ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 176 งานเลี้ยงฉลองครบเดือน
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 176 งานเลี้ยงฉลองครบเดือน
ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนนั้นสูงลิ่วและนางเองก็ยังต้องแบกรับภาระครอบครัว ซึ่งสองสิ่งนี้ก็หนักหนาไม่ใช่น้อย
เงินที่นางเหอและหลิวไป่มีอยู่ในมือ นางในฐานะผู้จ่ายค่าจ้างให้พวกเขาย่อมรู้ดีที่สุด แต่กระนั้นยังห่างไกลเกินกว่าที่จะส่งจินเป่าเข้าเรียนนัก
ทุกคนไม่ได้พูดเรื่องสำนักศึกษาตระกูลติงอีก หลิวเหล่าฮั่นกลับไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ฉินเหยาคิดจะซื้อม้า
ฉินเหยายินดีรับฟังความคิดเห็นของผู้อาวุโส นางให้หลิวเหล่าฮั่นพูดออกมาตรงๆ แล้วตั้งใจฟัง
หลิวเหล่าฮั่นกล่าวว่า “ข้าลองคำนวณคร่าวๆ แล้ว ม้าตัวนี้หากเจ้าซื้อไป มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
“ประการแรก ต้าหลางปีนี้ก็เพิ่งสิบขวบ เอ้อร์หลางก็เพียงแปดขวบ ทั้งคู่ยังเป็นเพียงเด็ก ให้พวกเขาขี่ม้าไปกลับสำนักศึกษาเอง หากถูกผู้ไม่หวังดีจับตามองแล้วขโมยม้าไปจะทำเช่นไร”
“กระนั้นยังถือว่าโชคดี หากเด็กๆ ได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำเช่นไร”
ฉินเหยาขมวดคิ้วกล่าวว่า “พวกโจรขโมยม้านั้นถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว อีกทั้งข้ามีคนรู้จักทั้งในหมู่บ้านเซี่ยเหอและในเมืองจินสือ ไม่น่ามีปัญหาหรอกกระมัง”
แม้นางจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจกลับรู้สึกถึงความไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
เด็กๆ ที่กำลังเล่นซุกซนกันอยู่ในรถม้า เมื่อได้ยินการสนทนาของผู้ใหญ่ด้านนอก ต่างก็หยุดเล่นแล้วเงี่ยหูฟังเงียบๆ
หลิวเหล่าฮั่นถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “อีกประการหนึ่ง ม้าแคระตัวหนึ่งก็มีราคากว่ายี่สิบตำลึง เงินจำนวนนี้สามารถซื้อวัวไถนาชั้นเยี่ยมได้ตัวหนึ่ง แถมยังเหลือเงินอีกสี่ห้าตำลึง”
“เช่นนั้นเจ้าสู้ไปรับส่งพวกเขาจากหมู่บ้านเซี่ยเหอทุกวัน หรือว่าจ้างสารถีให้ส่งพวกเขาเข้าเมืองไปดีกว่า อย่างไรเสียสารถีก็ต้องเดินทางทุกวันอยู่แล้ว หากเจ้าจ่ายให้เขาเดือนละหนึ่งถึงสองร้อยเหวิน มันคุ้มค่ากว่าให้พวกเขาขี่ม้าไปเองมิใช่หรือ”
“รอให้เด็กทั้งสองโตกว่านี้ค่อยซื้อม้าจะเหมาะสมกว่า”
หลิวเหล่าฮั่นยังพะวงเรื่องที่ฉินเหยาบอกว่าจะซื้อที่ดิน เขาเป็นห่วงว่านางจะใช้เงินหมดก่อนจนไม่เหลือเงินซื้อที่ดิน
เหล่าคนในเรือนเก่าพอจะคำนวณตัวเลขเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่หากเป็นจำนวนมาก เช่น รายได้เมื่อปีที่แล้วของโรงโม่น้ำฉินเหยาพวกเขากลับคำนวณไม่ได้ ได้แต่คาดเดาคร่าวๆ เช่น ห้าหกสิบตำลึงหรือเจ็ดแปดสิบตำลึงเป็นต้น
ทว่าครอบครัวของนางกลับไม่มีกิจการใดๆ เลย ที่นาสักผืนก็ยังไม่มี หลิวเหล่าฮั่นคิดถึงเรื่องนี้จึงอดเป็นกังวลไม่ได้
“ที่นาสำคัญที่สุด!” หลิวเหล่าฮั่นเอ่ยเตือนอีกครั้ง
ฉินเหยาพยักหน้า นางคิดว่าหลิวเหล่าฮั่นกล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก
เช่น หากให้นางเป็นคนส่งเด็กๆ ไปยังหมู่บ้านเซี่ยเหอแล้วส่งต้าหลางกับเอ้อร์หลางให้สารถีพาพวกเขาไปยังเมืองจินสือเพื่อเข้าเรียน การเดินทางเช่นนี้ช่วยรับประกันความปลอดภัยของเด็กสองคนได้อย่างมาก อีกทั้งยังช่วยประหยัดเงินไปไม่น้อย
เดือนหนึ่งใช้เพียงสองเฉียน หนึ่งตำลึงสามารถใช้ได้ถึงห้าเดือน หากนำเงินค่าซื้อม้ามาคิดเป็นค่ารถ น่าจะสามารถนั่งรถม้าได้จนกระทั่งสารถีเลิกกิจการกันเลยทีเดียว!
ที่สำคัญยังไม่แน่ว่าต้องใช้ถึงสองเฉียน หากเหมาจ่ายรายเดือนหรือรายปี ราคาย่อมแตกต่างกัน นางยังสามารถต่อรองราคาได้อีก
แม้ว่าเดินทางไปกลับจะยุ่งยากอยู่มาก แต่เงินที่ประหยัดได้นั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ลมพายุฝนตกก็ยังสามารถนั่งเกวียนวัวไปได้โดยไม่ต้องกลัว
ทว่าไม่ว่าคำนวณอย่างไรก็ยังสู้การไปอาศัยอยู่ในตัวเมืองไม่ได้อยู่ดี
ฉินเหยาพึมพำกับตนเองว่า “หรือจะไปซื้อที่ดินในเมืองดี”
หลิวจี้ที่ได้ยินเต็มสองหูถึงกับตกตะลึง รีบเอ่ยเตือนเสียงเบา
“หากพวกเราไปอยู่ในเมือง ไม่มีที่พึ่งพิง ข้าเองก็ไม่ได้อยู่บ้านตลอดเวลา เจ้ากับลูกๆ คงถูกคนรังแกจนตายได้ อย่าไปเลย อยู่ในหมู่บ้านไม่ดีหรือ ล้วนเป็นคนรู้จักกันทั้งนั้น ทุกคนต่างเกรงใจกันดี”
ฉินเหยาหัวเราะเยาะ “ข้าจะถูกคนรังแกจนตายอย่างนั้นรึ”
“อา… ข้าปากพล่อยเอง เมียจ๋า คนเช่นเจ้าไหนเลยจะถูกรังแกได้เล่า ข้าแค่เป็นห่วงว่าเจ้าคิดไม่รอบคอบแล้วไปซื้อที่ดินในเมือง ถึงจะเป็นความคิดที่ดี แต่คราวหน้าพวกเราก็อย่าไปคิดมันอีกเลยนะ” หลิวจี้เอ่ยอ้อนวอนอย่างไม่อาย
ฉินเหยารู้ว่าการย้ายบ้านนั้นมิใช่เรื่องง่าย แต่เห็นหลิวจี้มีท่าทางตื่นตระหนกเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะยั่วเย้าเขาอีกสักหน่อยจึงแกล้งถามว่า
“ในเมื่อเป็นความคิดที่ดี เหตุใดคราวหน้าจึงคิดไม่ได้เล่า”
หลิวจี้ยกมือกุมหน้าผาก “พวกเราไม่เหมาะจะไปอยู่ในเมืองจริงๆ หากเจ้าคิดจะย้ายจริงๆ เช่นนั้นก็รอให้ข้าสอบได้ตำแหน่งก่อนค่อยว่ากัน”
คนตระกูลเดียวกันยังมีเหตุผลที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่พวกเขาเป็นคนนอก จะมีเหตุผลอันใดให้คนในเมืองยอมให้เข้าไปแย่งที่ดินและแย่งผลประโยชน์ของพวกเขา
เห็นฉินเหยาท่าทางกระตือรือร้น หลิวจี้ก็ไม่ขวางนางอีก คิดในใจว่าหากเจ้าลองไปดูเองแล้วจะรู้ว่าไม่มีทางซื้อที่ดินได้
แค่ในหมู่บ้านตระกูลหลิวยังหาซื้อยาก แล้วในเมืองจินสือเล่า ยิ่งยาก!
ถึงอย่างไร คนที่สามารถขายที่ดินได้ทั้งเมืองก็มีอยู่ไม่กี่คน!
ฉินเหยามองเขาแวบหนึ่ง เจ้าดูภูมิใจมากนี่?
หลิวจี้รู้สึกถึงอันตราย รีบเร่งฝีเท้าเข้าไปเดินเคียงคู่กับหลิวจ้ง ถามเขาถึงการจัดงานเลี้ยงครบเดือนของเด็กน้อย ดูว่ายังพอมีเวลาให้เขาได้ร่วมกินเลี้ยงด้วยหรือไม่
สำนักศึกษาจะเปิดเรียนหลังจากวันที่สิบห้าและเดือนสองก็ต้องสอบคัดเลือกแล้ว เวลาช่างกระชั้นชิดนัก แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้น
โชคดีที่หลิวจ้งบอกว่างานเลี้ยงฉลองครบเดือนจะจัดในวันที่สิบสอง อย่างนั้นเขาก็ยังอยู่ร่วมงานได้
กินเลี้ยงงั้นรึ หลิวจี้กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ร่วมโต๊ะกินเลี้ยงอย่างเป็นทางการคือเมื่อใด
การย้ายบ้านครั้งนั้นไม่นับ มีเพียงโต๊ะเล็กๆ สองสามโต๊ะกับอาหารธรรมดาๆ แค่พออิ่ม จะนับเป็นงานเลี้ยงได้อย่างไรเล่า
งานเลี้ยงที่แท้จริง ต้องกินต่อเนื่องกันสองวัน วันแรกเป็นวันเตรียมงานเลี้ยง ดังนั้นในช่วงเย็นจึงจัดหนึ่งโต๊ะให้กับผู้ที่มาช่วยงานได้กินกัน
วันที่สองเป็นวันเลี้ยงหลัก เริ่มกินกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
มื้อเช้ากินโจ๊กมงคล เป็นข้าวต้มที่ต้มจากข้าวที่นำไปคั่ว ใส่ส่วนผสมหลายอย่าง ทั้งถั่วเหลือง ผัก เนื้อบด ทุกอย่างผสมเข้าด้วยกัน กลิ่นหอมน่ากินยิ่งนัก
มื้อเที่ยง เป็นมื้อใหญ่ตามธรรมเนียม บ้านที่มีฐานะปานกลางก็จะมีอาหารแปดอย่าง หากฐานะดีขึ้นมาหน่อยก็จะมีสิบสองถึงสิบหกอย่าง มีทั้งเนื้อสัตว์ ผัก เหล้า ขนม และลูกกวาด อยากกินอะไรก็เลือกได้ตามใจ
มื้อเย็น เป็นมื้อสุดท้าย คล้ายกับมื้อเที่ยง แต่จำนวนอาหารจะน้อยกว่าสักเล็กน้อย ที่สำคัญคือต้องกินให้หมดเกลี้ยง
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปอาหารจะไม่เหลือ เพราะชาวบ้านในหมู่บ้านล้วนกินเก่ง บางคนแม้แต่ก้นถ้วยยังเลียจนสะอาดเกลี้ยง
นางเหอเรียกฉินเหยาให้มาช่วยงาน แน่นอนว่าหน้าที่ปรุงอาหารนั้นไม่จำเป็นต้องทำ พวกนางก็ไม่ได้คาดหวังว่าฉินเหยาจะลงมือทำอาหารเองจริงๆ
เพียงแต่ให้มาช่วยล้างจาน เช็ดโต๊ะ ยกอาหารขึ้นโต๊ะก็เท่านั้น
“จริงสิ โต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่ง รวมถึงถ้วยชามของบ้านเจ้าก็เอามาด้วยนะ ล้างเสร็จแล้วจะส่งคืนให้เจ้าเอง”
“วางใจเถอะ ข้าไม่ทำของเจ้าพังหรือหายแน่นอน” นางเหอรับรองด้วยรอยยิ้ม
ฉินเหยาไม่เคยร่วมงานเลี้ยงของบ้านอื่นมาก่อน นางรู้สึกสนใจไม่น้อยจึงตอบตกลง
ทุกคนพูดคุยหยอกล้อกันไประหว่างทางทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นประตูอำเภออยู่ข้างหน้าแล้ว ทุกคนจึงเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว
หลิวเหล่าฮั่นและนางเหอไม่ค่อยได้มาตัวอำเภอ ครั้งสุดท้ายที่พวกเขามาจำได้ว่าผ่านมาแล้วหกถึงเจ็ดปี
หลิวจี้ได้รับคำสั่งจากฉินเหยา เขาจึงนำทางครอบครัวเดินหน้าไปรับการตรวจสอบจากทหาร ส่งค่าธรรมเนียมเข้าเมืองและค่าจอดรถม้าแล้วพาทุกคนเข้าสู่เมืองอย่างราบรื่น
หลิวจ้งไม่เคยเห็นน้องสามในลักษณะเช่นนี้มาก่อน ตลอดทางเห็นเขาเจรจากับทหารอย่างสุขุม ทักทายคนรู้จัก ใบหน้าของหลิวจ้งเต็มไปด้วยความตกตะลึงจนปากอ้าค้างไม่หุบเลยทีเดียว
เมื่อเข้าสู่ตัวเมือง นางเหอที่พูดมากมาตลอดทางกลับเงียบลง ดูเคร่งขรึมและเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย
ฉินเหยาดึงแขนของนางไว้พร้อมกับชี้บอกสถานที่ต่างๆ ว่าตรงนี้เป็นอะไร ร้านค้านี้ขายสิ่งใด หากต้องการซื้อวัวม้าต้องไปที่ไหนและหากต้องการซื้อผักหรือเนื้อสัตว์ต้องไปตรงไหน
หลังจากเริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศขึ้นเล็กน้อย นางเหอก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง และถูกดึงดูดด้วยความคึกคักของตลาดในเมือง