ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 175 ต่างฝ่ายต่างไม่ถูกชะตา
เนื้อแพะทั้งตัว ด้วยเพราะมีฉินเหยาผู้เป็นจอมตะกละอยู่ด้วย ครอบครัวทั้งหกคนจึงกินกันจนเกลี้ยง
หลังจากกินมื้อค่ำส่งท้ายปีเสร็จ โคมแดงก็ถูกแขวนขึ้น ทุกคนกินอิ่มจนพุงกาง นั่งเอนกายย่อยอาหารอยู่บนเก้าอี้ อยู่โต้รุ่งต้อนรับปีใหม่
ช่วงหัวค่ำยังมีของว่างเล็กๆ น้อยๆ เป็นอาหารมื้อดึก ทำให้ผ่านพ้นไปได้ไม่ลำบากนัก
แต่พอเข้าสู่ช่วงดึก ซานหลางกับซื่อเหนียงก็ทนไม่ไหวกลับเข้าห้องไปนอนก่อน
ต้าหลางฝึกฝนกระบวนท่าที่ฉินเหยาเพิ่งสอนในห้อง เอ้อร์หลางกับหลิวจี้ก็พากันกอดตำราเล่มหนึ่งไว้อ่าน ทั้งคู่ล้วนดูขยันขันแข็ง
ฉินเหยามองจานถั่วเหลืองในมือ ตนเองก็นั่งกินถั่วเหลืองผัดไปพลาง ปล่อยความคิดล่องลอยไปพลาง แล้วก็ใช้เวลาคิดอย่างจริงจังอยู่สามวินาที ข้าควรจะเข้าร่วมกับพวกเขาด้วยหรือไม่
สามวินาทีให้หลัง ช่างมันเถอะ วุ่นวายมาตลอทั้งปี กว่าจะมีเวลาว่างสักหน่อย ต้องปล่อยตัวตามสบายบ้าง!
ราวๆ ตีสาม เอ้อร์หลางก็ทนไม่ไหว ล่าถอยไปนอนก่อน
เหลือเพียงต้าหลาง ฉินเหยา และหลิวจี้ สามคนนั่งประจันหน้ากันหน้าโต๊ะ
หลิวจี้ท่องตำราจนตาล้าแล้วจึงหยุดอ่านและหาวออกมา
แต่เพราะปีก่อนเขาโต้รุ่งไม่สำเร็จ ปีนี้เขาจึงต้องทำให้สำเร็จจงได้ หาไม่แล้วคงโชคไม่ดีเหมือนปีก่อน ซึ่งแทบจะเป็นปีที่เต็มไปด้วยเคราะห์ภัย
หลิวจี้ที่ปกติไม่เชื่อเรื่องโชคลางยอมทำตัวงมงายสักครั้ง พอง่วงก็หยิกตัวเองให้ตื่น สุดท้ายก็ทนได้จนกระทั่งแสงอรุณแรกเริ่มส่องขอบฟ้า เขาถึงกับลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ปีนี้ต้องโชคดีแน่นอน!”
ให้กำลังใจตัวเองเสร็จก็หาวอีกทีแล้วหันไปมองด้านหลัง คิดว่าฉินเหยากับต้าหลางคงมีสภาพไม่ต่างจากตนเองนัก
แต่ไม่คาดคิดเลยว่า เด็กน้อยอย่างต้าหลางทั้งที่ไม่ได้นอนทั้งคืนกลับยังดูมีชีวิตชีวา บอกว่าจะไปฝึกยามเช้าที่สวนหลังบ้าน
ฉินเหยาตะโกนห้ามแล้วผลักให้เข้าไปในห้อง ในที่สุดหนุ่มน้อยจึงยอมกลับไปนอนอย่างไม่เต็มใจ
“ข้าจะไปงีบสักหน่อย” ฉินเหยาโบกมือ ก่อนจะเดินเข้าห้องของตนเองแล้วล้มตัวลงนอน
หลิวจี้เองก็ทนไม่ไหวแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นจึงไม่พูดให้มากความ ปิดประตูหน้าต่าง กลบถ่านที่ยังติดไฟไว้ใต้ขี้เถ้า ตรวจดูหมูรมควันที่แขวนไว้ใต้ชายคาอีกรอบ พอทำทุกอย่างเสร็จ ก็พุ่งตัวเข้าห้องนอนทันที
ทั้งครอบครัวหลับยาวไปจนถึงเที่ยงวัน เมื่อตื่นขึ้นมา หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านก็เงียบสงัดเป็นอย่างมากหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งปี ดูเหมือนว่านี่เป็นช่วงเวลาเดียวที่ทุกคนจะมีโอกาสได้นอนตื่นสาย ทุกบ้านต่างปิดประตูขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน
หลังจากพ้นวันขึ้นปีใหม่ บรรยากาศในหมู่บ้านก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง
เพราะบ้านฉินเหยาไม่มีญาติพี่น้องให้ต้องไปเยี่ยมเยียนจึงเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในบ้าน กินๆ ดื่มๆ ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยจนข้ามปีไป
เมื่อพ้นช่วงปีใหม่ คนทั้งหกในครอบครัวต่างอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรฤดูหนาวก็เป็นช่วงสะสมไขมัน กินแล้วไม่ขยับเขยื้อน จะไม่อ้วนก็คงเป็นเรื่องแปลก
จนกระทั่งวันที่แปด ตลาดนัดก็เวียนมาถึง ผู้คนในหมู่บ้านหลายคนพากันนัดหมายเข้าเมือง
นางชิวเองก็พ้นช่วงอยู่ไฟแล้ว หลิวจ้งจึงรีบมาหาฉินเหยาแต่เช้าตรู่ ถามว่าพวกเขาจะเข้าเมืองไปเดินตลาดหรือไม่ หากไปก็อยากขอติดรถไปด้วย
เพราะรู้ว่าหลิวจี้ตัดสินใจอะไรไม่ได้ หลิวจ้งจึงถามฉินเหยาโดยตรง
ฉินเหยาถามกลับว่า “ไปกันกี่คนหรือ”
“ข้า พี่สะใภ้ใหญ่ จินเป่า จินฮวา แล้วก็ท่านพ่อ ผู้ใหญ่สาม เด็กเล็กสอง”
เด็กทารกครบเดือนแล้ว นางจางกับหลิวเหล่าฮั่นปรึกษากันว่าหลายปีมานี้บ้านพวกเขาไม่ค่อยมีเรื่องมงคลเลยจึงคิดจะจัดงานฉลองครบเดือนให้สักครั้ง หลิวจ้งกับนางเหอจึงจะเข้าเมืองไปซื้อของ
หลิวเหล่าฮั่นเองก็ต้องการเปลี่ยนเครื่องมือทำเกษตรในบ้านเสียใหม่ ในตัวอำเภอมีให้เลือกเยอะกว่า และราคาก็ถูกกว่าด้วย
ส่วนเด็กสองคนนั้นก็เพราะซนจนวุ่นวายมากเกินไปจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพาไปด้วย
หากฉินเหยาไม่ไป พวกหลิวจ้งก็ไม่คิดจะพาเด็กสองคนไปด้วย
ฉินเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตกลง “ข้าเองก็คิดจะหาซื้อม้าแคระเพิ่มอีกสักตัวพอดี เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”
หลิวจ้งยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบกลับไปเตรียมตัวทันที
เมื่อฉินเหยาและหลิวจี้ส่งหลิวจ้งกลับไปแล้ว พอหันหลังกลับมาก็เห็นต้าหลางกับน้องๆ ทั้งสี่คน ยืนจ้องพวกเขาตาแป๋วอยู่ตรงประตูเรือน
สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง พาไปทั้งหมดเลยดีหรือไม่
อย่างไรเสีย รถม้าก็จุคนได้ไม่มากอยู่แล้ว หากพาเด็กสี่คนไปด้วยก็ให้พวกเด็กๆ นั่งบนรถม้า ส่วนผู้ใหญ่เดินเท้าเอา ออกเดินทางแต่เช้าหน่อย จะได้กลับมาก่อนค่ำ
พวกต้าหลางทั้งสี่เห็นปฏิกิริยาของท่านพ่อท่านแม่ก็แทบจะร้องเฮออกมาด้วยความดีใจ
เมื่อถึงวันที่แปด ฟ้ายังไม่ทันสว่าง สองครอบครัวก็รีบตื่นขึ้นมาเตรียมตัวกันแต่เช้าตรู่
หลังจากทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ ฉินเหยากับหลิวจี้ก็จุดคบไฟ จูงรถม้าไปรับคนที่เรือนเก่า
ต้าหลางกับน้องๆ นั่งเป็นคู่ๆ โผล่ศีรษะออกมาจากหน้าต่างรถม้า จินฮวากับจินเป่าเห็นเข้าก็รีบปีนขึ้นไปบนรถอย่างไม่รอช้า เด็กหกคนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวจนฉินเหยาอดคิดไม่ได้ว่าหากมีที่อุดหูคงดีไม่น้อย
เคราะห์ดีที่คนขับรถม้าคือหลิวเหล่าฮั่นไม่ใช่นาง หาไม่แล้วการต้องฟังเสียงดังเซ็งแซ่อยู่ใกล้ๆ เช่นนี้ สมองของนางคงระเบิดเป็นแน่
ตรงกันข้ามกับฉินเหยา หลิวเหล่าฮั่นอายุมากแล้วกลับชอบบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้ เขาขับรถม้าได้ไม่คล่องนัก หัวเราะพลางถามฉินเหยากับหลิวจี้ว่า
“เมื่อวานตอนค่ำ เจ้ารองกลับมาบอกว่าพวกเจ้าจะเข้าเมืองไปดูม้าอีกตัวหรือ ที่บ้านก็มีเจ้าเหล่าหวงตัวหนึ่งอยู่แล้วมิใช่รึ จะซื้อมาเพิ่มไปทำอะไรอีกกัน ซื้อวัวสักตัวไม่ดีกว่าหรือ ทั้งลากเกวียนได้ ทั้งไถนาได้”
หลิวจี้อธิบายว่า “ท่านพ่อ ต้าหลางกับเอ้อร์หลางอีกสองเดือนก็จะต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาตระกูลติงแล้ว เส้นทางก็ไกลนัก เมียจ๋าก็เลยคิดจะซื้อม้าแคระสักตัวให้พวกเขาใช้ขี่ไปเรียนจะได้สะดวกขึ้น”
“อะไรนะ” ผู้ใหญ่ทั้งสามคนในเรือนเก่าพากันตกตะลึง
คำพูดสั้นๆ ของหลิวจี้กลับแฝงความหมายมากมาย
ทั้งเรื่องได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาตระกูลติง ทั้งเรื่องจะให้เด็กขี่ม้า ฟังแล้วทำให้หลิวเหล่าฮั่นถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ แต่พอฟื้นจากอาการตกใจ จึงรีบถามด้วยความตื่นเต้นว่า
“สำนักศึกษาตระกูลติงรับต้าหลางกับเอ้อร์หลางเข้าเรียนหรือ”
หลิวจี้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกคนในเรือนเก่าเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลติงเลยจึงพยักหน้าตอบว่า
“ใช่แล้ว ข้ากับเมียจ๋าต้องออกแรงไปไม่น้อย กว่าจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลติงยอมตกลงนั้นไม่ง่ายเลย”
นางเหอถามด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “พวกเจ้าทำอะไรไปบ้างรึ บอกให้พี่สะใภ้ใหญ่ฟังบ้างเถิด จินเป่าเองก็โตไม่น้อยแล้วนะ เจ้าสาม เจ้าเองก็เป็นอาของเขาจะลืมหลานแท้ๆ ของตัวเองไม่ได้นะ!”
หลิวจี้ยื่นมือออกไปทันที กางห้านิ้วเต็มที่ “พี่สะใภ้ใหญ่ หากท่านให้ข้าได้ตามจำนวนนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจที่จะใช้หน้าหนาๆ ของข้านี้ ช่วยหาทางให้หลานชายของข้าได้ที่เรียนเช่นกัน!”
นางเหอลองเดาอย่างตื่นเต้น “ห้าร้อยเหวินรึ”
ยังไม่ทันที่หลิวจี้จะเอ่ยจำนวนเงินออกไป ฉินเหยาก็เอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ห้าสิบตำลึงต่อคน”
หลิวจี้เบิกตากว้างจนดวงตาไหววูบ โอ้โห นางกล้าพูดจริงๆ ด้วย!
นางเหอกับคนอื่นๆ พากันสูดลมหายใจเย็นเฉียบ “ห้าสิบตำลึงต่อคนรึ” นางชี้ไปทางรถม้า “ต้าหลางกับเอ้อร์หลางรวมกัน นั่นมิใช่ว่าต้องใช้ถึงหนึ่งร้อยตำลึงเลยหรือ”
ได้ยินตัวเลขมหาศาลถึงหนึ่งร้อยตำลึง หลิวเหล่าฮั่นและหลิวจ้งสองพ่อลูกถึงกับไม่กล้าหายใจแรง
ฉินเหยาสองสามีภรรยาต่างพยักหน้าพร้อมกัน “ถูกต้อง!”
พวกเขาไม่ได้พูดโกหก กวางป่ากับกระต่ายป่าก็มีค่าไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ไหนจะยังมีตำรับสบู่อีก
ตำรับถูกตระกูลติงเก็บไป แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะนำไปผลิตจริงๆ
ตระกูลใหญ่ทั้งหลายมักชอบเก็บตำรับเช่นนี้ไว้ในมือ เพื่อแสดงถึงความล้ำค่าของมัน
หากพวกเขาผลิตขึ้นมาเองแล้วนำไปใช้ผูกมิตรกับผู้อื่น ผลประโยชน์ที่ได้รับย่อมเกินกว่ามูลค่าของเงินทอง
เมื่อหลิวจี้คิดได้ดังนี้ก็รู้สึกทันทีว่าหนึ่งร้อยตำลึงที่ฉินเหยาพูดไปยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ
แต่หากพูดมากไป นางเหอและคนอื่นๆ ก็คงยากจะจินตนาการได้ ขนาดหนึ่งร้อยตำลึงก็ทำให้นางเหอตกใจจนไม่กล้าเอ่ยปากขอให้ฉินเหยาและหลิวจี้ช่วยเหลืออีกแล้ว
อันที่จริง หากนายท่านติงอยู่บ้าน ฉินเหยาก็คงไม่ถึงขั้นต้องขู่พี่สะใภ้ใหญ่เช่นนี้
แต่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลติงกับนางล้วนไม่ชอบหน้ากัน นางจึงไม่อยากเข้าไปหาเรื่องให้ตัวเองต้องลำบากใจ