ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 18 ท่านน้าไม่ต้องการพวกเราแล้ว
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 18 ท่านน้าไม่ต้องการพวกเราแล้ว
ฉินเหยาตื่นขึ้นมาจากการพักผ่อน ฝนเริ่มซาลง ป่าไม้ชื้นแฉะไปหมด เมื่อมองออกไปก็เห็นแต่หมอกขาว
ในสภาพอากาศเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงสัตว์เลย แม้แต่มนุษย์ก็ยังไม่อยากออกจากที่พัก
ฉินเหยานึกถึงที่หลิวเหล่าฮั่นเคยพูดไว้ว่าฝนจะตกในสองสามวันนี้ ดูเหมือนว่าความสามารถในการพยากรณ์อากาศของเกษตรกรเฒ่าผู้นี้จะค่อนข้างแม่นยำทีเดียว
แต่ก็ไม่รู้ว่าฝนนี้จะส่งผลกระทบต่อการปลูกข้าวสาลีหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นางยังไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ ตอนนี้เลือกกระต่ายมาหนึ่งตัว ถลกหนัง เอาเนื้อมาย่างบนไฟ รวมมื้อเช้าและมื้อกลางวันไว้ด้วยกัน
เมื่ออิ่มแล้ว นางก็เริ่มจัดการกระต่ายที่เหลืออีกหกตัว
ตลอดช่วงเช้า ฉินเหยาจัดการกระต่ายทั้งเจ็ดตัวจนเรียบร้อย หนังที่ถลกออกมาสมบูรณ์มาก นางใช้ขี้เถ้าจากหญ้าและไม้มาจัดการเบื้องต้น ส่วนเนื้อที่ได้ทั้งหมดนำมาย่างพร้อมกัน
ต่อจากนี้หากอยากกินก็แค่เอามาอุ่นอีกครั้งก็พอ สะดวกสำหรับพกพาด้วย โชคดีที่อุณหภูมิลดลง เนื้อกระต่ายย่างเหล่านี้น่าจะเก็บได้นานสองถึงสามวัน เป็นเสบียงที่เหมาะสำหรับอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ฉินเหยามีความอยากอาหารสูง เพราะการเผาผลาญพลังงานสัมพันธ์กับปริมาณอาหารที่กิน หากนางกินเต็มที่ กระต่ายเจ็ดตัวนี้คงพอกินได้เพียงสองวัน
เมื่อถึงตอนเที่ยง ฝนหยุดสนิท แสงอาทิตย์ลอดผ่านกลุ่มเมฆลงมา ไอน้ำบนพื้นระเหย ทำให้ป่าไม้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ยากจะทานทน แมลงเริ่มบินออกมา ส่วนสัตว์ตัวเล็กๆ ก็เริ่มทดลองออกจากรังมาเดินในป่า
ฉินเหยาปิดบังร่องรอยของถ้ำให้มิดชิด หยิบอาวุธแล้วออกไปค้นหาแหล่งน้ำ
ตลอดทาง ฉินเหยาพบร่องรอยของสัตว์ป่าหลายชนิด โดยมีหมาป่าและลิงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหมายความว่าในบริเวณนี้น่าจะมีทั้งฝูงลิงและฝูงหมาป่า
ลิงไม่มีค่า เพราะเป็นสัตว์ที่มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์ คนในแคว้นเซิ่งถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่กินและไม่ล่าลิงโดยเจตนา
หมาป่าส่วนใหญ่เป็นหมาป่าสีเทา เนื้อไม่อร่อย แต่หนังมีมูลค่ามากกว่า
อย่างไรก็ตาม หมาป่าเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง หากไม่มีอาวุธและอุปกรณ์ที่พร้อม การไปยุ่งกับฝูงหมาป่าก็ไม่ต่างอะไรกับการไปตาย ฉินเหยาจึงหลีกเลี่ยงตลอดทาง
ในฤดูกาลนี้ งูส่วนใหญ่ไม่ค่อยออกจากโพรง ทำให้พบเห็นได้ยาก
สำหรับงูตัวเล็กๆ ที่นางผ่าน ฉินเหยาไม่อยากเสียแรงจัดการ แต่กลับเป็นงูที่เห็นนางก่อน มันตกใจจนเลื้อยหายไปในพุ่มไม้ด้วยความรวดเร็ว
ระหว่างมุ่งหน้าไปยังแหล่งน้ำ ฉินเหยายิงธนูไปสองดอก จัดการเพียงพอนหนึ่งตัวและกวางป่าตัวหนึ่ง
หลังจากฝึกยิงธนูเมื่อวาน ระดับความแม่นยำของนางดีขึ้นอย่างมาก นางจงใจยิงสัตว์ทั้งสองให้ไม่โดนจุดสำคัญเพื่อให้พวกมันไม่ตายในทันที ฉินเหยาต้องวิ่งตามพวกมันที่วิ่งหลบหนีไปไกลมาก
โดยเฉพาะเพียงพอนตัวนั้น ซึ่งตัวเล็ก คล่องแคล่วและวิ่งเร็วมาก หากไม่ใช่เพราะลูกธนูที่ติดอยู่ที่หางของมันถูกกิ่งไม้ขวางทางไว้ ฉินเหยาคงต้องวิ่งไล่ตามมันไปอีกไกล
หลังจากถูกจับได้ เพียงพอนตัวเล็กนี้ก็ทำท่าแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างดุร้ายและพยายามกัดฉินเหยา แต่นางฟาดมันจนสลบในทีเดียว
กวางป่าไม่ใช่สัตว์ไร้สมอง แต่เนื่องจากป่าลึกแห่งนี้แทบไม่มีใครมาเยือน มันจึงมัวแต่กินใบไม้อย่างตั้งใจจนไม่ทันสังเกตนักล่าที่เข้าใกล้ ฉินเหยายิงธนูเข้าที่ต้นขาหน้าของมัน มันร้องด้วยความเจ็บและตกใจจึงเริ่มวิ่งหนี
แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ เป้าจึงใหญ่ตามไปด้วยทำให้มันโดนจับได้ง่ายกว่าเพียงพอน ฉินเหยาใช้เชือกยาวคล้องจนมันล้มหน้าทิ่มและจัดการมัดกลับมาได้
ในป่าไม่เคยขาดไม้ไผ่ที่ใช้ทำคานหาม ฉินเหยาตัดกิ่งไม้ใหญ่หนึ่งอันแล้วมัดสัตว์ทั้งสองตัวเข้ากับไม้ หาบไปยังแหล่งน้ำ
แหล่งน้ำนี้เป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในแอ่งกลางยอดเขา น้ำดูเหมือนจะเป็นน้ำพุใต้ดินที่ซึมออกมา น้ำตื้นและใสมาก ทั้งยังยังมีปลาอยู่ในนั้น
รอบบ่อมีร่องรอยของสัตว์เล็กๆ ที่มาดื่มน้ำมากมาย ฉินเหยาวางคานหามลงแล้วหาจุดสะอาดเพื่อล้างหน้า จากนั้นก็ลองจับปลา ไม่น่าเชื่อว่าปลาในบ่อนี้ไม่พยายามหลบหนีทั้งยังเคลื่อนไหวเชื่องช้า ทำให้นางจับได้ทุกครั้งที่ลอง
ไม่นานนัก ฉินเหยาก็จับปลาได้หกตัว แต่ละตัวหนักประมาณสองถึงสามจิน นางใช้เชือกฟางร้อยปลาทั้งหมดแล้วแขวนไว้ที่ปลายอีกด้านของคานหาม จากนั้นเติมน้ำในกระบอกไม้ไผ่จนเต็ม คืนนี้จะมีอาหารพิเศษเพิ่มแน่นอน
ยามพลบค่ำเป็นช่วงเวลาที่สัตว์ป่าในภูเขากระตือรือร้นที่สุด ฉินเหยาจึงออกจากแหล่งน้ำล่วงหน้า หาบสัตว์ที่ล่ามาในวันนี้แล้วหาที่ใกล้ๆ เพื่อซ่อนตัวและสังเกตการณ์
ห่างจากแหล่งน้ำประมาณสองกิโลเมตร นางพบมูลสดกองหนึ่ง ซึ่งดูออกทันทีว่าเป็นของสัตว์ที่ออกมาหลังฝนหยุด
แม้ฉินเหยาอาจไม่สามารถแยกแยะพืชผลในไร่ได้ครบทุกชนิด แต่สำหรับมูลของสัตว์ใหญ่ต่างๆ เพียงแค่เห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นของสัตว์ชนิดใด
นี่เป็นมูลที่ทิ้งไว้โดยหมีดำและจากขนาดของมูล น่าจะเป็นหมีดำที่โตเต็มวัย
ฉินเหยาดีใจจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ แต่ก็เริ่มกังวลเล็กน้อย
หมีมีการได้ยินที่ว่องไวมาก อีกทั้งในฤดูกาลนี้มีอาหารอุดมสมบูรณ์ หมีดำที่กำลังสะสมไขมันเพื่อจำศีลในฤดูหนาวมักไม่ปรากฏตัว การจะดักเจอมันจึงไม่ง่าย
แต่ในเมื่อพบร่องรอยของมันแล้ว ฉินเหยาก็ไม่คิดจะปล่อยมันไป
เมื่อใกล้ค่ำ ฉินเหยานำของที่ล่าได้วันนี้กลับไปยังถ้ำ ก่อไฟย่างปลาสำหรับมื้อพิเศษในขณะคิดหาวิธีล่อหมีดำให้ออกมา
แต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ กลางคืนฝนเริ่มตกอีกครั้ง
และครั้งนี้ฝนตกแบบหยุดๆ ตกๆ ยาวนานถึงสองวัน
ฉินเหยานอนอยู่ในถ้ำ มองกวางและเพียงพอนที่ดิ้นรน รวมถึงไก่ป่าและกระรอกที่จับได้โดยบังเอิญ นางไม่เต็มใจจะลงจากภูเขาโดยไม่มีอะไรติดมือ
หลังจากลังเลไม่นาน นางก็ตัดสินใจพักอยู่ในถ้ำต่อเพื่อรอโอกาสที่เหมาะสม
……
ผ่านไปสี่วันแล้วนับตั้งแต่ฉินเหยาเข้าป่า
ในช่วงสี่วันนั้น ฝนหยุดๆ ตกๆ ไม่ขาดสาย
โชคดีที่หลิวไป่พาสองพี่น้องมาช่วยปลูกเมล็ดข้าวสาลีที่ฉินเหยาทิ้งไว้จนเสร็จในวันแรก
หากช้าไปอีกเพียงครึ่งวัน ข้าวสาลีในที่ดินสองหมู่คงเสียหายหมด
ฝนในฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งครั้งนำมาซึ่งความหนาวเย็น ในเวลาเพียงสี่วัน อุณหภูมิลดลงไปหลายองศา
ในบ้านหลังสุดท้ายของหมู่บ้านตระกูลหลิว หลิวต้าหลางและหลิวเอ้อร์หลางจุดไฟในบ้าน แต่ลมยังคงพัดเข้ามาทางรอยรั่ว แม้จะผิงไฟก็ยังหนาว จนสุดท้ายพี่น้องสี่คนที่สวมเสื้อผ้าบางเบาจึงต้องย้ายขึ้นเตียง ห่มผ้าและผิงไฟไปด้วยจึงอุ่นขึ้นเล็กน้อย
เผือกที่ฉินเหยาทิ้งไว้ให้พวกเขากิน มื้อเช้าของวันนี้กินไปเพียงครึ่งท้องก็หมดเกลี้ยงแล้ว
ฝนที่ตกตลอดเวลาทำให้พื้นดินนอกบ้านเฉอะแฉะ ต้าหลางและเอ้อร์หลางอยากออกไปขุดผักป่าก็ไม่สามารถออกไปได้
หากเปียกฝนจนเป็นหวัดพวกเขาก็ไม่มีเงินซื้อยา มีแต่ต้องตายเท่านั้น
นานหลายวันแล้วที่พวกเขาไม่ได้พบฉินเหยา ซื่อเหนียงนับนิ้วมือทุกวันและถามซ้ำๆ ทุกวันว่า
“พี่ใหญ่ ท่านแม่จะกลับมาเมื่อใดหรือ”
จนมาถึงวันนี้ นางนับนิ้วครบสี่นิ้วแล้วก็ยังถามอีกว่า “พี่ใหญ่ ทำไมท่านแม่ยังไม่กลับมาอีก”
ซานหลางถามเอ้อร์หลางเบาๆ ว่า “นางจะไม่กลับมาแล้วหรือ”
เอ้อร์หลางถลึงตาใส่เขาแล้วพูดว่า “อย่าพูดไร้สาระ รอฝนหยุดแล้วนางจะกลับมา”
ซานหลางเงียบไปสักพัก แต่ในที่สุดก็พูดด้วยใบหน้ากังวลว่า “พี่รอง ท่านว่า หรือว่านางจะถูกสัตว์ป่ากินไปแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ ซื่อเหนียงก็ร้องไห้จ้าออกมา “ฮือๆๆ… ซื่อเหนียงไม่อยากให้ท่านแม่ถูกสัตว์ป่ากิน!”
เมื่อซื่อเหนียงร้องไห้ อีกสามคนในบ้านก็พากันเงียบไป
หลังจากเงียบไปสามวินาที ซานหลางก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ร้องไห้ตามด้วยความคับข้องใจ ยกมือเล็กๆ ปาดน้ำตาพร้อมเอ่ยเจือสะอื้นว่า “ท่านแม่ไม่ต้องการพวกเราแล้ว นางต้องหนีไปแล้วแน่ๆ…”
เอ้อร์หลางมองต้าหลางด้วยความกังวล “พี่ใหญ่ นางหนีไปแล้วจริงๆ หรือ”
ต้าหลางมองดูแฝดชายหญิงที่ร้องไห้จนน่าสงสาร ก่อนจะหันไปมองเอ้อร์หลางที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ความสงสัยที่เขามีมาตลอดหลายวันเหมือนจะได้รับการยืนยัน ความขมขื่นที่รู้สึกเหมือนถูกหลอกลวงและถูกทอดทิ้งพลันพลุ่งพล่านขึ้นมา เขากำลังจะกัดฟันดุให้พวกน้องๆ เลิกคิดถึงนางเสีย
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอก