ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 161 ล้วนเป็นลูกกตัญญู
ฉินเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความขบขัน “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าล้อท่านเล่นหรอกน่า เอาไว้ข้าคั่วเองแล้วให้ต้าหลางเอาไปส่งให้พวกท่าน”
นางเหอทั้งโมโหทั้งขำ ยกมือขึ้นหมายจะตีฉินเหยา แต่พอนางเงื้อแขนขึ้น ฉินเหยาก็เบี่ยงตัวหลบได้อย่างง่ายดาย
นางชิวที่กำลังกินเกาลัดอยู่เห็นนางเหอเสียท่าก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้
“เฮ้อ~” นางจางได้แต่ส่ายหัวอย่างจนใจ พวกนางเองก็โตๆ กันแล้ว ยังเล่นกันเป็นเด็กๆ อีก
บรรยากาศในลานบ้านกำลังดี ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าเร่งรีบระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น ฉินเหยาหูไว นางเอียงศีรษะมองออกไปนอกประตู
เอ้อร์หลางและจินเป่าพุ่งพรวดเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน
“อาสะใภ้สาม พวกเขา พวกเขา…” จินเป่าวิ่งมาเร็วเกินไปทำเอาหายใจไม่ทันจนพูดไม่ออก
สีหน้าของฉินเหยาเย็นลง นางหันไปมองเอ้อร์หลาง
เอ้อร์หลางเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามตั้งสติแล้วรีบพูดว่า “พวกเขากลับมาแล้ว! แถมยังแบกเสื่อมาสามผืนด้วย!”
“ใคร?” ฉินเหยาไม่เข้าใจ
จินเป่าหายใจทันแล้วก็รีบตะโกนเสียงดัง “พวกบุรุษในหมู่บ้านกลับมากันหมดแล้วขอรับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนในลานบ้านต่างพากันตกตะลึง
เอ้อร์หลางย้ำเรื่องเสื่อสามผืนอีกครั้งแล้วเร่งให้นางรีบไปดู เพราะเขาไม่เห็นหลิวจี้ยืนอยู่ในกลุ่มคนที่กลับมา
สีหน้านางจางเปลี่ยนไปในทันที พอเห็นฉินเหยายังนิ่งค้างอยู่จึงรีบเร่งเร้า “เหยาเหนียง เจ้ารีบไปดูเถอะ”
ฉินเหยากลืนเกาลัดคั่วน้ำตาลที่เพิ่งแกะเปลือกเสร็จเข้าไปในปากแล้วพุ่งออกไปราวสายลม
ต้าหลางที่อยู่ใกล้นางที่สุด เห็นรอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้านางแวบหนึ่ง หัวใจพลันบีบรัดแน่นโดยไม่รู้สาเหตุ
เอ้อร์หลางรีบคว้าแขนพี่ชายแล้วไล่ตามฉินเหยาไป ทว่านางวิ่งเร็วเกินไป เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว!
ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังเร่งเดินทางมาทางนี้ เอ้อร์หลางและจินเป่าที่กำลังเล่นอยู่ในนาร้างใกล้โรงงานกังหันน้ำเป็นผู้พบเห็นบุรุษที่กลับมาก่อนใคร
คนในโรงงานกังหันน้ำพากันติดตามมา ทุกคนล้อมวงอยู่รอบเสื่อฟางสามผืนที่ถูกม้วนไว้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้
ตอนออกเดินทางไป มีแรงงานทั้งหมดสี่สิบห้าคน แต่ตอนกลับมา มีเพียงสามสิบห้าคนและเสื่ออีกสามผืน พวกเขาเดินทางจากชายแดนมาถึงจังหวัดจื่อจิงและได้พบเจอกันระหว่างทาง ก่อนจะรวมตัวกันเดินทางกลับบ้าน
ในกลุ่มนี้ บางคนได้อยู่กลุ่มเดียวกับคนในหมู่บ้านเดียวกันจึงช่วยแบกศพของพวกเขากลับมา
ในโรงงานกังหันน้ำ สตรีที่เป็นแรงงานต่างพากันรีบออกมาหาสามี บุตรชาย หรือพี่น้องของตนเอง ผู้ที่หาคนของตนเองเจอ ต่างก็พากันร้องไห้ด้วยความดีใจ
แต่ผู้ที่หาไม่เจอก็ได้แต่ยืนอยู่หน้าเสื่อสามผืนนั้น
ศพที่เสียชีวิตมานาน แม้สภาพอากาศจะหนาวเย็น แต่ก็ยังเริ่มเปลี่ยนสภาพ ส่งกลิ่นแปลกประหลาดออกมา
ไม่มีใครกล้าเปิดเสื่อฟาง ทุกคนต่างรอให้หัวหน้าหมู่บ้านและผู้เฒ่าในหมู่บ้านมาถึงก่อน
ฉินเหยาเป็นคนแรกที่พุ่งไปที่เสื่อฟาง ท่ามกลางเสียงอุทานตกใจของผู้คน นางไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย ใช้มือยกเสื่อฟางทั้งสามผืนขึ้น
นางจางและคนที่ตามมาทีหลังต่างตกใจจนต้องหันหลังหนี
ต้าหลางรีบคว้าเอ้อร์หลางและแฝดชายหญิงที่เพิ่งวิ่งมาดันพวกเขาไปข้างหลังแล้วใช้ร่างกายของตนบังพวกเขาไว้ไม่ให้มองเห็นภาพตรงหน้า
เด็กหนุ่มต้องฝืนทำใจกล้า มองดูใบหน้าของศพทั้งสามที่เน่าเปื่อยไปทีละคน
แต่เมื่อไม่พบใบหน้าที่คุ้นเคยจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ทว่าฉินเหยาที่เปิดเสื่อออกกลับมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
หลิวเหล่าฮั่นที่เพิ่งรีบมาจากทุ่งนาเหลือบมองฉินเหยาแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
คนที่ตายไม่ใช่เจ้าสามแล้วเหตุใดนางถึงไม่พอใจนะ
หรือว่าเป็นเพราะนางกังวลว่าเจ้าสามจะยังตกหล่นอยู่เบื้องหลัง?
“กรี๊ด!” เสียงร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวังดังขึ้น มีคนจำสามีของตนได้ ความโศกเศร้ากลืนกินนางจนแทบเป็นลมล้มพับไป
ศพทั้งสามถูกญาติพี่น้องทยอยกันเข้ามายืนยันตัวตน
แต่ผู้ใหญ่บ้านที่ยังไม่พบแม้แต่ศพของคนในครอบครัว หัวใจของเขาจมดิ่งลงสู่ห้วงลึก
หลานชายของเขาหลิวฉีเองก็ยังไม่กลับมา ติดอยู่ระหว่างทางหรือว่าประสบเหตุร้ายจนกลับบ้านไม่ได้?
ในที่ว่าการอำเภอ เขายังพอรู้จักคนอยู่บ้าง หากมีชาวบ้านเสียชีวิต รายชื่อจะถูกส่งมาให้
หากในรายชื่อไม่มีชื่อของหลิวฉีและหลิวจี้ก็แปลว่าพวกเขาอาจจะยังอยู่ระหว่างเดินทางกลับ
หลิวเหล่าฮั่นและนางจางมองฉินเหยาเป็นตาเดียวกัน นางจางตบไหล่นางเบาๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ไปเถอะ พวกต้าหลางสี่คนอยู่ที่เรือนเก่า มีพวกเราคอยดูแลอยู่ ไปสักรอบจะได้สบายใจ”
เห็นบ้านเจ้าสามเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน อีกทั้งฉินเหยาก็เป็นหญิงที่ขยันขันแข็ง ใจกว้าง เข้ากับสะใภ้คนอื่นๆ ได้ดี ทุกคนจึงมิอาจทนเห็นนางต้องเป็นหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อย
ฉินเหยากวาดตามองศพทั้งสามอีกครั้ง แต่ไม่มีสักศพที่เหมือนหลิวจี้แม้แต่น้อย นางคิดในใจ ‘ในกองศพนี่ ไยถึงไม่มีเจ้าขยะหลิวจี้ผู้นั้น?’
“ไปเถอะ ข้าจะไปจูงม้า” ฉินเหยาพยักหน้า คิดว่าไปดูรายชื่อที่ว่าการอำเภอให้แน่ใจจะดีกว่า
ขณะที่ฉินเหยากลับไปที่บ้านเพื่อจูงม้า ต้าหลางก็พาน้องๆ ตามมาด้วย สี่พี่น้องจดจ้องนางนิ่ง
ซื่อเหนียงมีท่าทีหม่นหมองอย่างหาได้ยาก “ท่านแม่ เหตุใดคนในหมู่บ้านถึงต้องตายด้วยเล่า”
ก่อนหน้านี้ท่านแม่เคยบอกว่า พวกชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานแค่ไปช่วยส่งเสบียงให้กับเหล่าทหารที่ชายแดนเท่านั้น พอส่งเสบียงเสร็จแล้ว พวกเขาก็จะกลับมา บางทีอาจจะทันกลับมาฉลองปีใหม่ด้วยซ้ำ
แล้วเหตุใดพ่อของบางคนถึงไม่กลับมาแต่ตายไปเสียแล้ว?
ฉินเหยาหยุดฝีเท้าชั่วครู่ หันกลับไปมองเด็กน้อยสี่คนที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะกวักมือเรียก ซื่อเหนียงรีบวิ่งเข้ามาหานางสองก้าว เงยหน้ามองด้วยแววตาสงสัยเต็มเปี่ยม
ฉินเหยากล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เส้นทางไม่สะดวก อาจจะพลาดพลั้งลื่นล้มหรืออาจจะล้มป่วย”
คำพูดนี้ก็มีแต่จะหลอกเด็กเล็กอย่างซื่อเหนียงได้เท่านั้น ต้าหลางและเอ้อร์หลางก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกซับซ้อน
ไม่ว่าอย่างไร คนผู้นั้นก็ยังเป็นบิดาแท้ๆ ของพวกเขา พวกเขาไม่ชอบอีกฝ่ายก็จริง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะต้องตายในชายแดนอันห่างไกล
แต่เรื่องทั้งหมดนี้โทษใครไม่ได้ นอกจากโทษที่ท่านพ่อของพวกเขาหาเรื่องใส่ตัวเอง
เอ้อร์หลางกำหมัดแน่น หากท่านพ่อกลับมาไม่ได้จริงๆ ปีหน้าเขาจะซื้อกระดาษเงินกระดาษทองเผาไปให้เยอะๆ!
ได้ยินมาว่าเหล่าผีในตำหนักพญายมล้วนแต่เลือกปฏิบัติเหมือนกัน หากเผาเงินกระดาษไปให้เยอะๆ ท่านพ่อจะได้มีเงินไปติดสินบนยมบาลหัววัวหัวม้าแล้วไปเกิดในตระกูลดีๆ ในชาติภพหน้า ไม่ต้องมาเป็นอันธพาลเช่นนี้อีก
เอ้อร์หลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางคำรามเสียงต่ำ “เขาหลอกเอาเงินที่เราหามาอย่างยากลำบากไปหมดเลยนะ!”
แค่เขายังนึกถึงการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้พ่อก็นับว่าได้ทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดแล้ว
ซานหลางมองพี่ชายทั้งสองด้วยความสับสนแล้วมองน้องสาวที่ดูเหมือนจะกังวลบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่านางกังวลเรื่องใด เด็กชายลังเลเล็กน้อย ก่อนเดินไปยังคอกม้าแล้วกล่าวเสียงเบา
“ท่านแม่ ข้าอยากกินถังหูลู่”
ต้าหลางเบิกตากว้าง เป็นอีกคนที่กตัญญูเสียเหลือเกิน!
เดิมทีฉินเหยารู้สึกหม่นหมอง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของซานหลาง สีหน้าของนางก็แจ่มใสขึ้นทันที นางพยักหน้ายิ้มๆ “ได้”
จากนั้นจึงหันไปถามอีกสามคนที่เหลือ “พวกเจ้าเอาด้วยหรือไม่”
ต้าหลางนึกถึงรสชาติเปรี้ยวหวานของถังหูลู่พลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “เช่นนั้น เช่นนั้นเอาก็ได้”
อย่างน้อยก็ไม่ปล่อยให้ท่านน้าเหยาต้องเข้าเมืองเสียเปล่า
ฉินเหยากำชับเด็กทั้งสี่ให้รอตนอยู่ที่เรือนเก่าแล้วจึงพลิกตัวขึ้นม้า ควบไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านได้เรียกห้าครอบครัวที่เหลือมาพร้อมกันแล้ว ให้แต่ละครอบครัวส่งคนมาเป็นตัวแทนหนึ่งคน จากนั้นทั้งหมดก็ขึ้นเกวียนวัวของผู้ใหญ่บ้าน คณะเล็กๆ นี้มุ่งหน้าสู่อำเภอด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง