ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 164 หลิวฉี ‘ข้าสกปรกแล้ว’
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 164 หลิวฉี ‘ข้าสกปรกแล้ว’
ตอนที่ 164 หลิวฉี ‘ข้าสกปรกแล้ว’
………………..
ดังนั้นในคืนเดือนมืดลมแรงคืนหนึ่ง หลิวจี้ที่ดื่มยาไปหลายชุดและอาการดีขึ้นมากแล้ว ได้แอบปลุกหลิวฉีให้ตื่นขึ้น ทิ้งหวังอู่ที่ยังหลับสนิทไว้เบื้องหลังแล้วพากันหลบหนีไป
หลิวฉีรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย หลายครั้งคิดจะย้อนกลับไป แต่ก็ถูกหลิวจี้ใช้สถานะผู้อาวุโสกว่ากดดันให้กลับมา
หลิวจี้รีบหาเกวียนเช่ามาหนึ่งคัน สองคนเดินทางด้วยเกวียนวัวอยู่สองวัน จนแน่ใจว่าหวังอู่ตามมาไม่ทัน จากนั้นจึงเริ่มให้บทเรียนแก่คนหนุ่มรุ่นเยาว์
“คนเราหากไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินย่อมลงทัณฑ์ ข้าจะพูดตรงๆ กับเจ้า ข้ายังมีเหรียญทองแดงติดตัวอยู่บ้างก็จริง แต่เงินเท่านี้ไม่พอสำหรับสามคน แม้แต่แค่เจ้ากับข้าก็ยังแทบไม่พอ”
“หากเจ้ายังอยากกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ก็อย่ามัวแต่คิดเรื่องไร้สาระ มีเวลาว่างมากนักก็น่าจะคิดให้จริงจังว่าพวกเราสองคนจะหาเงินกันอย่างไร”
ก่อนหน้านี้เพราะอยู่หน้าด่าน คนเยอะ เดินทางเป็นกลุ่มจึงปลอดภัยกว่า แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าด่านมาแล้วก็ถึงเวลาที่ต่างคนต่างไป ไม่ต้องถ่วงกันอีก
หลิวฉียังคงรู้สึกผิดในใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอาหวังไม่มีเงินติดตัวเลย ตอนนี้อากาศก็หนาวเย็นขนาดนี้ เขาจะกลับบ้านได้อย่างไร”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่มีเงิน?” หลิวจี้ย้อนถาม
หลิวฉีอึ้งไป “เขามีหรือ”
หลิวจี้แค่นหัวเราะ ส่งสายตาเย้ยหยันว่าเจ้ายังอ่อนนัก “ยุคสมัยนี้ ใครออกเดินทางแล้วไม่เก็บเงินสำรองติดตัวกันบ้าง เจ้ามองดูรองเท้าของเขาสิ ผูกแน่นหนาขนาดนั้น ด้านในต้องมีอะไรซุกซ่อนอยู่แน่”
“ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเขาถึงบอกว่าไม่มีเงินเล่า” หลิวฉีถามอย่างไม่เข้าใจ
หลิวจี้ยิ้มเหยียดราวกับมองทุกอย่างออกมานานแล้ว “ก็เพราะไม่อยากให้พวกเราสองคนใช้เงินของเขาอย่างไรเล่า”
เห็นหลิวฉีกำลังจะถามต่อ หลิวจี้ก็เริ่มรำคาญ “เกวียนวัวจะพาเรามาส่งแค่ตรงนี้ คืนนี้พักที่โรงเตี๊ยมพรุ่งนี้ค่อยคิดหาวิธีหาเงิน ซื้ออาหาร และเดินเท้ากลับบ้านกัน”
หลิวฉีเหลือบมองอกเสื้อของอาตัวเอง “แต่ท่านอายังมีเงินไม่ใช่หรือ?”
หลิวฉียกมือกุมหน้าผาก ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ความจริง หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป เขากลับมองอาสามในมุมที่แตกต่างออกไปเป็นอย่างมาก ถึงขั้นรู้สึกนับถืออยู่เล็กน้อย
ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพูดกันว่าอาสามเป็นคนเลวร้าย แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นผู้อาวุโสที่สังเกตการณ์ได้อย่างละเอียด รอบคอบ กล้าหาญพอจะเผชิญหน้ากับศัตรู และยังสามารถนำทางผ่านทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างจนสามารถพาตัวเขาออกมาได้
แต่การทิ้งหวังอู่ไว้ข้างหลังแล้วหนีมาเองแบบนี้…ดูเหมือนว่าจะเป็นการกระทำที่เลวร้ายจริงๆ
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่เงียบๆ หลิวจี้ก็กลอกตาขาวใส่เขาทีหนึ่ง เตือนให้รู้ว่า ตอนนี้พวกเขาทั้งสองก็ไม่ต่างกัน
หลิวฉี ฮือๆๆ ข้าสกปรกแล้ว!
ที่หลิวจี้บอกว่าจะพักอยู่ข้างนอกโรงเตี๊ยมหนึ่งคืน แท้จริงแล้วเป็นเพียงข้ออ้าง เขาอาศัยทักษะการดูดวงเป็นเครื่องมือ เดินเข้าไปหลอกล่อพ่อค้านักเดินทางในห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม ไม่เพียงแต่จะได้อาหารและสุราเป็นรางวัล ยังสามารถหลอกให้เจ้าของโรงเตี๊ยมอนุญาตให้เขาปูเสื่อนอนในห้องโถงคืนนี้ได้อีกด้วย
หลิวจี้รู้ดีว่าด้วยอากาศหนาวขนาดนี้ อีกทั้งยังอยู่ทางตอนเหนือ หากต้องนอนกลางแจ้ง วันพรุ่งนี้เขากับหลิวฉีคงได้กลายเป็นศพแข็งไปแล้วแน่ๆ
หลิวฉียืนอยู่ด้านหลังหลิวจี้ตลอดเวลา รับบทเป็นนักพรตน้อยตามที่เขาเอ่ย
เด็กหนุ่มสูงใหญ่ถึงกับชะงัก ประเดี๋ยวก่อน ข้าตัวเล็กตรงไหน?
หลิวฉีมองดูหลิวจี้พล่ามคำพูดไร้สาระ…ไม่สิ ต้องเรียกว่าทำนายดวงให้ผู้คนเสียมากกว่า
ต้องยอมรับว่าการอบรมสั่งสอนของอาสะใภ้สามนั้นยอดเยี่ยม แม้จะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้ แต่อาของเขาก็ยังไม่ลืมจัดแต่งเครื่องแต่งกายและภาพลักษณ์ให้เรียบร้อย
และเพราะพวกเขาดูยังเป็นคนที่มีเค้าความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง อาสามของเขาจึงสามารถแอบอ้างตัวว่าเป็นนักพรตจากอารามแห่งหนึ่งที่เดินทางท่องไปทั่วสารทิศได้ และที่น่าตกใจที่สุดก็คือมีคนเชื่อจริงๆ!
สิ่งที่ทำให้หลิวฉีอ้าปากค้างยิ่งกว่านั้นคือ อาของเขาดูเหมือนจะสามารถทำนายดวงได้จริงๆ!
หลิวจี้โกหกพ่อค้าชราตรงหน้าได้อย่างแนบเนียน ก่อนจะยื่นมือมาดันคางของหลิวฉีบีบให้เขาหุบปาก แล้วลูบเคราของตนที่เริ่มงอกเงยขึ้นมาทำท่าทางครุ่นคิด สุดท้ายก็ร้อง “ซี๊ด~” ออกมาทีหนึ่ง
เฒ่าชราตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ท่านนักพรตคิดว่าไม่เป็นมงคลหรือ”
หลิวจี้ส่ายศีรษะ ยิ้มบางๆ “ข้านักพรตเพิ่งทำการทำนายไปเมื่อครู่ ตามคำทำนายที่ปรากฏ ในการเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ของนายท่าน จะพบกับดาวอัปมงคลขวางทาง หากสามารถหลีกเลี่ยงไปได้ก็จะสามารถเปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นดี และเดินทางได้อย่างราบรื่น”
เฒ่าชราหัวใจหล่นวูบไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็กลับมาสงบอีกครั้ง รีบสั่งให้บ่าวข้างกายรินน้ำชาร้อนๆ ยกให้หลิวจี้ใหม่อีกถ้วย เชื้อเชิญให้ท่านนักพรตชี้แนะ
หลิวจี้คงสีหน้าสงบไว้ ใช้นิ้วจุ่มน้ำชาแล้ววาดเส้นทางบนโต๊ะ พลางกำชับว่า
“จงเดินแต่เส้นทางใหญ่อย่าเลือกทางเล็ก เดินทางเฉพาะกลางวันแล้วหยุดพักในยามค่ำคืน…”
สิ่งที่เขาพูดนั้นเรียบง่าย หลิวฉีฟังแล้วเข้าใจได้ทันที รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องพื้นฐานที่ใครๆ ก็รู้
แต่เมื่อเห็นท่าทีระมัดระวังของพ่อค้าชรา เด็กหนุ่มก็เริ่มสับสน นี่มันเป็นกลยุทธ์วิเศษอันใดกัน ถึงกับทำให้คนผู้นี้รู้สึกตื่นเต้นถึงเพียงนี้?
กลางดึก เมื่อทั้งสองต้องเบียดเสียดกันนอนบนเสื่อผืนเก่าขาดวิ่น หลิวฉีอดไม่ได้ที่จะกระซิบถามคนข้างกายว่า “ท่านอาสาม ท่านไปเรียนวิชาดูดวงมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
หลิวจี้หลับตา ท่าทางเหมือนกำลังนอน แต่แท้จริงแล้วยังไม่ได้หลับ เขาเงียบไปครู่ใหญ่ รอจนหลิวฉีเกือบจะเคลิ้มหลับแล้ว จู่ๆ เขาก็กล่าวขึ้นมาเสียงเรียบ “นี่เป็นความลับสวรรค์ มิอาจเปิดเผยได้”
หลิวฉีพึมพำว่าอ้อเบาๆ ก่อนจะคว้าตัวอาสามมากอดเพื่อหาไออุ่น ซุกศีรษะลงบนแผ่นหลังของหลิวจี้แล้วจึงหลับสนิทไป
หลิวจี้ถอนหายใจแผ่วเบาออกมา บนโลกนี้ไหนเลยจะมีความลับสวรรค์อันใด ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงจิตใจของผู้คนเท่านั้น
ผู้คนปรารถนาสิ่งใด เขาก็เพียงแค่กล่าวตามนั้นเพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจเท่านั้นเอง
มือเย็นเฉียบของเขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ควักเอาน่องไก่มันเยิ้มออกมาแล้วค่อยๆ กัดกินอย่างอดกลั้น ความสุขพุ่งขึ้นจนแทบล้นออกมา
พ่อค้าผู้นี้ช่างตระหนี่ถี่เหนียวยิ่งนัก! เขาอุตส่าห์ช่วยดูดวงให้ แต่สุดท้ายกลับได้มาเพียงน่องไก่หนึ่งชิ้น พ่อค้าผู้เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตเช่นนี้ แท้จริงแล้วช่างขี้เหนียวเสียเหลือเกิน!
หลิวฉีขยับจมูกดมกลิ่นอย่างงัวเงีย ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง “อาสาม ท่านได้กลิ่นไก่ย่างหรือไม่”
“หา? อะไร? เจ้าคงฝันไปแล้วกระมัง จะมีไก่ย่างจากที่ใดกัน” คนที่กำลังกดทับไก่ย่างไว้ในอกเสื้อและแอบกินคนเดียวรีบพูดกลบเกลื่อน “รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องรีบเดินทางอีก”
หลิวฉียังคงสงสัย สูดดมอากาศอีกครั้ง หรือจะเป็นภาพหลอนกันแน่? เหตุใดกลิ่นไก่ย่างถึงยังโชยมาอยู่?
แต่เมื่อง่วงจนทนไม่ไหวแล้ว เปลือกตาหนักอึ้ง สุดท้ายก็ล้มตัวลงนอนต่อ
หลิวจี้รออยู่ถึงสามนาทีเต็ม จนแน่ใจว่าคนด้านหลังหลับสนิทแล้วจึงค่อยๆ หยิบไก่ย่างที่กินค้างไว้ออกมา แทะอีกไม่กี่คำจนหมด ก่อนจะโยนกระดูกทิ้ง ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมันที่ติดมือแบบลวกๆ แล้วจึงหลับตานอน
วิธีทำนายดวงนี้ใช้ได้ผลดี ตลอดการเดินทางที่เหลือ หลิวจี้มองหาเป้าหมายที่เหมาะสมแล้วก็กล่าวคำทำนายอย่างคล่องแคล่ว ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูมีอัธยาศัยสงบนิ่งและมีกลิ่นอายของนักพรตอยู่บ้าง ทำให้ไม่มีใครเคยสงสัยเลยว่าเขาเป็นนักพรตจริงหรือไม่
อย่างมากที่สุดก็คือมีบางคนรู้สึกว่าเขาโกหกเก่งไปสักหน่อยแล้วทำหน้าตารำคาญใส่
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเลี้ยงข้าวสักมื้อ หรือไม่ก็ให้เหล้ามาครึ่งกาเพื่อเป็นการขอบคุณ
ด้วยเหตุนี้ ตลอดทางพวกเขาจึงไม่เคยอดอยาก แถมทุกๆ สามวันห้าวันยังมีเนื้อกับผักให้กินอีกด้วย
เมื่อท้องอิ่ม พละกำลังก็ตามมา รูปลักษณ์ดูมีสง่าราศีขึ้นไปอีก ดูไปดูมาแล้วช่างเหมือนนักพรตจริงๆ เปิดปากก็พูดว่าข้านักพรต ปิดปากก็พูดว่าความลับสวรรค์ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งเต๋า
ท่ามกลางเสียงเรียกขานว่าท่านนักพรตอย่างเคารพ หลิวจี้เองก็เริ่มรู้สึกสับสนไปชั่วขณะแล้ว จนเกือบลืมไปแล้วว่าแท้จริงเขาเป็นก็เพียงแค่อันธพาลตัวเล็กๆ คนหนึ่งจากหมู่บ้านตระกูลหลิวเท่านั้น
ประกอบกับเงินสองพวงกว่ายังอยู่ในอกเสื้อจึงสามารถเช่ารถม้านั่งได้ เดิมทีเส้นทางที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน สุดท้ายพวกเขาใช้เวลาเพียงสิบเอ็ดวันก็เดินทางถึง
เมื่อกระโดดลงจากรถม้าที่จอดสนิท เงยหน้าขึ้นและเห็นกำแพงเมืองอำเภอไคหยางที่คุ้นตา สองอาหลานก็กอดกันร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่ “ฮือๆๆ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!”
………………..
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		