็นท่าทางอับจนของนางแล้วใจอ่อนจึงเรียกให้นางเข้ามาในบ้านเพื่อเลือกอุปกรณ์
บ้านของพวกเขาเป็นครอบครัวนายพราน ในบ้านจึงมีอุปกรณ์ล่าสัตว์ครบครันและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
เมื่อวานพวกเขาเพิ่งได้สัตว์ใหญ่ ในช่วงนี้จึงยังไม่คิดจะเข้าป่าอีกครั้ง กำลังวางแผนว่าจะเข้าไปอีกครั้งก่อนฤดูหนาวแล้วเก็บตัวเตรียมผ่านพ้นหน้าหนาวนี้ไป
ภูเขาลึกที่นี่ไม่เหมือนภูเขาที่ถูกพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในยุคหลัง ที่นี่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายกินคนและแมลงกับงูพิษที่มีมากมายจนคาดไม่ถึง
ภูเขาลึกที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่มีเส้นทาง หากไม่รู้จักการหาทิศทาง การหลงป่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้สูงมาก
การเข้าป่าแต่ละครั้ง สำหรับพี่น้องตระกูลหยางถือว่าเสี่ยงชีวิตเป็นอย่างมาก
ดังนั้น ตอนนี้พวกเขาจึงจัดหาที่ดินสองสามหมู่และวางแผนว่าจะให้เด็กรุ่นหลังในครอบครัวเปลี่ยนมาทำการเกษตรแทน ถึงจะเหนื่อยและยากลำบาก แต่ก็ยังดีกว่าสูญเสียชีวิตในป่า
ฉินเหยาเลือกคันธนู เป็นธนูของหยางต้าที่ใช้ประจำ คันใหญ่ที่สุด หนักที่สุดและมีพลังทำลายล้างสูงสุดเช่นกัน
เด็กหนุ่มเด็กสาวสี่คนในตระกูลหยางเดินตามอยู่ข้างหลังฉินเหยา มองนางเลือกอุปกรณ์ด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่านางเลือกธนูของหยางต้าก็รู้สึกว่านางช่างไม่รู้จักประมาณตัวเอาเสียเลย
แต่ไม่คาดคิด ฉินเหยาหยิบคันธนูขึ้นมา ใช้สองนิ้วจับสายธนูแล้วน้าวจนสุด
นางดูเหมือนยังไม่พอใจจึงหยิบเครื่องมือปรับสายธนูมาปรับสายธนูให้ตึงขึ้นอย่างคล่องแคล่ว
เมื่อเห็นฉินเหยาน้าวสายธนูอีกครั้ง หยางต้าถึงกับใจหาย กลัวว่านางจะทำธนูสุดที่รักของเขาหัก
ฉินเหยาหยิบลูกธนูในกระบอกหนึ่งดอกขึ้นตั้งบนสายธนู ลองเล็งไปมาในลานบ้านตระกูลหยาง ทำเอาหยางต้ากับครอบครัวตกใจจนต้องเดินตามหลังนางไปมา กลัวจะกลายเป็นเป้าของนางโดยไม่ตั้งใจ
ฉินเหยาเก็บคันธนูและศรด้วยความพอใจ “เอาอันนี้แหละ”
แม้พวกเขาจะให้นางเลือกได้ตามใจ แต่อย่างไรคนเราก็ต้องรู้จักเจียมตัว ไม่อาจขอมากเกินไปได้
ธนูหนึ่งคัน ศรสามสิบดอก ใช้ร่วมกับมีดสั้นและเชือกที่เตรียมไว้ที่บ้านก็พอแล้ว
ขณะส่งฉินเหยาออกจากบ้าน หยางต้าก็ถามอย่างสงสัย “แม่นางฉิน เจ้ามีพละกำลังมากกว่าคนปกติสินะ”
ฉินเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าแล้วพูดเหลวไหลออกไปว่า “ข้ามีกำลังมากมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
พี่น้องตระกูลหยางทั้งสองมองนางด้วยความประหลาดใจ นึกอิจฉานางอยู่ในใจ
เมื่อส่งฉินเหยาจนถึงปากหมู่บ้าน หยางต้าก็กล่าวด้วยความกังวล “ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว ช่วงนี้ละแวกนี้ไม่ค่อยสงบนัก มีโจรชุกชุม เจ้าเป็นสตรีเดินทางคนเดียวอาจไม่ปลอดภัย ให้ข้าไปยืมวัวจากผู้ใหญ่บ้านส่งเจ้ากลับเถอะ”
ฉินเหยาชี้ไปที่คันธนูและลูกศรบนหลังของตนเอง “ข้ามีสิ่งนี้ ข้าปลอดภัยแน่นอน”
พี่น้องทั้งสองหัวเราะเบาๆ รู้สึกว่าพวกเขาคิดมากไปแล้ว
ฉินเหยารีบเร่งเดินทางจนในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านตระกูลหลิวก่อนฟ้าจะมืดสนิท
ระหว่างทาง นางไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโชคดีหรือเพราะความจนของตนเอง นางจึงไม่เจอแม้แต่โจรที่พี่น้องตระกูลหยางพูดถึงเลย
ว่าไปแล้ว นางยังแอบคาดหวังอยู่เล็กน้อย ไม่แน่อาจได้โชคจากเหตุไม่คาดฝันก็เป็นได้
เมื่อมาถึงหมู่บ้านตระกูลหลิว ฉินเหยาไม่ได้รีบกลับบ้าน แต่แวะไปยังเรือนเก่าของตระกูลหลิวก่อน
เมื่อเห็นนางสะพายคันธนูพร้อมถือมีดสั้นในมือ คนในเรือนเก่าตระกูลหลิวต่างพากันงงงวย ไม่เข้าใจว่านางตั้งใจจะไปทำอะไร
ความจนทำให้คนหน้าด้านขึ้น ฉินเหยาเอ่ยตรงๆ ว่า “ข้าทำไร่ไม่ได้จริงๆ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าป่าสักรอบ อย่างน้อยสามถึงห้าวัน อย่างมากเจ็ดถึงแปดวัน ขอรบกวนพี่ชายทั้งสองช่วยปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีที่เหลือในบ้านข้าด้วย”
“แล้วก็ เด็กสี่คนในบ้านข้า ช่วงที่ข้าไม่อยู่ขอให้พี่สะใภ้ทั้งสองช่วยดูแลแทนด้วย”
พูดจบ นางก็หยิบเหรียญทองแดงสิบเหรียญสุดท้ายที่เหลืออยู่ยื่นให้นางเหอพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยืนอึ้งอยู่
“พี่สะใภ้ใหญ่ อาหารที่เตรียมไว้ในบ้านข้ามีพอให้เด็กๆ กินแค่สี่วัน ที่เหลือขอรบกวนท่านช่วยดูแลไปก่อน ข้ารู้ว่าเงินนี้ไม่พอ ส่วนที่ขาดไว้ข้าจะกลับมาจ่ายคืนให้ทีหลัง”
พูดจบ ฉินเหยาก็หันหลังเดินจากไปอย่างเด็ดขาด
ปล่อยให้คนเฒ่าและเด็กในเรือนเก่าตระกูลหลิวยืนงุนงงท่ามกลางสายลม
นางจางเริ่มคิดจะถอนคำพูดที่นางเคยมีต่อฉินเหยาเมื่อสองวันก่อนแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกว่า คนในครอบครัวเดียวกันย่อมเหมือนกัน สะใภ้ใหม่ของเจ้าสามช่างหน้าด้านไม่ต่างจากเขาเลย!
ไม่สิ นางหน้าด้านยิ่งกว่าเขาเสียอีก!