ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 185 เจ้าอยากโกงหรือ
ตอนที่บรรยากาศเงียบงัน ฉินเหยามองไปยังแนวเขาตรงหน้าและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม “สถานที่นี้ทิวทัศน์ช่างกว้างไกลยิ่งนัก”
ท่าทางราวกับกำลังคาดหวังว่าหากตนตายไปคงดีไม่น้อยหากได้ถูกฝัง ณ ที่แห่งนี้
สามพ่อลูกที่กำลังเศร้าสลดถึงกับชะงักพร้อมกัน นี่มัน…สมแล้วที่เป็นตัวทำลายบรรยากาศ!
วัชพืชถูกกำจัดออกไป กองดินที่พังทลายถูกถมใหม่ด้วยจอบ ป้ายไม้ถูกเช็ดจนสะอาด สุดท้ายหลุมฝังศพนี้ก็มีสภาพดูสมเป็นที่ฝังศพ
หลิวจี้ที่ปกติไม่เอาการเอางานนัก ครั้งนี้กลับดูมีสีหน้ารู้สึกผิดอยู่บ้าง เขาพาลูกๆ ทั้งสี่มากราบไหว้อย่างจริงจัง
ฉินเหยายืนรออยู่ข้างๆ อย่างอดทน ระหว่างนั้นก็ก้มลงเด็ดหน่อผักป่าที่เพิ่งโผล่พ้นดิน ตั้งใจจะนำกลับไปต้มน้ำแกงกินที่บ้าน
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางยืนอยู่หน้าหลุมศพของมารดาผู้ให้กำเนิด พูดคุยหลายสิ่งราวกับนางยังอยู่ตรงหน้า
พวกเขาบอกว่ายามนี้ตนเองมีชีวิตที่ดีมากแล้ว ได้เรียนรู้ทักษะหลายอย่างจากแม่เลี้ยง ขอให้มารดาไปสบายและไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา
หลิวจี้เองก็รีบเสริมขึ้นมา “เจ้าไปเกิดใหม่ให้สบายเถอะ อย่าได้กังวลในตัวข้าอีกเลย ชาติหน้าก็ไปเกิดในตระกูลดีๆ แล้วแต่งกับบุรุษที่สูงศักดิ์เถอะนะ”
ซื่อเหนียงทนฟังท่านพ่อของตนพูดจาเข้าข้างตนเองไม่ไหวจึงขมวดคิ้วเล็กๆ แล้วเอียงคอเดินไปหาหลิวจี้ “ท่านพ่อ ท่านช่างไร้ยางอายจริง”
หลิวจี้โบกมือไล่ “ไปๆ ไปรออยู่ข้างๆ นู่น”
เด็กตัวเล็กๆ จะไปรู้อะไรกัน คนฝันร้ายก็ไม่ใช่นางเสียหน่อย
หลังจากพ่อลูกคารวะอีกครั้ง พวกเขาก็เก็บข้าวของแล้วเรียกฉินเหยากลับบ้าน
ตลอดทาง หลิวจี้รู้สึกได้ว่าฉินเหยากำลังจับจ้องมาที่ตนเองจนรู้สึกขนลุกไปหมด สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “เจ้าจ้องข้าตลอดทางทำไมกัน”
“หลิวจี้ ข้าพบว่าเจ้าก็มีความเป็นคนอยู่เหมือนกัน” ฉินเหยาพูดอย่างเรียบเฉย
หลิวจี้ชะงัก “หา” เจ้าแน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่คำด่าข้า?
ฉินเหยายกยิ้ม แต่ไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรต่อ เพียงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ก้าวเข้าประตูบ้านไปก่อน
หลิวจี้ที่ยังงุนงงเดินตามเข้ามา วางของให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นก็พาบุตรทั้งสี่ไปล้างมือจนสะอาด แล้วจึงเดินเข้ามาในห้องโถง ยืนกระบิดกระบวนอยู่ตรงหน้าฉินเหยา ใช้สายตามองนางอย่างลังเล
“เอ่อ ข้ามีเรื่องอยากพูด เจ้าอย่าเพิ่งโกรธได้หรือไม่” เขาถามเสียงอ่อน
ฉินเหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทั้งที่นางนั่งอยู่ ส่วนเขายืนอยู่ แต่แค่ถูกนางมอง หลิวจี้ก็รู้สึกราวกับตนเองเตี้ยลงไปอีกหนึ่งศีรษะ
รู้ว่านางเป็นคนไม่มีความอดทนเขาจึงรีบพูดออกไปทันที “ข้าอยากซ่อมแซมหลุมฝังศพของนางม่อใหม่ เมียจ๋า เจ้าให้ข้ายืมเงินสักหน่อยได้หรือไม่ ข้ารับรองว่าพอข้าหาเงินได้ จะรีบคืนให้ทันที!”
พูดจบ ฉินเหยายังคงมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยเช่นเดิม ทำเอาหลิวจี้ใจคอไม่ดี คิดว่านางคงไม่ยอมตกลง
แต่คิดไม่ถึงว่าฉินเหยากลับลุกขึ้น เดินกลับเข้าไปในห้องแล้วหยิบเงินออกมาโยนใส่อกเขา เป็นเงินหนักสองตำลึงซีกหนึ่ง
หลิวจี้ตกตะลึง รีบรับเงินชิ้นเล็กนั้นไว้แล้วหันไปมองฉินเหยาอย่างไม่อยากเชื่อ “เมียจ๋า นี่เจ้า…”
“รีบทำให้เสร็จ อีกไม่กี่วันก็ต้องไปสำนักศึกษาแล้ว” ฉินเหยาตัดบทคำพูดไร้สาระของเขา สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลิวจี้รีบพยักหน้ารับคำพลางกล่าว “ขอบคุณ” แล้วรีบออกไปหาคนช่วยงานทันที
เดินไปได้ครึ่งทาง เขาก็นึกถึงผู้คนและเรื่องราวรอบตัวในตอนนี้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยหยันตนเอง ดูเหมือนว่าใครๆ ก็มีจิตใจดีมากกว่าเขา มีแต่เขาที่เป็นคนเลวที่สุด!
ฉินเหยาอ้าปากหาว เพราะรู้สึกง่วงจึงเดินออกจากห้องโถง ตั้งใจจะกลับไปนอนพักผ่อนยามบ่าย
ตึงตึงตึงตึง เสียงหนักแน่นสี่ครั้งดังขึ้น ต้าหลางนำน้องชายและน้องสาวทั้งสามคน มาคุกเข่าลงตรงหน้านางแล้วโขกศีรษะลงบนพื้นเสียงดังสามครั้ง
เมื่อเงยหน้าขึ้น ต้าหลางกับเอ้อร์หลางดวงตาแดงก่ำ ส่วนซานหลางกับซื่อเหนียงที่ถูกพี่ชายกดศีรษะให้โขกลงกับพื้นก็สูดลมหายใจเย็นเยียบ ที่โขกศีรษะลงไปเมื่อครู่เจ็บจริงๆ
ฉินเหยาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนกระโดดกลับเข้าไปในห้องโถง “พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ”
ต้าหลางจูงมือน้องชายและน้องสาวลุกขึ้น ยืนตัวตรงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “น้าเหยา ขอบคุณท่านที่ซ่อมแซมหลุมศพให้มารดาของข้า”
คำพูดที่ว่าจะตอบแทนในอนาคตพวกนั้น เขาพูดไม่ออกและไม่อยากพูดเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านั้นด้วย
สรุปคือตั้งแต่นี้ไปเขาหลิวจื่อวั่งและพี่น้องทั้งสี่คนจะยอมรับมารดาเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือมารดาให้กำเนิดผู้ล่วงลับ อีกคนก็คือนาง
ฉินเหยากล่าว “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนแล้ว”
นางเดินผ่านพี่น้องทั้งสี่ไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่เมื่อกลับเข้าห้อง ปิดประตูแล้ว มุมปากกลับเผยรอยยิ้มจางๆ อย่างคาดไม่ถึง
นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางม่อเป็นสตรีแบบใดกันแน่ ถึงทำให้เด็กทั้งสี่คนนี้ยังคงมีจิตใจงดงาม แม้จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
…
หลังจากหลิวจี้ซ่อมหลุมศพของภรรยาผู้ล่วงลับเสร็จ เขาก็เดินทางกลับเข้าเมือง เพื่อเตรียมตัวสอบคัดเลือกในเดือนสองที่สำนักศึกษา
ก่อนออกเดินทาง เขาไปหาผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูล เพื่อขอเอกสารรับรองตัวตนที่ต้องใช้สำหรับการสอบไว้ล่วงหน้า เพราะไม่อยากเสียเวลาเดินทางกลับมาบ้านอีก
ส่วนเรื่องเวลาที่กระชั้นชิดเช่นนี้ เขาจะสามารถผ่านการสอบรอบแรกได้หรือไม่นั้น ฉินเหยารู้สึกว่ายังไม่แน่นอน
แต่ก่อนจากไป หลิวจี้กลับแสดงท่าทีลึกลับ บอกกับนางว่า “เมียจ๋า เจ้าวางใจเถอะ ข้าสอบถามมาล่วงหน้าแล้ว การสอบคัดเลือกนี้ผ่านง่ายมาก ขอแค่พวกเรามีคนหนุนหลัง…”
พูดจบ หลิวจี้ก็ใช้นิ้วถูกันไปมาแล้วขยิบตาให้ฉินเหยา
ฉินเหยาเลิกคิ้วเอ่ยถาม “เจ้าอยากโกง?”
“แม่เจ้า…ชู่ชู่ชู่!” หลิวจี้แทบตกใจตาย นี่พวกเรากำลังวางแผนลับกันอยู่ เจ้าแหกปากเสียงดังเช่นนี้ทำไมกัน!
เขารีบเดินไปที่ประตู แอบชะโงกหน้ามองออกไปข้างนอก ดีมาก เด็กๆ ออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว ตอนนี้ในบ้านมีเพียงพวกเขาสองคน
คราวนี้หลิวจี้ระมัดระวังขึ้นกว่าเดิม ปิดประตูและเปิดหน้าต่างไว้เล็กน้อย จากนั้นจึงจับตาดูทางเข้าบ้านที่อาจจะมีคนผ่านมาแล้วค่อยเริ่มพูดต่อ
ฉินเหยาพูดไม่ผิด เขาตั้งใจจะโกงจริงๆ และเนื่องจากสถานที่สอบคัดเลือกอยู่ในเขตอำเภอนี้ จึงไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่คิดแบบนี้ ใครที่มีเงื่อนไขเอื้ออำนวย ก็มักจะหาทางเตรียมการล่วงหน้าไว้เพื่อความปลอดภัยทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น การสอบคัดเลือกจัดให้ผู้เข้าสอบทั้งหมดสอบในห้องเดียวกัน หากเขาสามารถหาที่นั่งติดกับคนฉลาดหน่อย การผ่านสอบคัดเลือกก็จะมีโอกาสสูงขึ้นมาก
หากโชคดีอีกหน่อย ทายคำตอบถูกบ้าง แบบนี้ยิ่งสอบผ่านอย่างแน่นอน
ตราบใดที่ผ่านสอบคัดเลือกไปได้ การสอบรอบต่อไปก็จะง่ายขึ้น เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็สามารถสู้ได้อย่างเต็มที่
แต่สำหรับการสอบเซี่ยนซื่อในเดือนห้า ทั้งความเข้มงวดของกรรมการคุมสอบและระดับความยากของข้อสอบจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะสามารถหาที่นั่งติดกับคนเก่งเพื่อโกงได้ แต่ก็ยังยากที่จะสอบผ่าน
ดังนั้น การสอบในเดือนห้าครั้งนี้ เขาก็แค่ไปสอบเป็นพิธี เหมือนที่ฉินเหยาว่าไว้ สั่งสมประสบการณ์เท่านั้น
เมื่อฉินเหยาได้ฟังการวิเคราะห์ที่มีเหตุมีผลของเขาก็รู้ได้ทันทีว่า หลิวจี้ต้องคิดเรื่องนี้มาอย่างรอบคอบแล้วแน่นอน
“หลิวจี้ เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ ถึงขนาดรู้จักวางแผนลับหาทางผ่านด่านแบบนี้” ฉินเหยาเดินวนรอบตัวเขาหนึ่งรอบ เอ่ยชมพร้อมทำเสียงจิ๊จ๊ะ
หาได้ยากที่จะถูกชมสักครั้ง แม้ว่าความฉลาดแกมโกงเช่นนี้จะไม่ใช่วิธีที่น่ายกย่องนัก แต่หลิวจี้ก็อดไม่ได้ที่จะยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน เจ็บแล้วต้องรู้จักจำ สำหรับคนยากจนเช่นพวกเราที่ไม่มีอะไรเลย หากต้องการลืมตาอ้าปาก ก็ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมบ้างเป็นธรรมดา”
“ความเสี่ยงเป็นอย่างไร” ฉินเหยาถาม
หลิวจี้ตอบด้วยความตื่นเต้น “แทบไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะไม่มีใครยอมรับว่าตนเองได้รับผลประโยชน์ และที่สำคัญ การสอบคัดเลือกก็ไม่เข้มงวดตั้งแต่แรกแล้ว เมียจ๋า เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนที่ฝานซิ่วไฉสอบผ่านคัดเลือกนั้น เขาทำได้อย่างไร”
ฉินเหยาลองคาดเดา “เปลี่ยนที่นั่งเหมือนกันหรือ”
หลิวจี้พยักหน้าหนักแน่น ไม่เช่นนั้นเขาจะรู้วิธีการนี้ได้อย่างไร
ดังนั้น ตอนที่หลิวจี้กลับไปยังสำนักศึกษา ในกระเป๋าของเขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นมาอีกสิบตำลึง