ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 162 รายชื่อผู้ตาย
อ้อ ฉินเหยาไม่นับ
นางไม่ได้รู้สึกหนักอึ้งแม้แต่น้อย เพราะเพิ่งทำใจได้เมื่อครู่
ชาวบ้านที่ยังไม่กลับมาในเวลานี้ มีโอกาสถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่จะไม่มีชีวิตอยู่แล้วและส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกฝังไว้ที่ใด
ที่แย่กว่านั้นก็คือ บางคนอาจจะไม่มีแม้แต่หลุมศพ ร่างกายเน่าเปื่อยอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ถูกสัตว์ป่ากัดกินจนเหลือเพียงกระดูกขาวไม่กี่ชิ้น
หลิวฉีเป็นชายหนุ่มที่สูงใหญ่และทำงานเก่ง ฉินเหยาชื่นชอบชายหนุ่มคนนี้มาก
แต่คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นคืน นางจึงทำได้เพียงตบไหล่ผู้ใหญ่บ้านเบาๆ เพื่อปลอบโยนให้ทำใจ
ผู้ใหญ่บ้านมองด้วยสีหน้างุนงง “ฉินเหนียงจื่อ เจ้าดูไม่กังวลเรื่องหลิวจี้เลยสักนิดนะ”
จู่ๆ ชายชราก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่มีการเกณฑ์แรงงาน ฉินเหยาเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่เดินเข้าไปกรอกชื่อด้วยตัวเองอย่างเต็มใจ
คนอื่นล้วนแต่ต้องให้เขาตามเร่งเร้าหรือแสดงสีหน้าอับจนหนทาง ไม่เต็มใจไปเป็นแรงงานเกณฑ์แม้แต่น้อย
ฉินเหยายังต้องใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้าน จะปล่อยให้ผู้คนครหาว่านางคิดวางแผนฆ่าสามีได้อย่างไร
นางจึงรีบชี้แจงทันที “กังวลสิ แต่กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเพียงแค่ปลอบใจตัวเองให้คิดไปในทางที่ดีขึ้นเท่านั้น”
ผู้ใหญ่บ้านถึงได้คลายความสงสัย ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “เจ้าเองก็เป็นคนอาภัพเช่นกัน”
ฉินเหยาลอบเลิกคิ้ว นางอาภัพตรงไหน?
ตั้งแต่ยอมแพ้ในตัวขยะอย่างหลิวจี้ ตอนนี้นางเอวก็ไม่ปวดแล้ว ขาก็ไม่ปวดด้วย กินอะไรล้วนอร่อย มื้อหนึ่งกินได้ถึงห้าชาม แถมนอนหลับสบายจนฟ้าสาง!
หากไม่ต้องไปทำไร่ไถนาแล้วได้เป็นเจ้าของที่ดิน ชีวิตก็คงสมบูรณ์แบบแล้ว!
ฉินเหยาควบม้านำหน้า ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านนั่งเกวียนวัวตามหลัง พวกเขาเดินทางตั้งแต่เที่ยงจนถึงเย็น และมาถึงอำเภอไคหยางก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
ครั้งก่อนที่ฉินเหยามา ยังรู้สึกว่าผู้คนในอำเภอบางตาเกินไป ดูไม่คึกคักนัก
แต่ครั้งนี้ เมื่อเข้าสู่ตัวอำเภอ ความรู้สึกก็แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน
คนที่กลับมาได้ ย่อมเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
ส่วนคนที่ไม่ได้กลับมา ครอบครัวของพวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่หน้าที่ว่าการอำเภอ รอให้รายชื่อผู้เสียชีวิตถูกนำมาติดประกาศ
ผู้ใหญ่บ้านจัดให้ชาวบ้านทั้งห้าคนพักอยู่ที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เรียกฉินเหยาและพากันเดินไปยังเรือนเล็กข้างที่ว่าการอำเภอ
เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูให้ทั้งสองเข้าไปแล้วรีบปิดประตูลงทันที
เจ้าหน้าที่ทางการจำฉินเหยาได้ เขาอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ฉินเหนียงจื่อ”
แต่ฉินเหยากลับจำเขาไม่ได้แม้แต่น้อย นางขมวดคิ้วมองเขาด้วยความฉงน “ท่านคือ?”
เจ้าหน้าที่หนุ่มยิ้มขื่น แนะนำตัวว่าตนชื่อโจวเจิ้ง ครั้งก่อนเคยติดตามฉินเหยาไปกวาดล้างโจรที่ภูเขาอวี๋ฮว่า
ฉินเหยาแสร้งทำสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกออก แต่แท้จริงแล้ว นางจำเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
โจวเจิ้งมิได้ถือสาเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เขารู้ว่าผู้ใหญ่บ้านมาด้วยเหตุใดจึงเชิญทั้งสองเข้าไปนั่งในห้อง รินน้ำชาร้อนให้คนละถ้วย ก่อนจะกล่าวว่า
“เจ้าหนูหลิวฉีนั่น ข้าจัดให้เขาอยู่ใต้บังคับบัญชาของซ่างกวนเลี่ย บุรุษผู้นี้เป็นแม่ทัพเก่า เปี่ยมด้วยประสบการณ์และเชี่ยวชาญวรยุทธ์ แต่ละขบวนที่นำส่งเสบียงล้วนสามารถหลบพ้นภัยได้ ดังนั้นคนผู้นั้นน่าจะยังอยู่ระหว่างทาง”
“ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังไม่มีชื่อของหลิวฉี น้าเขยอย่าได้กังวล บางทีอีกไม่กี่วันเจ้าหนูนั่นอาจจะกลับมาก็เป็นได้”
ฉินเหยาได้ยินคำว่าน้าเขยก็คิดในใจ ที่แท้ผู้ใหญ่บ้านยังมีหลานชายที่ทำงานในที่ว่าการอำเภอด้วยนี่เอง
โจวเจิ้งหันมามองฉินเหยาอีกครั้ง “ฉินเหนียงจื่อ บ้านของเจ้าก็มีคนไปส่งเสบียงด้วยเหมือนกันหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า มองไปทางผู้ใหญ่บ้าน เมื่อเห็นผู้ใหญ่บ้านส่งสัญญาณให้นางถามได้อย่างเต็มที่ นางจึงกล่าวว่า “สามีของข้าชื่อหลิวจี้ เขาเดินทางไปพร้อมกับขบวนส่งเสบียง แต่บัดนี้ยังไม่กลับมา”
“หืม?” โจวเจิ้งรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูอยู่ คิดครู่หนึ่ง ก่อนจะอุทานขึ้นอย่างตกใจ “บังเอิญจริงๆ คนผู้นี้ข้าเคยพบเจอมาก่อน ใช่คนที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับบัณฑิต แต่อ่อนวัยกว่าข้าเล็กน้อยใช่หรือไม่?”
ฉินเหยามองเขาด้วยความประหลาดใจแล้วพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว หน้าตาดีไม่น้อย”
โจวเจิ้งรีบส่งสายตาให้ฉินเหยาวางใจ “เขาอยู่กองเดียวกับหลิวฉี ทั้งคู่สังกัดอยู่ใต้บังคับบัญชาของซ่างกวนเลี่ย บางทีอาจเดินทางกลับมาพร้อมกัน และกำลังอยู่ระหว่างทาง”
เมื่อรับเงินแล้วก็ต้องทำงานให้คุ้มค่า ไหนๆ ก็เป็นคนจากหมู่บ้านตระกูลหลิวเหมือนกัน งั้นก็ต้องช่วยดูแลกันสักหน่อย
“ข้ากลับคาดไม่ถึง ว่าเขาจะเป็นสามีของฉินเหนียงจื่อ” โจวเจิ้งดูจะตกใจยิ่งกว่าฉินเหยาเสียอีก เขาคิดว่า ฉินเหยาผู้เป็นสตรีนักรบผู้กล้าหาญ ควรมีสามีที่แข็งแกร่งกว่านางเพื่อจะได้ควบคุมนางได้
ไม่คิดเลยว่าสามีของนางกลับเป็นบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง
ผู้ใหญ่บ้านสอบถามเรื่องของชาวบ้านอีกห้าคนที่หายไปด้วย สีหน้าของโจวเจิ้งเคร่งขรึมลง ก่อนจะกล่าวว่า “มีชื่ออยู่ในรายชื่อ ข้าได้ตรวจสอบรายชื่อของหมู่บ้านตระกูลหลิวโดยเฉพาะ มีอยู่ทั้งหมดแปดคนพอดี”
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าควรแจ้งข่าวร้ายนี้ให้ห้าครอบครัวนั้นทราบอย่างไร
แต่เมื่อรู้ว่าหลานชายของตนอาจจะปลอดภัย เขาก็เบาใจไปครึ่งหนึ่งและขอให้โจวเจิ้งช่วยสอดส่องให้ หากพบเห็นหลิวฉีในเมือง หรือพบชื่อในรายชื่อผู้ตาย ขอให้แจ้งข่าวให้เขาทราบโดยเร็วที่สุด
โจวเจิ้งกล่าวปลอบโยน “ท่านน้าเขยคิดมากเกินไปแล้ว หลิวฉีเด็กคนนั้นตัวสูงใหญ่แข็งแรงดี ไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน”
“ท่านกลับไปคอยเถอะ อีกไม่กี่วันคนก็คงกลับมาแล้ว!”
จากนั้นเขาก็หันมายิ้มบาง ๆ ให้ฉินเหยา คล้ายจะปลอบนางไม่ให้กังวลเช่นกัน เขารู้สึกว่าหลิวจี้เป็นคนที่ดูฉลาดเฉลียวมาก ไม่น่าจะตายง่าย ๆ
หากเขาไม่พูดประโยคหลังนี้ยังดี แต่พอพูดออกมาแล้ว ฉินเหยากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ผู้ใหญ่บ้านและโจวเจิ้งคิดว่านางกำลังกังวลจึงมองนางด้วยแววตาเห็นใจ
ออกจากบ้านของโจวเจิ้ง ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
เดิมทีโจวเจิ้งต้องการให้ทั้งสองพักค้างที่เรือนเขาสักคืน แต่เพราะยังมีชาวบ้านอีกห้าคนที่รออยู่ในโรงน้ำชา ผู้ใหญ่บ้านจึงปฏิเสธ
ฉินเหยากับผู้ใหญ่บ้านเดินกลับไปที่โรงน้ำชา สีหน้าของทั้งสองเคร่งขรึม แม้ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร ชาวบ้านทั้งห้ากลับอ่านคำตอบออกจากสีหน้าของพวกเขาแล้ว ทุกคนก้มหน้าลงเงียบ ๆ ดวงตาเริ่มแดงก่ำด้วยความเศร้า
ประตูเมืองปิดลงแล้ว วันนี้คงกลับไปไม่ทัน ฉินเหยาจึงพาทุกคนไปที่โรงเตี๊ยมของเถ้าแก่ฟ่าน เปิดห้องรวมหนึ่งห้องและห้องเดี่ยวอีกสองห้อง
ชาวบ้านทั้งห้าคนนอนรวมกัน ส่วนฉินเหยาและผู้ใหญ่บ้านได้ห้องเดี่ยวคนละห้อง
ชาวบ้านบอกว่าหากกลับถึงหมู่บ้านแล้วจะคืนค่าเช่าห้องให้นาง แต่ฉินเหยากลับโบกมือปฏิเสธ ช่างเถอะ คืนนี้นางเลี้ยงเอง
ในเมื่อเป็นชาวบ้านหมู่บ้านเดียวกัน อีกทั้งภรรยาและลูกๆ ของพวกเขาก็ทำงานอยู่ที่โรงงานกังหันน้ำของนาง ในฐานะนายจ้าง เวลาต้องใจกว้าง ฉินเหยาก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย
ทุกคนกล่าวขอบคุณแล้วทานอาหารกันเพียงเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันกลับห้องพักด้วยจิตใจอันหม่นหมอง
เด็กเหล่านี้ล้วนเติบโตขึ้นมาภายใต้สายตาของตน ผู้ใหญ่บ้านเองก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของหลิวฉีเลย เขาจึงนั่งอยู่กับฉินเหยาในมุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่ พยายามจะให้ฉินเหยาช่วยวิเคราะห์ว่าหลิวฉีและหลิวจี้ตอนนี้น่าจะเดินทางถึงที่ใดแล้ว
ไม่วิเคราะห์ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อวิเคราะห์ดู ฉินเหยากลับบังเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดี หลิวจี้มีโอกาสรอดชีวิตสูงมาก
ก่อนออกเดินทาง เขาเตรียมตัวไปอย่างดี ทั้งเสื้อผ้ากันหนาว รองเท้าแบบพื้นหนา รวมถึงเสื้อคลุมกันฝนและหมวกไม้ไผ่ ไม่มีอะไรที่ขาดตกบกพร่องสักอย่าง
หากไม่มีเหตุสุดวิสัย เส้นทางจากอำเภอไคหยางไปถึงด่านเสวียนเยว่ก็ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ
เพียงจุดเดียวที่อาจทำให้เขาถึงแก่ชีวิตก็คือบริเวณนอกด่านเสวียนเยว่
หลิวจี้ผู้นี้แม้ไม่มีวรยุทธ์ แต่สติปัญญากลับเฉียบแหลม เขายังแอบขโมยกริชของนางไป หากเพียงใช้มันเพื่อหลบซ่อนและป้องกันตนเอง โอกาสที่จะถูกทหารข้าศึกฆ่าตายนั้นมีเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินเหยาปวดหัวที่สุดก็คือ หลิวจี้คนนี้มีทักษะการหลบหลีกที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง เพราะถูกนางซ้อมทุกวันจนช่ำชอง!