ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 181 แขกมาเยือนโดยไม่คาดคิด
ฟ้ายังไม่สว่างดี ทว่าลานเรือนเก่ากลับเต็มไปด้วยผู้คน
นางจางหาได้ใจกว้างเช่นนี้บ่อยนัก พวกเขานำเทียนออกมาจุด โคมไฟถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่างแก่เหล่าผู้คนที่ยุ่งวุ่นวายอยู่ในลานเรือน
เมื่อฉินเหยาสองสามีภรรยามาถึง พึ่งจะวางของลงก็ถูกคว้าตัวไปช่วยงานทันที
พี่สะใภ้โจวตะโกนเรียกให้ฉินเหยาหยิบมีดทำครัวไปหั่นผัก ขณะที่หลิวจี้ก็ถูกหลิวเหล่าฮั่นลากตัวไป หยิบสมุดบันทึกของขวัญที่ทำจากกระดาษแดงออกมา และมอบหมายให้เขากับหลิวเฝยรับผิดชอบการจดบันทึกของขวัญ
หลิวจี้รับหน้าที่จดบันทึก ส่วนหลิวเฝยเป็นผู้รับของขวัญ สองคนมองหน้ากันด้วยความไม่สบอารมณ์นัก ทว่าก็ถือว่าต่างฝ่ายต่างคอยตรวจสอบกันไปในตัว
ฉินเหยาเห็นแล้วอดอุทานไม่ได้ ยอดเยี่ยม!
“ข้าจะหั่นเนื้อเอง” ฉินเหยาหยิบมีดของตน หมุนมันบนฝ่ามือหนึ่งรอบ ก่อนจะดึงหมูชิ้นหนึ่งมาวางบนเขียงแล้วฟาดมีดลงไป ตึงๆๆ
“หั่นเป็นชิ้นหรือแล่เป็นแผ่น?” ฉินเหยาถามไปพลาง มือก็ยังคงลงมีดอย่างคล่องแคล่ว
พี่สะใภ้โจวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงสั่น “เอ่อ… สับเป็นเนื้อบดเถอะ อีกเดี๋ยวจะทำลูกชิ้น”
เนื้อแล่บางย่อมไม่พอสำหรับผู้คนมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องบดเนื้อผสมกับผักปั้นเป็นลูกชิ้น แล้วนำไปตุ๋นเป็นน้ำแกง หนึ่งโต๊ะจะมีหม้อหนึ่งใบ
ผู้คนที่นี่ตลอดปีแทบไม่ได้แตะเนื้อสัตว์สักเท่าใด แค่มีน้ำแกงเนื้อหม้อเดียวก็ถือว่าเป็นลาภปากแล้ว
ฉินเหยาพยักหน้า เห็นทีลูกชิ้นเนื้อนี้จะเป็นจานหลัก
ใช้มีดเล่มเดียวช้าเกินไป ฉินเหยาจึงหยิบอีกเล่มขึ้นมา มือทั้งสองข้างขยับขึ้นลง เสียงมีดกระทบเขียงดังสนั่นทั่วพื้นที่เตรียมอาหาร
เสียงสับเนื้อถี่ยิบจนผู้คนรอบข้างถึงกับรู้สึกเสียวฟัน
เพียงแค่เวลาสองเค่อ เนื้อที่คนอื่นต้องใช้เวลาสับหนึ่งถึงสองชั่วยาม ฉินเหยากลับจัดการได้หมดสิ้นในเวลาอันสั้น อีกทั้งยังสับได้ละเอียดและเนียนดี มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเนื้อบดชั้นยอด
พี่สะใภ้โจวและคนอื่นๆ พากันล้อมเข้ามาแล้วยกนิ้วโป้งให้ฉินเหยาเป็นเชิงชื่นชม
ฉินเหยามั่นใจเต็มเปี่ยม สะบัดมีดทำครัวพลางเอ่ยว่า “งานหั่นผักให้ข้าจัดการเอง พวกท่านจัดการล้างให้เรียบร้อยแล้วส่งมาให้ข้า ข้าจะเป็นคนหั่นเอง!”
ทุกคนต่างหัวเราะขบขัน พากันตอบรับ
ภายในโถงเรือน หลิวจี้เฝ้าดูแลสมุดบันทึกของขวัญ ทว่าตอนนี้ไม่มีผู้ใดมามอบของ เขาจึงว่างนั่งแทะถั่วลิสง พอเห็นความคึกคักที่หน้าห้องครัวก็จุปากลอบเอ่ยว่าที่แท้เจ้าก็เป็นพวกชอบอวดเหมือนกัน
ฟ้าสว่างแล้ว วันนี้เป็นวันดีตามคาด แสงตะวันซึ่งหาได้ยากก็ทอขึ้นมา
น้ำชามงคลถูกต้มเสร็จเรียบร้อย ชาวบ้านที่ทำงานบ้านเสร็จแล้วก็เริ่มทยอยกันมา ไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือเด็ก มากันทีละกลุ่ม
หลิวเฝยรับของขวัญจากผู้มาเยือนทุกคนและประกาศเสียงดังทุกครั้ง จนกระทั่งใกล้เที่ยง แขกที่ควรมาก็มากันครบ เขาจึงได้พักเสียงเสียที
ส่วนหลิวจี้นั้นสบายกว่ามาก เพียงแค่จดบันทึกก็พอ
ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลต่างนั่งล้อมอยู่หน้าโต๊ะบันทึกของขวัญ มองหลิวจี้จดบันทึกตัวอักษรทีละขีดทีละเส้นด้วยความสนใจ ราวกับกำลังมองเด็กที่เพิ่งหัดเขียนตำรา แววตาเต็มไปด้วยความเมตตา
นานๆ ทีจะได้เห็นเขาจริงจังเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลจึงเอ่ยคำชมเป็นระยะๆ บอกว่าลายมือเขางดงามนัก เขียนได้ดีมาก
เมื่อได้รับคำชมไม่ขาด หลิวจี้ก็เริ่มหลงระเริง
ยิ่งเขียนก็ยิ่งฮึกเหิม ในที่สุดก็นำกระดาษแดงที่เหลืออยู่มาปูบนโต๊ะแล้วตวัดพู่กันอย่าง ‘องอาจ’ ก่อนเขียนอักษรตัวโตว่าโชคดี
ฉินเหยาถือกะละมังอาหารเดินผ่าน เหลือบตามองดู แวบเดียวก็เห็นว่าลายมือเขาเหมือนรอยขุดของสุนัข คล้ายจะเป็นการทดสอบความอดทนของผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลที่ยังต้องฝืนใจเอ่ยคำชม
นางจางและหลิวจ้งใช้เวลาทั้งเช้าต้อนรับแขก ครั้นเห็นว่าเวลาได้ที่แล้ว นางจางจึงสั่งให้ครัวเริ่มปรุงอาหารพร้อมแจ้งแขกเหรื่อให้นั่งประจำที่ เตรียมเปิดงานเลี้ยง
นางเหอรับหน้าที่เป็นแม่ครัวหลัก ขณะที่นางชิวอยู่ในเรือนคอยดูแลลูกน้อยและต้อนรับญาติฝ่ายมารดา ฉินเหยากวาดตามองไปรอบๆ แล้วพบว่า สุดท้ายแล้วนางที่เป็นเจ้าภาพเพียงครึ่งเดียวกลับต้องมาคอยจัดการให้ผู้อื่น ลุกไปเรียกคนมาช่วยกันตั้งโต๊ะและจัดเรียงถ้วยชามเอง
โชคดีที่ตำแหน่งเถ้าแก่โรงโม่น้ำของนางไม่ได้มาเปล่าๆ หญิงสาวกว่าครึ่งหมู่บ้านยินดีฟังคำสั่งของนาง
ฉินเหยาเรียกบรรดาสตรีที่ว่างอยู่สองสามคน จัดแจงให้พวกนางช่วยกันตั้งโต๊ะและเรียงถ้วยชาม เมื่อจัดการเสร็จ ระหว่างรออาหาร นางจึงได้มีโอกาสไปพบตัวเอกของงานวันนี้
ต้าเหมาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ กินอิ่มแล้วก็นอนหลับสนิท เมื่อตื่นขึ้นมาก็ลืมตากลมแป๋ว มองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น ราวกับรู้ว่าผู้คนมากมายต่างมาที่นี่เพื่อพบเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถมองเห็นอะไรได้หรือไม่
จินฮวาเป็นคนที่ดีใจที่สุดในวันนี้ ท่านยายของนางพร้อมทั้งน้าชาย น้าสะใภ้ รวมถึงพี่ชายพี่สาวฝั่งมารดาล้วนมากันครบ แถมยังมีอาหารและขนมมากมายจนไม่รู้ว่าหยิบมาได้เท่าใดแล้ว
พี่ชายพี่สาวฝั่งมารดายังเต็มใจเล่นการละเล่นใหม่กับนาง ต่างจากจินเป่าและเอ้อร์หลาง ที่มักจะรำคาญพวกเด็กเล็กและไม่ยอมให้ตามติด
ซื่อเหนียงไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไร แต่นางเอาแต่เดินตามพี่สาวลูกพี่ลูกน้อง กินดื่มอย่างเพลิดเพลิน
เมื่อเห็นฉินเหยาเข้ามาดูทารก นางก็ตื่นเต้นรีบพุ่งเข้ามาหาแล้วยื่นถุงผ้าให้ดู “ท่านแม่! ข้าเอาขนมกรอบมาให้ท่าน”
ฉินเหยาก้มมอง ถุงใบเล็กของนางแน่นไปด้วยขนมกรอบทอดและถั่วลิสง ดูแล้วเก็บมาไม่น้อยเลย
ฉินเหยาหยิบขนมกรอบมาเม็ดหนึ่ง โยนเข้าปากไปแต่ยังไม่ได้ลิ้มรส ซื่อเหนียงก็ถามขึ้นมาด้วยความคาดหวังว่า
“อร่อยไหม? อร่อยล่ะสิ พี่สาวลูกพี่ลูกน้องบอกว่าขนมนี้มีขายแค่ในตลาดในตัวอำเภอของพวกนางเท่านั้น”
ฉินเหยาเพียงพยักหน้าสองที ตอบส่งๆ ไปว่า “อร่อย”
เด็กหญิงหัวเราะแหะๆ ได้ยินเสียงพี่จินฮวาเรียกอยู่ด้านนอกก็รีบวิ่งพรวดออกไปทันที
ฉินเหยาเอ่ยเตือนอย่างจนใจ “อย่าวิ่งไปไกลนัก อีกเดี๋ยวจะเริ่มงานเลี้ยงแล้ว!”
“รู้แล้ว ข้าอยู่ตรงประตู พี่ใหญ่พวกเขาก็อยู่” ซื่อเหนียงหันมาตอบอย่างว่าง่าย
เห็นฉินเหยายกมือโบก นางจึงค่อยรีบวิ่งออกไปพร้อมกับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของจินฮวา
ฉินเหยาเดินมาถึงข้างเตียง หยอกล้อต้าเหมาที่ยังไม่รู้จักโต้ตอบ พลางถือโอกาสทำความรู้จักกับบ้านฝั่งมารดาของนางชิว
คนทั้งกลุ่มพากันล้อมเข้ามาสอบถามเรื่องราวของนางต่างๆ นานา ฉินเหยาเริ่มหวาดหวั่น รีบหาข้ออ้าง ก่อนจะฉวยโอกาสหลบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว
อาหารใกล้จะสุกแล้ว นางเหอจึงเอ่ยเรียกทุกคนให้ไปช่วยยกสำรับ
ฉินเหยากำลังจะลุกไป ทันใดนั้นหน้าประตูกลับมีเกวียนวัวหยุดลงอย่างคาดไม่ถึง หญิงชราผู้หนึ่งที่ดูแข็งแรงกระฉับกระเฉงพร้อมคู่สามีภรรยาวัยยี่สิบเจ็ดแปดปีก้าวลงจากเกวียน ส่งเสียงเรียกเด็กๆ ที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความลังเล “ต้าหลาง? เอ้อร์หลาง?”
นางจางคิดว่าเป็นแขกเดินทางมาไกลจึงรีบเรียกให้หลิวจ้งออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
แต่แล้ว สีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน
หลิวจ้งหันหน้าไปทางเรือนหลักก่อนตะโกนเสียงดังลั่น “เจ้าสาม รีบมาเดี๋ยวนี้!”
เขาพยายามสะกดความตื่นตระหนกและวุ่นวายในใจ หันไปมองนางจางกับหลิวจ้ง
ทั้งสองเองก็มองเขาเช่นกัน แววตาของทั้งสามเต็มไปด้วยความตกตะลึง ใครเป็นคนเชิญพวกเขามา?
ยังดีที่นางจางเป็นฝ่ายตั้งสติได้ก่อน สีหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มยินดี แม้ว่ามันจะฝืนใจไม่น้อยก็ตาม “บ้านสะใภ้มาหรือ เชิญเข้ามาเร็วเข้า!”
เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นช่างฝืนเกินไป อีกฝ่ายมองเพียงแวบเดียวก็เห็นความกระอักกระอ่วนและความตกใจในดวงตาของนางได้
หลิวจี้ได้สติกลับมา รีบคารวะหญิงชราผู้นั้นด้วยความเคารพ “ท่านแม่ยาย” จากนั้นก็หันไปหาคู่สามีภรรยาที่มาด้วยกันกับนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างสุภาพว่า
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ หลายปีแล้วที่ไม่ได้พบกัน พวกท่านสบายดีหรือไม่ หลานๆ คงโตกันหมดแล้วสินะ มาถูกจังหวะพอดีเลย กำลังจะเริ่มงานเลี้ยงกันพอดี รีบเข้ามาสิ”
พี่ใหญ่ม่อและพี่สะใภ้ใหญ่ม่อพยักหน้า พยุงมารดาเดินเข้ามาในลานบ้าน
หลิวจี้เองก็ยื่นมือจะเข้าช่วยพยุง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับแค่นเสียงเย็นชาใส่เขา “เจ้าหลิวสาม มีเมียใหม่แล้วก็ลืมคนเก่า ตอนนี้เจ้าคงรุ่งเรืองมากสินะ”
ว่าเขาเสร็จก็หันไปมองเด็กๆ ที่อยู่หน้าลานบ้าน สีหน้าท่าทีอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย
“ต้าหลาง เอ้อร์หลาง พาน้องๆ ของเจ้ามานี่สิ ให้พวกเขามารู้จักท่านลุงและภรรยาท่านลุงของพวกเจ้า”
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางพาฝาแฝดชายหญิงที่ยังสับสนเดินมาหยุดตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านยาย ท่านลุงใหญ่ ป้าสะใภ้ใหญ่”
ฉินเหยาที่ยืนอยู่ใต้ชายคากะพริบตาปริบๆ ไม่คิดเลยว่าผู้ที่มาเยือนจะเป็นมารดา พี่ใหญ่ ป้าสะใภ้ใหญ่ตระกูลม่ออดีตภรรยาของหลิวจี้
………………..