ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 193 เร่งขยันเอาตอนใกล้สอบ
ตอนที่ 193 เร่งขยันเอาตอนใกล้สอบ
………………..
เวลาสมัครสอบปิดลงทันทีเมื่อตะวันคล้อยผ่านยามอู่ไปแล้ว ฉินเหยาพร้อมพวกที่สมัครเสร็จแล้ว กำลังรออยู่ เมื่อหันไปมองข้างหลังก็เห็นว่ายังคงมีผู้คนต่อแถวกันยาวเหยียด
เมื่อรู้ว่าการสมัครสอบปิดลงแล้ว บรรดาผู้คนที่เหลือต่างก็พากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โทษที่ตัวเองไม่มาให้เร็วกว่านี้
ผู้ดูแลแจ้งเวลาสอบช่วงบ่าย เวลาสอบนั้นแบ่งออกเป็นหลายช่วงเวลา ซานหลาง ซื่อเหนียง จินเป่า และจินฮวา ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มที่ติดกันพอดี
จินฮวากับจินเป่าสอบก่อน ส่วนคู่ฝาแฝดชายหญิงสอบทีหลัง
ฉินเหยามองดูท้องฟ้า เห็นว่าเวลายังเหลืออีกมากจึงคิดจะพาเด็กๆ เข้าไปกินมื้อเที่ยงที่ตัวเมืองก่อนค่อยกลับมา นางดูสงบเป็นอย่างยิ่ง
ต่างจากบรรดาผู้ปกครองที่อยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ กัน ซึ่งต่างก็ร้อนรนกำชับลูกหลานของตนเอง
หลิวไป่กระวนกระวายไม่น้อย เพราะเด็กในบ้านของเขาไม่มีพื้นฐานอะไรเลย แม้แต่จับพู่กันยังไม่เป็น เช่นนี้แล้วจะสอบผ่านได้อย่างไร
แต่เด็กๆ ต่างพากันหิวจนท้องร้องจ๊อกจ๊อก ฉินเหยาจึงกล่าวว่า “หากท้องไม่อิ่มแล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปสอบ กินให้อิ่มก่อนค่อยว่ากัน”
ที่จริงแล้ว ตัวนางเองนั้นหิวจนแทบบ้าแล้ว ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางก็ดั้นด้นมาถึงที่นี่ แล้วยังต้องรอรายชื่อสอบตลอดทั้งช่วงเช้า อาหารที่กินไปตั้งแต่เช้าถูกเผาผลาญไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว
หลิวจ้งกับต้าหลางที่รออยู่บนถนนหลวงก็พากันชะเง้อชะแง้ดูอยู่ตลอด การรอคอยช่างเป็นความทรมานเสียจริง
ส่วนเอ้อร์หลางกลับวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในฝูงชนอยู่สักพัก ก่อนจะกลับมาพร้อมกับสีหน้าผิดหวังและกล่าวว่า
“หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าต้มน้ำต้มน้ำตาลมาขายด้วยก็คงดี คนเยอะเช่นนี้ ขายได้คนละชามก็ได้เงินไม่น้อยเลย”
ต้าหลางมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าห่วงแค่เรื่องเงินหรือไร พวกท่านน้าเหยายังไม่กลับมาเลย ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง!”
พวกเขายืนอยู่ไกลนัก ได้แต่ฟังคนอื่นบอกว่าหลังยามอู่ก็จะปิดรับสมัครแล้ว มองไม่เห็นว่าฉินเหยาและพวกอยู่แถวหน้าหรือแถวหลัง เห็นเพียงชาวบ้านคนอื่นๆ ผิดหวังกลับบ้านไป ก็อดกังวลมิได้
รอแล้วรอเล่า รอจนท้องแนบติดไปกับแผ่นหลัง ในที่สุดก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยไม่กี่สายปรากฏมาแต่ไกล
หลิวจ้งรีบวิ่งขึ้นไปข้างหน้า จูงมือบุตรสาวแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง พวกเจ้าได้ลงชื่อแล้วหรือยัง”
ใบหน้าของจินฮวาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หลิวจ้งคิดว่านางสมัครไม่สำเร็จ กำลังจะถอนหายใจ ก็ได้ยินจินฮวาส่งเสียงตอบรับออกมาเบาๆ
“ยัยเด็กนี่จริงๆ เลย ลงชื่อได้แล้วเหตุใดยังทำหน้าบูดบึ้งอีก ทำเอาข้าตกอกตกใจแทบแย่!” หลิวจ้งพูดอย่างอารมณ์เสีย
จินฮวาเดิมทีก็กังวลเกี่ยวกับการทดสอบช่วงบ่ายอยู่แล้ว เมื่อถูกบิดาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งวิตกกังวลหนัก ก่อนหน้านี้ไม่มีคนสนิทอยู่ข้างๆ จึงฝืนทนไว้ได้ ครานี้มีบิดาอยู่ตรงหน้า ปากก็พลันเบ้ กล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นว่า
“ช่วงบ่ายยังต้องสอบอีกนะเจ้าคะ ท่านพ่อ หากข้าสอบไม่ผ่านแล้วจะทำอย่างไรดี”
หลิวจ้งยังนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด รีบตอบทันที “สอบไม่ผ่านก็สอบไม่ผ่านสิ เดิมทีก็ไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะสอบผ่านอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่ร้องจะมา พวกเราก็คงไม่ต้องเสียแรงวิ่งมาในรอบนี้หรอก”
พูดจบ หลิวไป่ก็รีบตบแขนผู้เป็นน้องชาย “หุบปากของเจ้าไปเสีย เดิมทีเด็กก็ร้อนใจอยู่แล้ว เจ้าไม่ช่วยก็ช่าง ยังมาพูดวาจาไม่เป็นมงคลอีก”
หลิวจ้งเพิ่งรู้ตัวว่าพูดผิดไปจึงรีบปลอบบุตรสาวในทันทีว่า “ไม่เป็นไรๆ อย่างน้อยพวกเราก็ได้ลองแล้ว มาเถิด พ่อจะพาเจ้าไปกินของอร่อยในตัวเมือง!”
จินฮวาจึงค่อยๆ รู้สึกมีความสุขขึ้นเล็กน้อย
ทุกคนขึ้นรถม้าแล้วมาถึงร้านบะหมี่ในตัวเมือง แต่วันนี้คนเยอะมาก จนในร้านไม่มีที่นั่งเลย ทุกคนจึงต้องถือชามบะหมี่แล้วนั่งยองๆ อยู่หน้าประตูร้าน
ฉินเหยาและพวกผู้ใหญ่หลายคนยืนกินกัน ส่วนพวกเด็กๆ วางชามบะหมี่ไว้บนคานรถแล้วก้มหน้าก้มตากิน ความสูงพอดีเหมาะเจาะนัก
ฉินเหยาหยิบตะเกียบขึ้นมาหลังจากรับประทานบะหมี่ไปสี่ชามรวด นางพึงพอใจจนต้องเรอออกมาเบาๆ ก่อนจะวางตะเกียบลงแล้วหันไปวิเคราะห์ให้สองพี่น้องฟังว่า
“เมื่อครู่ข้าได้ดูรายชื่อแล้ว คู่แข่งของเด็กๆ ของเรามีทั้งหมดเจ็ดสิบหกคน ในจำนวนนั้นมีเด็กจากตระกูลใหญ่สิบสองคน พวกเขาดูเหมือนจะมีพื้นฐานมาก่อน ดังนั้นสิบสองอันดับแรกย่อมมีพวกเขาอยู่แน่นอน”
“ยังเหลืออีกสิบแปดที่นั่งให้เด็กๆ ของพวกเราชิงชัย ข้าดูแล้ว เด็กอีกห้าสิบสองคนที่เหลือมาจากหมู่บ้านต่างๆ ดูไม่เหมือนคนที่เคยศึกษามาก่อน ซานหลางกับซื่อเหนียง ข้าไม่กังวลเลยสักนิด”
“ส่วนจินฮวากับจินเป่า แม้จะมาเร่งอ่านตำราเอาตอนนี้อาจจะดูช้าไปหน่อย แต่ให้ท่องจำสองบทก็คงไม่ยากเกินไป โอกาสก็ยังพอมี”
เมื่อหลิวไป่กับหลิวจ้งได้ยินเช่นนั้นก็รีบคว้าตัวเด็กๆ ขึ้นมาแล้วเร่งว่า “ยังจะกินอะไรอีก! รีบไปท่องตำรากับอาสะใภ้สามเร็วเข้า!”
ฉินเหยามองสองพี่น้องหลิวไป่ด้วยความจนใจ “รีบร้อนอะไร ปล่อยให้เด็กๆ กินให้อิ่มก่อน”
นางเองก็กำลังคิดว่า ควรจะสอนอะไรพวกเขาถึงจะมีโอกาสชนะมากที่สุด
การเดาข้อสอบ เป็นหนึ่งในเทคนิคที่เหล่านักศึกษาในยุคปัจจุบันถนัดที่สุด
ตำราเริ่มต้นที่ใช้สอนในที่นี้คือบทกวีพันอักษรกับร้อยแซ่จีน นักเรียนทุกคนที่เข้าสู่สำนักศึกษาเป็นครั้งแรก อาจารย์มักจะใช้ร้อยแซ่จีนเป็นตำราเริ่มต้น
หนึ่งเพราะเนื้อหาสั้นและสนุก สองเพราะเป็นตำราที่ราคาถูกที่สุด
ส่วนบทกวีพันอักษรเป็นตำราระดับสูงขึ้นมาหน่อย มีไว้สอนหลักการพื้นฐานแก่เด็กๆ
อาจารย์ของตระกูลติงก็คงเข้าใจว่า เด็กจากชนบทเหล่านี้ไม่มีพื้นฐานความรู้เลย ดังนั้นข้อสอบไม่น่าจะยากเกินไป อาจจะเน้นไปที่คุณธรรม ปัญญา และร่างกาย ดูว่ามีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร มีความฉลาดพอจะเรียนรู้หรือไม่ เพื่อความสะดวกในการสั่งสอนต่อไป
ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่บทกวีพันอักษรจะถูกนำมาใช้ในการสอบนั้นมีไม่มากนัก
เช่นนั้นก็ให้จินเป่าและจินฮวาท่องร้อยแซ่จีนเถิด เวลาอันสั้น หากใช้วิธีจดจำอย่างรวดเร็ว การท่องได้สี่ถึงห้าสิบแซ่ก็ยังพอเป็นไปได้ หากอาจารย์ถามว่าพวกเขาเคยอ่านตำราใด ก็จะสามารถนำมาใช้ตอบได้ ซึ่งย่อมดีกว่าผู้ที่ตอบตรงๆ ว่าไม่เคยอ่านมาเลย
ในด้านคุณลักษณะสำคัญ ควรให้ความสำคัญกับมารยาท สิ่งนี้สามารถเรียนรู้ได้ง่าย เพียงสอนสักหน่อยก็ทำได้แล้ว หากต้องรับมือในสถานการณ์ฉุกเฉิน ย่อมไม่มีปัญหา
ดังนั้น หลังจากจินฮวาและจินเป่าทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเขาก็ขับรถม้าไปยังสนามหญ้าลับตาใกล้จวนตระกูลติงและเริ่มต้นการฝึกอบรมแบบเร่งด่วน
เพราะเกรงว่าซานหลางและซื่อเหนียงจะลืมสิ่งที่ได้เตรียมตัวไว้เมื่อวาน ฉินเหยาจึงให้ต้าหลางและเอ้อร์หลางพาพวกเขาไปทบทวนอีกสองสามรอบ
หลิวไป่และหลิวจ้งเห็นฉินเหยาไม่เร่งรีบ พูดจาชัดเจนมีเหตุผลจึงอดชื่นชมไม่ได้
แบบนี้มันดีกว่าพวกเขาสองคนที่เอาแต่ร้อนรนวิ่งวุ่นเหมือนแมลงวันไร้หัวตั้งเยอะ
เมื่อหันไปมองรอบๆ คู่แข่งก็มิได้เกินคาด เช่นเดียวกับที่น้องสะใภ้สามคาดการณ์ไว้ เด็กๆ ของตระกูลขุนนางบางตระกูลที่มีพื้นฐานการศึกษาอยู่บ้างนั้นมีเพียงไม่กี่คน ส่วนคนอื่นๆ ล้วนไม่เคยอ่านตำรามาก่อน แม้แต่มารยาทพื้นฐานก็ยังไม่เข้าใจ สิ่งที่พวกเขาสอนเด็กๆ มีเพียงการคุกเข่ากราบไหว้ หรือการพูดจาหวานหูเพื่อเอาใจอาจารย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์เลย
เมื่อหันกลับไปมองจินฮวาและจินเป่า ด้วยมีวิชาท่องจำแบบเร่งรัดของฉินเหยาจึงสามารถท่องแซ่ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นจ้าว เฉียน ซุน หลี่ โจว อู๋ เจิ้ง หวัง
พวกเขายังรู้จักการยืนให้ถูกต้องและสามารถทำความเคารพได้อย่างเป็นแบบแผน
สองพี่น้องจึงเกิดความมั่นใจในตัวลูกๆ ของตนขึ้นมาในทันที
ในไม่ช้าเสียงระฆังก็ดังขึ้นมาจากทางสำนักศึกษา เหล่าผู้ที่รอคอยการทดสอบพลันรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รีบรุดมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษา
จินเป่ากับจินฮวาอยู่ในกลุ่มแรก หลิวไป่กับหลิวจ้งให้กำลังใจเด็กๆ “อย่ากลัวไป ทำตามที่อาสะใภ้สามสอน พยายามแสดงความสามารถที่เจ้ามีให้เต็มที่ พ่อจะรอพวกเจ้าอยู่ข้างนอก”
จินเป่ากับจินฮวาพยักหน้ารับ หายใจเข้าลึกๆ แล้วเตรียมตัวเข้าสนามสอบ
ฉินเหยาขยับเข้ามาใกล้ทั้งสองอีกครั้ง กำชับให้พวกเขาใส่ใจกฎเกณฑ์ของการทดสอบ “ถ้าด่านหนึ่งไม่ผ่าน ยังมีด่านอื่นอีก อย่าท้อแท้เพียงเพราะเจ้าล้มเหลวตั้งแต่แรก มันจะกระทบจิตใจในภายหลัง”
“อย่าคิดว่านี่เป็นเพียงการทดสอบ ให้ถือว่าเป็นโอกาสเปิดหูเปิดตา เจ้าไม่เคยสงสัยหรือว่าสำนักศึกษากับอาจารย์เป็นเช่นไร วันนี้ดีเลยจะได้เข้าไปดูให้เห็นกับตา ได้ยินอาสามของเจ้าบอกว่าสำนักศึกษาของตระกูลติงสร้างได้ดีกว่าสถานศึกษาในตัวอำเภอเสียอีก”
“ดีกว่าในตัวอำเภออีกอย่างนั้นหรือ” จินเป่าอุทานเสียงเบาด้วยความประหลาดใจ
ฉินเหยาพยักหน้ารับ สองพี่น้องจึงเริ่มเกิดความสงสัยใคร่รู้ ความสนใจของพวกเขาค่อยๆ เบี่ยงเบนออกจากความกังวลเรื่องการทดสอบ ทำให้อารมณ์ที่เครียดเคร่งก่อนหน้านี้ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
หลิวไป่กับหลิวจ้งหันไปยิ้มให้ฉินเหยาด้วยความซาบซึ้งอีกครั้ง จริงๆ แล้ว หากไม่มีนาง วันนี้พวกเขาอาจจะไม่ได้แม้แต่ลงชื่อเข้าสอบเสียด้วยซ้ำ
………………..