ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 2 ขุดเผือก
หมู่บ้านตระกูลหลิวตั้งอยู่ในหุบเขาเล็กๆ พื้นที่ตรงกลางเป็นที่ราบล้อมรอบด้วยเนินเขาซึ่งชาวบ้านได้จัดสรรเป็นพื้นที่เพาะปลูก
จากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกมีลำธารสายเล็กไหลผ่านหมู่บ้าน รอบด้านรายล้อมด้วยป่าทึบและภูเขาสูง ก่อขึ้นเป็นกำแพงธรรมชาติ
คนจากภายนอกเข้ามาได้ยากและคนในหมู่บ้านก็ออกไปยากเช่นกัน
ส่วนที่ดินของบ้านหลิวจี้ต้องเดินเลียบลำธารขึ้นไปแล้วข้ามเนินเขาจึงจะมองเห็น
ฉินเหยาเดินเลียบลำธารไปยังต้นน้ำจนถึงปากหุบเขาแล้วเลี้ยวเข้าไปในภูเขา
หลังจากเอาชีวิตรอดในวันสิ้นโลกมาหลายปี การหาอาหารกลายเป็นสัญชาตญาณของฉินเหยาไปแล้ว ป่าเขากว้างใหญ่ตรงหน้า สำหรับนางแล้วเป็นเหมือนคลังอาหารธรรมชาติ
ในฤดูใบไม้ร่วง สัตว์ป่าเริ่มสะสมไขมันเพื่อเตรียมตัวสำหรับฤดูหนาวนั่นทำให้พวกมันสมบูรณ์ที่สุด อีกทั้งในภูเขานี้ นางไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพืชหรือสัตว์กลายพันธุ์เข้าจู่โจมและไม่ต้องกลัวว่าซอมบี้จะโผล่มาด้วย
แต่ฉินเหยากลับประเมินสภาพร่างกายตนเองสูงเกินไป นางเดินเข้ามาในภูเขาได้เพียงสิบกว่านาที ขาของนางก็เริ่มไม่ฟังคำสั่ง แต่ละย่างก้าวสั่นระริกราวกับจะรับน้ำหนักของร่างไว้ไม่ไหวและพร้อมจะทรุดลงได้ทุกเมื่อ
ฉินเหยาตกใจ รีบมองหาต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ เพื่อพิงพัก วางโถดินหนักๆ ในมือลงใบหนึ่งลงแล้วหยิบอีกใบขึ้นมาดื่มน้ำทันที
น้ำย่อยในกระเพาะออกมามากเสียจนทำให้สมองแทบไม่อาจคิดสิ่งใดได้ เมื่อมองไปยังใบไม้แห้งเหลืองบนกิ่งไม้ นางถึงกับอยากดึงลงมากินเสีย
ฉินเหยาตกใจกับความคิดของตนเอง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป นางอาจหิวจนสูญเสียสติ ต้องรีบหาอะไรกินโดยเร็ว
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ฉินเหยาจึงดื่มน้ำจากหม้อดินทั้งสองใบรวดเดียวจนหมด แม้ว่าจะไม่สามารถดับความแสบร้อนอันปั่นป่วนในท้องได้ แต่ก็ช่วยให้มีกำลังขึ้นเล็กน้อย
เสียงกรอบแกรบดังขึ้นข้างหู ทัศวิสัยที่มืดมัวไม่อาจขัดขวางฉินเหยาได้ นางคว้าจอบที่ตั้งไว้ข้างต้นไม้แล้วตามเสียงนั้นไป
ทว่าคู่ต่อสู้กลับวิ่งเร็วกว่านางมาก
เมื่อแสงอรุณเริ่มสาดส่อง ฉินเหยาทำได้เพียงมองดูไก่ป่าตัวอ้วนบินผ่านข้างเท้าตนเองไป ทิ้งไว้เพียงขนไก่หลากสีหลายเส้นคล้ายกำลังเยาะเย้ยนางอยู่
ฉินเหยาสบถด่าหลิวจี้เจ้าคนสารเลวในใจหลายตลบอีกครั้ง
หากไม่เพราะสามีสารเลวผู้นี้ทำให้ที่บ้านหมดเนื้อหมดตัว ไม่เหลือแม้แต่เมล็ดข้าว นางคงไม่หิวจนแม้แต่ไก่ป่ายังจับไม่ได้หรอก
เมื่อคิดดูอีกที ตัวนางที่เป็นผู้ใหญ่ยังทรมานถึงเพียงนี้แล้วเด็กสี่คนในบ้านไม่ยิ่งลำบากกว่านางหรือ
เบื้องหน้าฉินเหยาปรากฏภาพลำคอเล็กเรียวของฝาแฝดท่ามกลางสายหมอกยามเช้า ยังมีสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของซื่อเหนียง…
ชั่วพริบตา ร่างกายของนางพลันมีกำลังปะทุขึ้น นางโยนขนไก่ทิ้งแล้วรีบไล่ตามต่อ
ฟ้าดินไม่ปิดหนทาง แม้จับไก่ป่าไม่ได้ แต่นางกลับเจอกอเผือกขนาดใหญ่
ชาวบ้านแถวนี้ไม่รู้วิธีจัดการ หากสัมผัสน้ำยางของเผือกจะทำให้คันไปทั้งตัวเลยคิดว่ามันมีพิษ ยกเว้นปีไหนผลผลิตไม่ดีหิวจนถึงขีดสุดจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ขุดมันออกมากิน นั่นกลับทำให้ฉินเหยาได้ประโยชน์ไป
กอเผือกนั้นมีใบรูปร่างคล้ายเรือ ใบกว้างและหนาแน่น ฉินเหยาคว้าจอบขึ้นมาขุดไม่กี่ครั้งก็ได้หัวเผือกขนาดเท่ากำปั้นเด็กเล็กออกมาหลายหัว เป็นเผือกพันธุ์ที่มีรสชาติค่อนข้างดี
นางนึกยินดีในใจ ขุดต่อไปอีกจนได้เผือกออกมาจำนวนมาก นางใช้จอบกวาดมากองรวมกัน น้ำหนักน่าจะราวยี่สิบกว่าจิน[1]
นางไม่สนใจเผือกที่ยังไม่ได้ขุดออกมา รีบเก็บฟืนแล้วขุดหลุมเผาเผือกกินทันที
ไม่มีหินเหล็กไฟ นางจึงใช้วิธีจุดไฟด้วยการถูไม้
ฉินเหยาขอแนะนำว่า คนธรรมดาไม่ควรลองจุดไฟด้วยวิธีนี้ เพราะหากเป็นคนไม่มีเทคนิค มืออาจพังแทน
แต่ในวันสิ้นโลกที่ไฟแช็กและไม้ขีดไฟเป็นของหายากนั้น การจุดไฟด้วยการถูไม้เป็นทักษะพื้นฐานที่ผู้รอดชีวิตทุกคนในฐานต้องมี
ฝ่ามือของเจ้าของร่างเดิมเต็มไปด้วยหนังหนา ฉินเหยาดึงแขนเสื้อยาวมาห่อมือไว้ป้องกัน นำใบสนใส่ลงไปในร่องไม้ที่เจาะไว้เพื่อเป็นเชื้อไฟแล้วหมุนไม้แหลมในฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก แรงเสียดทานมหาศาลก็ทำให้ใบสนเริ่มมีควันลอยขึ้นมา
ฉินเหยารอจังหวะแล้วเป่าลมเบาๆ ใบสนก็ลุกพรึ่บติดไฟในทันที
นางนำเชื้อไฟไปวางบนกองฟืนที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้วไฟก็ติดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ที่นี่เป็นเขตรอบนอกของป่าทึบ มีหญ้าขึ้นรกและต้นไม้ไม่สูงมาก ด้วยเกรงว่าจะเกิดไฟป่า ฉินเหยาจึงใช้จอบขุดคูป้องกันไฟเป็นวงกลมไว้แล้วจ้องมองอย่างระมัดระวัง
เผือกถูกวางไว้ข้างกองไฟเพื่อย่าง ไม่นานกลิ่นหอมเฉพาะตัวของอาหารก็ลอยออกมา
ฉินเหยากลืนน้ำลาย ใช้พลังใจมหาศาลอดทนรอจนเผือกสุกทั้งหมด ก่อนหยิบขึ้นมากินอย่างอดไม่ไหว
เมื่อลอกเปลือกออก กลิ่นหอมยิ่งแรงขึ้น นางไม่สนว่าเผือกจะร้อนลวกปาก รีบกัดลงไปคำใหญ่ เนื้อเผือกนุ่มละมุนแฝงรสหวานจางๆ ร้อนเสียจนน้ำตาไหล
ฉินเหยากินเผือกรวดเดียวห้าถึงหกหัว เมื่อความแสบร้อนในกระเพาะเริ่มบรรเทาลงมากแล้ว นางจึงค่อยลดความเร็วลง
ย่างเผือกไปทั้งหมดสิบสองหัว ฉินเหยากินเองแปดหัว ที่เหลืออีกสี่หัวนางไม่กล้ากินต่อ เพราะหิวโหยมาเป็นเวลานาน หากกินมากเกินไปอาจทำให้กระเพาะรับไม่ไหว
เผือกที่ย่างสุกสี่หัวถูกวางพักไว้ข้างหนึ่ง นางขุดดินเพื่อดับกองไฟแล้วหยิบจอบไปขุดหัวเผือกต่อ
เมื่อท้องถูกเต็มเติม กำลังกายของนางก็กลับคืนมาเจ็ดถึงแปดส่วน นางยังรู้สึกได้ว่าพลังพิเศษของตัวเองกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ
เพียงฟันจอบลงไปหนึ่งครั้ง จอบทั้งเล่มก็จมลึกลงในดิน งัดเพียงครั้งเดียว เผือกทั้งกอพร้อมรากและใบก็ถูกขุดขึ้นมาอย่างง่ายดาย
หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยคงต้องตกตะลึงแน่นอน
แรงของหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลับไม่แพ้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเลยแม้แต่นิด
ฉินเหยาขุดเผือกกอนี้จนหมดแล้ว กองเผือกกลายเป็นเนินเล็กๆ คาดว่ามีน้ำหนักประมาณห้าหรือหกสิบจิน
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น แมลงพิษและยุงในป่าก็เริ่มมากขึ้น ฉินเหยาไม่ไดเเตรียมตัวจึงไม่กล้าอยู่ต่อนานนัก
นางหาเถาวัลย์ใกล้ๆ มาทำถุงตาข่ายชั่วคราว ใส่เผือกทั้งหมดเข้าไป ใช้จอบเป็นคานหาม แบกถุงตาข่ายไว้ทั้งสองด้าน โถดินก็ผูกไว้บนถุงตาข่ายแล้วเดินลงเขากลับบ้าน
ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน นางพบชาวบ้านที่กำลังทำงานในไร่ เมื่อเห็นนางหาบเผือกกลับมา พวกชาวบ้านต่างมองด้วยสายตาเห็นใจ นึกทอดถอนใจ
เหยาเหนียงที่มาใหม่ช่างน่าสงสาร สาวน้อยดีๆ คนหนึ่งแต่งให้เจ้าหลิวสามคนสารเลวนั่น หิวจนต้องกินของมีพิษพวกนี้
น่าเวทนาเหลือเกิน!
ฉินเหยาไม่สนใจสายตาเวทนาหรือเหยียดหยามเหล่านั้น นางคิดเพียงอยากรีบกลับถึงบ้านเพื่อดูว่าลูกเลี้ยงทั้งสี่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ถึงแม้ไม่มีใครดูแลพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังรอดมาได้จนถึงตอนนี้ ทว่าฉินเหยาก็ยังอดห่วงไม่ได้
แม้แต่ในวันสิ้นโลก นางก็ยังไม่เคยเห็นเด็กที่ผอมแห้งเช่นนี้มาก่อน เพราะในฐานจะมีสวัสดิการรัฐ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่าหกปี แม้จะกินไม่อิ่ม แต่ก็ไม่ถึงกับอดตาย
ฉินเหยาอาศัยจังหวะลูบเผือกสี่หัวที่ยังอุ่นในอ้อมอก จากนั้นเร่งฝีเท้าตามเส้นทางในความทรงจำมุ่งหน้าสู่บ้านตระกูลหลิว
แต่ไม่คิดว่า ยังไม่ทันถึงหน้าประตูกระท่อมทรุดโทรมหลังนั้นก็ได้ยินเสียงตวาดด่าดังลอยมาจากที่ไกลๆ และยังมีเสียงร้องไห้ด้วยความตกใจของเด็กๆ
ฉินเหยาหน้าเครียดขึ้นทันที นางช้อนตามองไปก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนล้อมอยู่ที่หน้าประตูบ้านตน และยังเห็นเจ้าสารเลวที่หายตัวไปหลายวันกำลังถูกชาวบ้านที่ถือจอบและไม้ไล่ตีจนต้องเอามือกุมหัววิ่งหนี
หลิวต้าหลางวัยแปดขวบและหลิวเอ้อร์หลางวัยหกขวบกำลังพยายามปกป้องบิดาสารเลวของพวกเขา เด็กทั้งสองวิ่งไปขวางด้านหน้าของหลิวจี้ อยากจะขวางชาวบ้านที่ดุร้ายเหล่านี้
ถึงบิดาจะเป็นคนเลวแค่ไหน แต่อย่างไรก็เป็นบิดา ความรักของเด็กๆ นั้นบริสุทธิ์ การกระทำของพวกเขาจึงสามารถเข้าใจได้
แต่พฤติกรรมของผู้เป็นพ่อนั้นกลับชวนให้คนสับสนเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่เพียงไม่ห้ามเด็กทั้งสองแต่กลับไม่กังวลเลยสักนิดว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ พุ่งตัวเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังลูกชายอย่างคล่องแคล่วพร้อมทั้งตะโกนให้ลูกๆ ช่วยห้ามชาวบ้านเหล่านั้น ให้เด็กๆ ออกหน้าแทนเขา
“ต้าหลาง เอ้อร์หลาง จัดการเลย!”
แต่ก็ราวกับนำไข่ไปกระทบหิน เด็กชายผอมแห้งสองคนถูกผลักจนล้มลงไปกองกับพื้นอย่างแรง เจ็บจนเกร็งไปทั้งร่าง
คู่แฝดชายหญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านร้องไห้โฮ ร้องไปก็ตะโกนไปว่า “อย่าตีพี่ชายข้า… ฮือๆ… อย่าตีพี่ชายข้า!”
[1] หนึ่งจิน ประมาณ ครึ่งกิโลกรัม