ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 182 ปริมาณอาหารเพียงพอแน่นอน
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 182 ปริมาณอาหารเพียงพอแน่นอน
มีแขกพิเศษจากตระกูลม่อกันสามคน ทุกคนต่างมีปฏิกิริยาประหลาดไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเริ่มมื้ออาหาร
หลิวจี้เรียกต้าหลางกับเด็กอีกสี่คน รวมถึงหลิวไป่มานั่งร่วมโต๊ะกับคนของตระกูลม่อ
ฉินเหยากับเหล่าผู้ช่วยทำอาหารนำอาหารทั้งหมดขึ้นโต๊ะก่อน จากนั้นพวกนางจึงไปนั่งรวมกันที่โต๊ะมุมห้อง
ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลตั้งใจจะเรียกนางให้ไปนั่งที่โต๊ะหลัก แต่เมื่อมองไปยังตระกูลม่อสามคนนั้นแล้วก็ลังเล คิดจะพูดแล้วก็หยุด หยุดแล้วก็คิดจะพูดอีก สุดท้ายก็ปล่อยตามใจนาง
ฮูหยินผู่เฒ่าม่อมองดูหลานทั้งสี่ด้วยสายตาเวทนา โดยเฉพาะคู่แฝดชายหญิงที่ยังเล็กนักและไม่เคยพบมารดามาก่อน เมื่อนางเห็นว่าเนื้อและผักถูกนำมาขึ้นโต๊ะนางก็ตักน้ำแกงลูกชิ้นเนื้อให้ซานหลางและซื่อเหนียงคนละชามด้วยความว่องไว
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางเหลือบมองท่านพ่อ สามพ่อลูกสบตากันคล้ายมีเข็มทิ่มแทงอยู่ใต้ก้น นั่งอย่างกระสับกระส่าย
ตั้งแต่คนตระกูลม่อเข้ามา หลิวจี้ก็ไม่กล้าสบตากับฉินเหยาแม้แต่น้อย นั่งก้มหน้าไม่รู้ว่าใจลอยไปถึงที่ใด ไม่ว่าฮูหยินผู่เฒ่าม่อจะเหน็บแนมเช่นไร เขากลับทำเป็นหูทวนลม
ฮูหยินผู่เฒ่าม่อเห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านของเขาก็ยิ่งขัดหูขัดตา ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
พี่ใหญ่ม่อกับสะใภ้ใหญ่ม่อกลับใส่ใจต้าหลางกับเอ้อร์หลางเป็นพิเศษ เอ่ยถามเรื่องชีวิตประจำวันของพี่น้องทั้งสองมากมาย
เช่น บ้านนี้กินอะไรกัน นอนอย่างไร ถูกแม่เลี้ยงตีบ้างหรือไม่
ตอนแรกพวกเขายังตอบได้ปกติ แต่พอได้ยินคำถามสุดท้าย สองพี่น้องก็สะดุ้งโหยง รีบเหลือบมองไปยังโต๊ะมุมห้องทันที เห็นฉินเหยากำลังก้มหน้ากินข้าวไม่ทันได้ฟัง พวกเขาจึงลอบถอนหายใจโล่งอกแล้วพร้อมใจกันส่ายหน้าบอกว่าพวกตนไม่เคยถูกแม่เลี้ยงตี
แต่พี่ใหญ่ม่อและสะใภ้ใหญ่ม่อกลับไม่เชื่อ เพราะเมื่อครู่สองพี่น้องเพิ่งสะดุ้งตกใจ แถมยังมองไปที่ฉินเหยาโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ยิ่งทำให้ทั้งสองเข้าใจผิด คิดว่าพวกเขาไม่กล้าพูดความจริงเพราะกลัวแม่เลี้ยงและยิ่งรู้สึกสงสารพวกเขามากขึ้น
สะใภ้ใหญ่ม่อลูบไหล่ทั้งสองเบาๆ “ช่างน่าสงสารนัก เหตุใดถึงได้ผอมเช่นนี้ หรือว่าปกติไม่ได้กินอิ่ม”
เอ้อร์หลางอุทาน “หา” แล้วโพล่งถามกลับไปว่า “ที่บ้านของท่านป้าสะใภ้ได้กินอิ่มทุกมื้อเลยหรือ”
ในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ มีบ้านไหนกันที่สามารถกินอิ่มได้ทุกมื้อ
แต่ว่าบ้านพวกเขานั้น ทุกมื้อสามารถกินอิ่มได้จริงๆ
สะใภ้ใหญ่ม่อกระตุกมุมปากอย่างกระอักกระอ่วน ไม่ตอบคำ เพราะบ้านของนางเองก็มีเพียงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวเท่านั้นที่สามารถกินเต็มอิ่มได้
ซานหลางยืดอก ชูสามนิ้วขึ้นมาอย่างซื่อสัตย์ “พวกเรากินวันละสามมื้อเลยล่ะ!” ภาคภูมิใจสุดๆ
พี่ใหญ่ม่อหันไปมองหลิวจี้พลางถามหยั่งเชิง “ได้ยินมาว่าบ้านเจ้าเปิดโรงงานเล็กๆ หาเงินได้ดี แล้วเจ้ายังกลับไปเรียนที่สำนักศึกษาในอำเภออีก เดิมทีข้ายังไม่ค่อยเชื่อ แต่ดูท่าแล้วเป็นเรื่องจริงสินะ”
หลิวจี้พยักหน้าอย่างยากลำบาก กลัวว่าคนตระกูลม่อจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบายทันที
“โรงงานนั่นเป็นเรื่องจริง ข้ากลับไปเรียนที่สำนักศึกษาก็เป็นเรื่องจริง แต่โรงงานนั้นเหยาเหนียงเป็นคนสร้างขึ้น ส่วนสำนักศึกษาก็เป็นนางที่ส่งข้าไป”
กลัวว่าทั้งสามจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ หลิวจี้จึงยกสองมือขึ้นประกบกัน ทำท่าทางเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอก “ข้า ข้าก็แค่คนที่ต้องพึ่งพาสตรีให้เลี้ยงดูเท่านั้น”
ดังนั้นอย่าได้คิดมาหมายตาเงินของบ้านเขาเด็ดขาด หากจะขอเงินจากเขา เขาไม่มีให้แม้แต่เหวินเดียว!
ว่ากันว่าไม่มีเรื่องก็คงไม่มาหา หลิวจี้ไม่เชื่อว่าคนตระกูลม่อมาเพราะคิดถึงหลานจริงๆ หากจะมาคงมานานแล้ว
น่าเสียดาย ผ่านมาหลายปีไม่เคยเห็นพวกเขาโผล่หน้ามาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ต้าหลางกับเอ้อร์หลางไม่เคยได้กินแม้แต่ข้าวชามเดียวจากบ้านท่านลุงของพวกเขา
หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ตอนที่มารดาของเด็กๆ ยังมีชีวิตอยู่ เวลาที่บ้านมารดาของนางมาเยือน ทุกครั้งนางม่อล้วนต้องเป็นฝ่ายส่งข้าวของกลับไปให้
แม้ว่าหลิวจี้ในอดีตจะทำผิดต่อตระกูลม่อ แต่เมื่อเทียบกับคนตระกูลม่อแล้ว เขาก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
หลิวจี้มองสามคนนั้นด้วยสายตาแฝงความระแวง ทำให้พี่ใหญ่ม่อถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ใครบอกให้เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กัน พวกข้าไม่ได้มาที่นี่เพราะต้องการเงินของเจ้า ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นคนไร้ค่า ไร้ความสามารถ น่าสงสารก็แต่น้องสาวข้า นางจากไปเร็ว วันเวลาดีๆ เช่นนี้นางกลับไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อใช้มัน!”
สะใภ้ใหญ่ม่อก้มหน้าลงก่อนเอ่ยถามต้าหลาง “เจ้าแบ่งข้าวให้แม่ของเจ้าหรือยัง อย่ามัวแต่กินเพียงลำพัง แม่ของเจ้ายังไม่ได้กินเลยนะ ข้าว่าพวกเจ้ามีทั้งพ่อทั้งแม่แล้ว เหตุใดไม่มีใครสอนเรื่องมารยาทให้พวกเจ้าบ้าง”
ต้าหลางชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น การที่ต้องวางอาหารไว้ให้ผู้อาวุโสผู้ล่วงลับก่อนจะเริ่มรับประทาน เขาย่อมรู้กฎข้อนี้ดีอยู่แล้ว
แต่ทว่า นี่เป็นงานเลี้ยงของผู้อื่นมิใช่หรือ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าม่อจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ทว่าความโศกเศร้าในแววตากลับยิ่งเข้มข้นกว่าเดิม นางทอดถอนใจกล่าวว่า “ลูกสาวที่น่าสงสารของข้า หลานที่น่าสงสารของข้า หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่าต้องทนทุกข์เพียงใด…”
หลิวจี้รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที เกรงว่าทุกคนจะพากันหันมามอง รีบเอ่ยขึ้นว่า “กินเถิด กินเถิด หากไม่รีบกิน เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด”
คนตระกูลม่อทั้งสามจึงเลิกย้อนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต
เอ้อร์หลางกับต้าหลางต่างลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ได้กินลูกชิ้นเนื้อเสียที
ซื่อเหนียงถือถ้วยข้าวไว้ในมือ แต่ไม่อยากกินตรงนี้ นางอยากไปหาท่านแม่
ร่างน้อยกระโดดลงจากม้านั่งยาวในพริบตา จากนั้นรีบวิ่งไปยังโต๊ะมุมห้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
“ท่านแม่ ข้าอยากกินกับท่าน” เด็กหญิงเงยหน้ามองด้วยดวงตากลมโตเปี่ยมความคาดหวัง
ฉินเหยาเคี้ยวเนื้ออยู่เต็มปาก นางพยักหน้ารับ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งอุ้มร่างเล็กขึ้นมานั่งที่ว่างข้างตน
ซื่อเหนียงยิ้มแย้มแจ่มใสในทันที นางชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะที่คีบเองไม่ได้แล้วออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ข้าอยากกินอันนี้ ข้าอยากกินอันนั้นแล้วก็ไชเท้าอันข้างๆ นั่นด้วย…”
ฉินเหยากินไปพลาง คีบอาหารให้บุตรสาวไปพลาง ไม่ให้เสียเวลาแม้แต่น้อย
เด็กหญิงก้มหน้าก้มตากินอย่างพอใจ ถ้วยข้าวเต็มไปด้วยอาหารที่นางต้องการ นางนั่งอย่างเรียบร้อย ใช้ตะเกียบคีบอาหารคำโตเข้าปากโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ร่างเล็กๆ ที่ตั้งอกตั้งใจกินเช่นนี้ ทำให้บรรดาสตรีที่นั่งร่วมโต๊ะ โดยเฉพาะพี่สะใภ้โจวพากันหลงรักนางจนหมดใจ
พอหันไปมองก็เห็นเด็กซุกซนของบ้านตนยืนเกาะขอบโต๊ะ ไม่ยอมเชื่อฟังให้นั่งดีๆ เอาแต่เล่นไปกินไป โมโหจนคันฟันยุบยิบ
พี่สะใภ้โจวมองซื่อเหนียงด้วยความเอ็นดูก่อนเอ่ยด้วยความชื่นชมว่า “ซื่อเหนียงนี่ช่างมีระเบียบจริงๆ”
ฉินเหยาพยักหน้ารับหงึกๆ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ
แต่ระเบียบวินัยที่ดีเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่เด็กสามารถเรียนรู้ได้เอง หากปราศจากการอบรมสั่งสอนและความอดทนของพ่อแม่แล้ว เด็กที่กำลังอยู่ในวัยซุกซนนั้น จะสามารถนั่งนิ่งได้อย่างไร
พี่สะใภ้โจวมองดูเด็กทั้งสี่ของตระกูลหลิวที่นับวันยิ่งดูน่ารักขึ้นเรื่อยๆ นางรู้ถึงความลำบากของฉินเหยาในการอบรมเด็กเหล่านี้ เมื่อหันไปมองทางตระกูลม่อ ก็กลัวฉินเหยาจะคิดมากจึงยกมือขึ้นตบแขนอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อปลอบใจ แสดงให้เห็นว่านางอยู่ข้างเดียวกับฉินเหยา
ไหนเลยจะเป็นอย่างที่คนทั้งสามจากตระกูลม่อกล่าว?
แต่ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดใครๆ ล้วนพูดกันว่าการเป็นแม่เลี้ยงนั้นยากนัก หากเข้มงวดเกินไป คนอื่นก็จะหาว่าทารุณเด็ก
หากไม่เข้มงวดก็จะหาว่าไร้หัวใจ ไม่อยากเห็นลูกเลี้ยงได้ดี
ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ต้องถูกติเตียนอยู่ดี สำหรับแม่เลี้ยงแล้ว ทุกสิ่งที่กระทำล้วนเป็นความผิด
ฉินเหยารู้สึกถึงสัมผัสบนแขนจึงเงยหน้าจากถ้วยข้าว สบตากับพี่สะใภ้โจว แววตาฉายแววสงสัยว่ามีเรื่องอันใดหรือไม่
เมื่อเห็นดวงตาดำขลับใสกระจ่างคู่นั้น พี่สะใภ้โจวกลับกลืนคำปลอบโยนลงคอไป
“ช่างเถอะ เจ้ากินเยอะๆ หน่อย อาหารพวกนี้เจ้าลงมือหั่นเอง วันนี้เจ้าทำงานหนักที่สุด ควรกินให้มาก”
ฉินเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พวกท่านก็กินเถิด อาหารมีมากเพียงพอ”
จะไม่พอได้อย่างไร
เพราะรู้ถึงปริมาณอาหารที่นางสามารถกินได้ นางเหอจึงจงใจตักอาหารบนโต๊ะนี้ให้มากเป็นสองเท่าของโต๊ะอื่น
………………..