ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 194 ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 194 ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ
“หลิวจินเป่า หลิวจินฮวา ลวี่เหลียง ลวี่ต้าหนิว…”
เมื่อได้ยินพ่อบ้านประกาศชื่อของตนเอง จินเป่าและจินฮวารีบรุดไปข้างหน้า แล้วติดตามกลุ่มใหญ่เข้าสู่สถานศึกษา
มีคนอยู่ทั้งหมดยี่สิบคน ถูกจัดแถวตามเพศและส่วนสูง
จินฮวาตกตะลึงเมื่อพบว่า ฝั่งเด็กหญิงมีเพียงนางเพียงคนเดียว
ยังไม่ทันที่นางจะได้ตั้งสติ อาจารย์ทั้งสามก็เรียกชื่อของนางเป็นคนแรก บอกให้ก้าวออกไปข้างหน้า
จินฮวาสะดุ้งเล็กน้อย โชคดีที่ยังจำสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ได้ นางจึงรีบทำความเคารพตามธรรมเนียม จากนั้นจึงกล่าวแนะนำตัวอย่างเรียบง่าย
“คารวะท่านอาจารย์ทั้งสาม ข้ามีนามว่าหลิวจินฮวา เป็นคนหมู่บ้านตระกูลหลิว อายุเจ็ดขวบเจ้าค่ะ”
อาจารย์ที่กำลังจะเอ่ยถามอายุและชื่อของนางมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย แต่เพียงชั่วครู่ก็กลับมามีสีหน้าขรึมเคร่งอีกครั้ง
เขาถามว่า “เคยอ่านตำรามาก่อนหรือไม่”
จินฮวาตอบว่า “เคยอ่านร้อยแซ่จีนเจ้าค่ะ” แท้จริงนางอยากจะบอกว่าเคยอ่านเพียงเล็กน้อย แต่อาสะใภ้สามสอนว่ายิ่งพูดมากก็ยิ่งผิดพลาดมาก หากอาจารย์มิได้ถามละเอียด ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ
อาจารย์ทั้งสามพากันมองนางด้วยความสนใจ ก่อนจะให้แสดงให้ดู
ดังนั้นจินฮวาจึงท่องแซ่สกุลที่เพิ่งจำได้อย่างคล่องแคล่ว ออกมาเป็นห้าสิบห้าแซ่ มากกว่าตอนที่ฝึกซ้อมไปถึงห้าแซ่!
จินฮวารู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย ทว่าสิ่งที่นางคาดหวังไว้ว่าจะได้รับคำชมกลับไม่เกิดขึ้น อาจารย์ที่ถามนางก่อนหน้านี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านางหยุดลงแล้ว กล่าวว่า “ยังมีอีกหรือไม่”
จินฮวากลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะตอบเสียงแผ่วว่า “มะ…ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วเขียนได้หรือไม่”
จินฮวาส่ายหน้า
“เจ้าวาดภาพเป็นหรือเปล่า”
จินฮวายังคงส่ายศีรษะ
โต๊ะเขียนหนังสือสูงมาก จินฮวาเขย่งปลายเท้าเพื่อดูว่าอาจารย์เขียนอะไร แต่ก็เห็นเพียงจุดสีแดงของผงสีชาดเท่านั้น ทว่าทันทีที่อาจารย์ปรายตามองมา นางก็สะดุ้งตกใจจนรีบวิ่งออกไปทันที
“เร็วปานนี้เชียว?” หลิวจ้งกระตุกวูบในใจ
เพิ่งเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็สอบเสร็จแล้วหรือ
หลิวจ้งรีบถามว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์ได้พูดอะไรหรือไม่
จินฮวามีความรู้สึกราวกับรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด สมองของนางว่างเปล่า พูดอะไรไม่ออก
“ไม่เป็นไร” ฉินเหยาก้มหน้าลง ยิ้มบางๆ ให้คู่แฝดชายหญิงที่จู่ๆ ก็เริ่มตื่นเต้น “อย่ากังวลไป เชื่อมั่นในตัวเองเถอะ”
คู่แฝดพยักหน้าหงึกหงัก สายตาจดจ่อไปยังประตูของสถานศึกษา
ไม่นาน เด็กๆ ก็ทยอยเดินออกมาทีละคนด้วยท่าทางห่อเหี่ยว เพราะคำถามของอาจารย์ไม่มีใครตอบได้เลย พวกเขายังไม่สู้หลิวจินฮวา อย่างน้อยนางก็ยังพูดคุยกับอาจารย์ได้บ้าง
ไม่นาน จินเป่าก็เดินออกมาเช่นกัน อาจเป็นเพราะเขาอยู่ในลำดับท้ายๆ จึงไม่ได้รู้สึกกดดันเท่าไรนัก เขารีบบอกกระบวนการสอบของอาจารย์ที่อยู่ด้านในอย่างรวดเร็วเพื่อให้คู่แฝดใช้เป็นแนวทาง
ก่อนหน้านี้ฉินเหยาคาดเดาว่าพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกในสถานศึกษาใช้สำหรับการทดสอบ ทว่าแท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ทั้งหมด
สิ่งเหล่านั้นจัดเตรียมไว้สำหรับเด็กที่สามารถเขียนและวาดภาพได้เพื่อแสดงความสามารถ แท้จริงแล้วการทดสอบง่ายกว่าที่นางคาดคิดไว้มากนัก
แต่จินเป่าซึ่งแสดงความสามารถได้ไม่ดีเท่าจินฮวากลับกล่าวว่า เขาเห็นว่าท่านอาจารย์ขีดเครื่องหมายถูกไว้ใต้ชื่อของเขา
ฉินเหยารู้สึกสะดุดใจในทันที
นางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วลองนับดู เมื่อรวมจินฮวาและซื่อเหนียงเข้าไปด้วย เด็กหญิงมีเพียงสามคนเท่านั้น
คงไม่ใช่กระมัง?
ฉินเหยารู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี…หรือว่าอาจารย์จะไม่อยากรับศิษย์สตรี?
แต่ยังไม่ทันที่ฉินเหยาจะหาทางรับมือ การคัดเลือกรอบที่สองก็มาถึง และในนั้นก็มีเด็กหญิงอีกคนหนึ่งรวมอยู่ด้วย
ซื่อเหนียงกำหมัดแน่นให้กำลังใจตัวเอง “กล้าหาญเข้าไว้ซื่อเหนียง! ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น!”
ทั้งสองหันกลับไปมองครอบครัวของตน ก่อนจะก้าวเดินตามกลุ่มเข้าไปอย่างมั่นใจ
เด็กหญิงอีกคนเป็นคนแรกที่เดินออกมา
พอเด็กหญิงตัวเล็กออกมาแล้วเห็นบิดามารดาก็ร้องไห้โฮ นางบอกว่าอาจารย์ดุมาก นางกลัวจนตอบอะไรไม่ได้เลย
บิดามารดาของนางถอนหายใจอย่างเสียดาย จูงมือนางถอยไปยืนรอด้านข้าง พวกเขายังไม่คิดจะจากไปก่อนที่ผลสุดท้ายจะออกมา แม้จะรู้ว่าความหวังของบุตรสาวริบหรี่ก็ตาม
ฉินเหยาพอจะจับจุดได้แล้ว เพราะเด็กหญิงมีจำนวนน้อยจึงอาจเริ่มต้นการคัดเลือกจากเด็กหญิงก่อน
เช่นนั้นคนที่สองก็คงเป็นซื่อเหนียงของบ้านนางแล้ว
“หลิวผิงหลิงจากหมู่บ้านตระกูลหลิว ขอคารวะอาจารย์ทั้งสามเจ้าค่ะ!”
ซื่อเหนียงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แม้ว่าร่างจะเล็ก แต่ท่วงท่าการคำนับกลับถูกต้องไร้ที่ติ วาจาก็ชัดถ้อยชัดคำ ดูไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
กล่าวจบ นางก็เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคู่โตเป็นประกาย แฝงไว้ด้วยความไร้เดียงสาและความตื่นเต้น
เด็กหญิงตัวน้อยมีรูปโฉมงดงาม สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย มิได้เกล้ามวยคู่เช่นเด็กหญิงทั่วไป แต่กลับเกล้ามวยเดี่ยวกลมกลางศีรษะ ใช้ผ้าสี่เหลี่ยมห่อไว้ตรงกลางศีรษะ หน้าผากยังปล่อยไรผมหน้าม้าบางเบา เมื่อมองดูแล้ว นางช่างคล้ายกับนักพรตน้อยในภาพวาด
ผ้าคลุมศีรษะของนางเป็นสีชมพูอ่อน มีผ้ารัดผมสีชมพูสองเส้นผูกอยู่ด้านหลัง ทำให้ผู้คนไม่เข้าใจผิดคิดว่านางเป็นเด็กชาย
เด็กหญิงตัวเล็กที่งดงามราวหยกสลักเช่นนี้ จ้องมองมาด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย ทำให้หัวใจของอาจารย์ทั้งสามอ่อนลงชั่วขณะ
อาจารย์เฉิงกระแอมเบาๆ ก่อนจะถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เป็นคำถามที่ตนเองถามไปแล้วนับสิบๆ รอบ
“เคยอ่านตำราหรือไม่”
“เขียนอักษรได้หรือไม่”
“วาดภาพเป็นหรือไม่”
ซื่อเหนียงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าท่านอาจารย์ถามจบแล้ว จากนั้นจึงไขว้มือไว้ด้านหลัง แล้วตอบด้วยท่าทางจริงจัง
“ขอเรียนท่านอาจารย์ ศิษย์เคยอ่าน ‘ซือจิง’ และ ‘หลุนอวี่’ เขียนอักษรได้ แต่ลายมือยังไม่เรียบร้อย วาดภาพก็ได้ แต่บิดามารดาบอกว่ามือของศิษย์ยังอ่อนแรง จับพู่กันได้ไม่มั่น จึงยังไม่สามารถวาดภาพได้เต็มที่จึงได้เรียนมาเพียงแค่หางอึ่ง เกรงว่าจะทำให้ท่านอาจารย์หัวเราะเยาะแล้ว”
สองอาจารย์ที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ฟังถึงกับหันมามองด้วยความสนใจ มีเด็กที่เข้าทดสอบมาหลายคนแล้ว แต่นี่เป็นคนแรกที่พูดจาน่าสนใจเช่นนี้ ชวนให้คนรู้สึกตื่นตา
เมื่อมองอีกครั้ง รอยยิ้มนางเหมือนแมวน้อย มีกลิ่นอายแห่งความฉลาดเฉลียวและเจ้าเล่ห์ ชวนให้ผู้คนรอบข้างละสายตาออกไปไม่ได้
อาจารย์เฉิงซึ่งมีอายุมากที่สุดนั่งอยู่ทางซ้าย ขณะที่อาจารย์ติงซึ่งเพิ่งทำให้เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้เมื่อครู่ เกิดความคิดอยากจะทดสอบนางขึ้นมาจึงเอ่ยถามว่า
“เจ้าตัวเล็ก เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยคถัดไปของ ‘เรียนโดยไม่คิด ไร้ซึ่งความเข้าใจ’ คืออะไร?”
ซื่อเหนียงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “คิดโดยไม่เรียน ย่อมเป็นอันตราย”
ทั้งสามคนพลันยิ้มออกมาพร้อมกันราวกับพบต้นกล้าที่มีอนาคตสดใสเข้าแล้ว
อาจารย์อีกท่านหนึ่งก็เข้ามาร่วมวงถามด้วยว่า “เช่นนั้น เจ้าสามารถท่องบทกวีจากซือจิงได้หรือไม่”
ซื่อเหนียงตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นข้าขอท่องบท <มู่กวา> ให้ท่านฟังนะเจ้าคะ บทนี้เป็นบทที่ข้าชื่นชอบที่สุด”
“หากเจ้ามอบผลมู่กวาให้ข้า ข้าตอบแทนด้วยหยกงาม มิใช่เพราะเป็นการตอบแทน แต่เพื่อรักษามิตรภาพให้ยั่งยืนตลอดไป”
“หากเจ้ามอบลูกท้อให้ข้า ข้าตอบแทนด้วยหยกงาม มิใช่เพราะเป็นการตอบแทน แต่เพื่อรักษามิตรภาพให้ยั่งยืนตลอดไป…”
เสียงอันสดใสราวกับนกขมิ้นของเด็กน้อยพร้อมด้วยจังหวะอันไพเราะ ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกสบาย
อาจารย์ท่านนั้นหรี่ตาลง พลางนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามอีกว่า “เช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าความหมายของมันคืออะไร”
ซื่อเหนียงพยักหน้ากล่าว “หากสหายมอบผลมู่กวาหรือลูกท้อให้ข้า ข้าตอบแทนกลับด้วยหยกงาม มิใช่เพราะข้าได้รับของขวัญจึงต้องตอบแทน แต่เป็นเพราะข้าถนอมรักษามิตรภาพระหว่างข้ากับสหาย”
“ความสัมพันธ์ที่กล่าวถึงในนี้ อาจเป็นมิตรภาพ หรืออาจเป็นความรักใคร่ระหว่างชายหญิงที่มีใจให้แก่กันก็ได้”
“จากบทกวีนี้ เราจะเห็นได้ว่า ของตอบแทนมีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งที่ได้รับซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างอ้อม ๆ ว่า การให้คุณค่ากับความรู้สึกและความเข้าใจในผู้อื่น คือรูปแบบของความรู้สึกที่สูงส่งที่สุด”
เมื่อกล่าวจบ ซื่อเหนียงก็ประสานมือคำนับอีกครั้ง “ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ”
เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นอาจารย์ทั้งสามคนหันหน้าไปสบตากัน สีหน้าฉายแววประหลาดใจ ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินการตีความเช่นนี้
………………..