ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 183 ตระกูลเจ้าล้วนต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 183 ตระกูลเจ้าล้วนต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์
เมื่อเสร็จสิ้นมื้อหลัก เหล่าชาวบ้านที่อิ่มหนำสำราญต่างพากันกลับบ้านไปพักผ่อน รอให้ถึงช่วงบ่ายจึงค่อยกลับมากินอีกครั้ง
ฉินเหยาก็กินอย่างอิ่มเอมใจยิ่งนัก เมื่ออิ่มหนำแล้วก็จูงซื่อเหนียงออกไปเดินเล่นย่อยอาหารอย่างเปิดเผยโดยไม่คิดจะแตะต้องภาระเก็บล้างจานชามแต่อย่างใด
แน่นอน เว้นเสียแต่นางสมัครใจเอง หาไม่แล้วแม้แต่คนในหมู่บ้านตระกูลหลิวก็ไม่มีผู้ใดกล้าสั่งให้นางทำงาน
ฮูหยินผู้เฒ่าม่อกับสะใภ้ใหญ่ม่อได้แต่มองตามหญิงสาวที่เป็นภรรยาใหม่ไปอย่างตกตะลึง นางจากไปอย่างสบายอกสบายใจ เดิมหมายจะหาโอกาสพูดคุยกับนางสักสองสามคำ แต่กลับไม่มีโอกาสเลย
กลับเป็นหลิวจี้เสียอีก เมื่อเห็นฉินเหยาออกไป เขากลับถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ตอนนี้ฉินเหยาไปแล้ว เขาก็สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่!
ในห้องของนางชิวได้เชิญท่านยายหวังมาทำพิธีอาบน้ำในวันที่สามให้เด็กน้อย เนื่องจากอากาศหนาวเย็น ทุกคนจึงปิดประตูแล้วมารวมตัวกันอยู่ในห้องที่ก่อไฟถ่านอุ่นๆ คอยชมพิธี
หลิวจี้มองไปยังโถงบ้านที่ว่างลง จากนั้นจึงพาคนตระกูลม่อทั้งสามไปนั่งที่มุมหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกท่านคิดจะกลับเมื่อใด ทางมันไกลอยู่นะ รีบกลับจะได้ไม่ต้องเดินกลับตอนดึกดื่น”
ฮูหยินผู้เฒ่าม่อขมวดคิ้วทันที “เจ้าหลิวสาม เจ้ารีบร้อนจะไล่ข้าไปแล้วรึ ข้ามาเยี่ยมหลาน เจ้าเกรงกลัวสิ่งใด หรือกลัวว่าพวกข้าจะไปหาเรื่องเมียน้อยของเจ้ากัน”
หลิวจี้เบิกตากว้าง มองนางพลางยกนิ้วโป้งขึ้น “ท่านช่างเก่งกล้ายิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนเรียกฉินเหยาว่าเมียน้อย หากนางโมโหขึ้นมาเกรงว่าพวกท่านทั้งหมดจะต้านไม่ไหวเสียด้วยซ้ำ!”
“ทำไม” สะใภ้ใหญ่ม่อเดือดพล่าน ตั้งแต่นางก้าวเท้าเข้ามาในบ้านตระกูลหลิว นางก็อัดอั้นมาตลอด บัดนี้เมื่อสบโอกาส นางจึงตะโกนขึ้นทันที
“ก็แค่เมียน้อยที่เพิ่งแต่งเข้ามา มีสิทธิ์อะไรมาทำตัวร้ายกาจเพียงนี้? หลานๆ ข้าล้วนถูกนางรังแกจนกลายสภาพเป็นอะไรแล้ว วันนี้พวกข้ามาก็เพื่อทวงความยุติธรรมให้แก่น้องสาว นางเพิ่งตายไปไม่นาน กระดูกยังไม่ทันเย็น พวกเจ้ากลับสมคบคิดกันรังแกลูกๆ ของนางแล้วหรือ”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทั้งลานบ้านก็ตกตะลึง
ต้าหลาง เอ้อร์หลางและซานหลางต่างเบิกตากว้าง มองป้าสะใภ้ของตนอย่างงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าตนพูดสิ่งใดผิดไป ถึงทำให้นางเข้าใจท่านแม่ผิดถึงเพียงนี้ ภายในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง
โชคดีที่ฉินเหยาออกไปข้างนอกแล้ว หมู่บ้านเล็กๆ ในเดือนแรกของปี แม้จะเงียบเหงาแต่ก็งดงามในแบบของมัน
ส่วนความวุ่นวายภายในเรือนเก่าจะเกี่ยวอะไรกับนางเล่า
คนที่ควรจะขอโทษต่อตระกูลม่อไม่ใช่นาง แต่เป็นหลิวจี้ เขาสมควรโดนแล้ว!
ภายในเรือนเก่ายังคงโหวกเหวกโวยวายต่อไป ขณะที่ฉินเหยาจูงซื่อเหนียงออกไปเล่นสนุกกลางทุ่งนาอย่างสบายใจตลอดบ่าย
ทว่าเมื่อกลับมาถึงเรือนเก่าแล้วพบว่าสามคนจากตระกูลม่อยังอยู่ นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วใส่หลิวจี้
ให้เวลาทั้งบ่ายแล้วยังจัดการไม่เสร็จอีกหรือ
หลิวจี้จัดการแล้ว แต่ยังไม่เรียบร้อยดี
เขาขู่พวกตระกูลม่อจนหวาดกลัวไปไม่น้อย ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าม่อยังคงยืนกรานว่าจะต้องพบฉินเหยาให้ได้ก่อนถึงจะจากไป
ฉินเหยาส่งสายตาให้ซื่อเหนียงไปเล่นกับจินฮวา ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามายังห้องโถง
ก็ไม่รู้ว่าหลิวจี้ขู่พวกนั้นอย่างไร แต่พอเห็นนางเดินเข้ามา คนตระกูลม่อทั้งสามคนก็ยืดตัวตรงอย่างพร้อมเพรียงแววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวังและเป็นปฏิปักษ์
ฉินเหยาหยุดยืนตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าม่อ ก่อนหลุบตามองนางพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “มีเรื่องอันใด”
ฮูหยินผู้เฒ่าถูกนัยน์ตาดำสนิททั้งสองข้างของนางจ้องมองจนรู้สึกขนลุกไปหมด นางกลืนน้ำลายอึกหนึ่งเงียบๆ แล้วฝืนยืดอกแสดงอำนาจความเป็นผู้อาวุโสออกมา ก่อนจะเอ่ยว่า
“บุตรสาวข้าตายจากไปเร็ว ตอนนี้เหลือเพียงต้าหลางสี่พี่น้องที่น่าสงสาร ข้าได้หารือกับพวกท่านลุงของพวกเขาแล้ว ตั้งใจจะพาพวกเด็กๆ กลับไปอยู่บ้านสักสองสามวัน เพื่อให้พวกเขาได้ใกล้ชิดกับครอบครัวฝั่งมารดาบ้าง”
“ไม่ได้” ฉินเหยาปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด และไม่จำเป็นต้องขอความคิดเห็นจากผู้ใดในตระกูลหลิวทั้งสิ้น
ท่าทีเช่นนี้ทำให้คนทั้งสามจากตระกูลม่อตกตะลึงไปชั่วขณะ ช่างเผด็จการเสียจริง!
ดูท่าว่าเจ้าหลิวสามมิได้หลอกลวงพวกเขา เมียน้อยคนใหม่ที่เขาเพิ่งแต่งเข้ามา เป็นนางมารที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาจริงๆ!
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้พวกเขาไม่วางใจที่จะปล่อยเด็กสี่คนไว้ในมือของนาง
พวกเขาได้ยินมาจากชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลหลิวว่า ต้าหลางกับเอ้อร์หลางจะไปเรียนที่สำนักศึกษาตระกูลติงในเดือนสอง เด็กสองคนนี้ต่อไปต้องมีอนาคตที่สดใส!
เช่นนี้ เมื่อเด็กทั้งสองเติบโตมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ พวกเขาจะได้ไม่ลืมที่จะช่วยเหลือวงศ์ตระกูลฝั่งมารดา
แผนการของคนตระกูลม่อทั้งสามนั้นชัดเจนเสียจนฉินเหยาถึงกับพูดไม่ออก ทั้งจริงแท้และอัปลักษณ์เสียเหลือเกิน
เห็นว่าพวกเขายังคิดจะรบเร้าไม่หยุด ฉินเหยาจึงหันกลับไปมองต้าหลางสามพี่น้องที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามขึ้นว่า “พวกเจ้าอยากไปบ้านมารดาหรือไม่”
ขณะที่นางเอ่ยถามเด็กๆ นั้น น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าปกติอยู่มาก ทว่านั่นมิใช่ความอ่อนหวาน หากเป็นท่าทีของผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กๆ
ซานหลางหันไปมองพี่ชายทั้งสอง ต้าหลางและเอ้อร์หลางกล่าวขึ้นพร้อมกันว่า “พวกเราอยากอยู่บ้านของตนเอง”
เมื่อเป็นเช่นนั้น ซานหลางจึงกล้าพูดความจริง เขารีบวิ่งไปกอดฉินเหยาแน่น ซุกใบหน้าเข้ากับร่างของนาง แสดงท่าทีออดอ้อนเต็มที่ “ซานหลางไม่ไปบ้านพวกเขา ซานหลางอยากอยู่บ้านของพวกเรา”
ฉินเหยาแบมือไปทางคนตระกูลม่อแล้วกล่าวว่า “เด็กๆ ไม่อยากไปกับพวกเจ้า เช่นนั้นก็ช่างเถอะ กินมื้อนี้ให้เสร็จก่อน ข้าจะให้หลิวจี้ไปส่งพวกเจ้ากลับ”
หลิวเหล่าฮั่นกับนางจางเองก็เดินเข้ามากล่าวอย่างสุภาพว่าในเมื่อเด็กๆ ไม่ต้องการก็อย่าบังคับเลย อีกทั้งยังมีพวกเขาในฐานะท่านปู่ท่านย่าคอยดูแลอยู่
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถรีดไถเงินจากหลิวจี้ได้สักเหวินและยังพาเด็กๆ ไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว ฮูหยินผู้เฒ่าม่อก็โกรธฮึดฮัด ลุกพรวดขึ้นแล้วเดินกระทืบเท้าออกไป “ไม่กินแล้ว พวกข้าไม่อยากกินข้าวตระกูลหลิวของพวกเจ้า!”
พี่ใหญ่ม่อและสะใภ้ใหญ่ม่อรีบตามไป ก่อนออกประตูไปยังไม่วายหันมากล่าวประชด
“คนจากไปแล้ว ตระกูลหลิวของพวกเจ้ากลับไม่มีเยื่อใยเลยสักนิด ช่างไร้หัวใจนัก ระวังสวรรค์จะลงทัณฑ์!”
หลิวจี้ฟังแล้วไม่สบอารมณ์ ก้าวพรวดสองก้าวตามไปด่ากลับ “พวกเจ้าต่างหากที่สวรรค์จะลงทัณฑ์! ลงทัณฑ์ทั้งตระกูลของเจ้า! ข้าว่าเจ้ามันพวกไม่มีเรื่องไม่มาเยือน แกล้งมาทำดีด้วย แต่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย!”
“เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เด็กๆ ต้องลำบากตรากตรำพวกเจ้าไยไม่มารับไป? ตอนนี้เห็นว่าตระกูลข้าอยู่ดีมีสุข มีผลประโยชน์ให้เก็บเกี่ยว ถึงรีบร้อนมาหา ข้าไม่สนญาติอย่างพวกเจ้าหรอก รีบไปเสียเถิด อย่ามาทำให้ฮวงจุ้ยบ้านข้าเสื่อมเสีย!”
คำพูดรัวเร็วเหล่านั้นทำให้พี่ใหญ่ม่อและสะใภ้ใหญ่ม่อโกรธจนแทบหายใจไม่ทัน แต่หลิวจี้ก็ยังไม่ยอมเลิกรา เอ่ยเสริมว่า
“วันมงคลของหลานข้า ถูกพวกเจ้าทำเสียเละตุ้มเป๊ะ… อัปมงคลนัก!”
แต่ความน่าเกรงขามพังทลายไปแล้ว ต่อให้ทำเช่นไรก็ทำได้เพียงทิ้งคำขู่ที่ไม่หนักไม่เบาไว้ว่า “หลิวจี้เจ้าจงระวังให้ดีเถอะ คืนนี้น้องสาวข้าจะมาหาเจ้า!”
ตอนแรกหลิวจี้มิได้ใส่ใจคำพูดนั้น ตลอดช่วงเย็นเขายังคงลิงโลดอยู่กับชัยชนะที่จัดการพวกตระกูลม่อได้เพียงลำพัง
จนกระทั่งยามดึก ขณะที่เขากำลังอยู่ในความฝัน ทันใดนั้นก็สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายจนร้องลั่นออกมา “เมียจ๋าช่วยด้วย!!!”
ทั้งบ้านถูกเสียงตะโกนของเขาทำให้สะดุ้งตื่น
ฉินเหยาฉวยดาบพุ่งพรวดออกจากห้องดั่งสายลม ปรากฏกายขึ้นที่หน้าเตียงของเขา “เกิดอะไรขึ้น เจ้าร้องให้ช่วยทำไม คนที่จะฆ่าเจ้าอยู่ที่ใด”
เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยและให้ความรู้สึกปลอดภัย หลิวจี้ที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายก็คิดเพียงอยากพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นของนางเพื่อขอการปลอบโยน
น่าเสียดายที่ยังไม่ทันเข้าใกล้ตัวนางก็ถูกเตะปลิวไปเสียก่อน!
“อ๊ากกก!”
หลิวจี้กุมหน้าอก ร่างกระแทกที่นอนดังโครม แต่ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยเช่นนี้กลับทำให้เขาตื่นเต็มตา สำนึกได้ว่านั่นเป็นเพียงฝันเท่านั้น ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ต้าหลางที่ตามมาทีหลังจุดเทียนขึ้น แสงสว่างภายในห้องเผยให้เห็นใบหน้าของหลิวจี้ที่เต็มไปด้วยเหงื่อ แวววาวเป็นประกาย ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวของเขาดูจะสะท้อนแสงเป็นพิเศษ
………………..