ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 200 ส่งมอบของ
เด็กๆ ในตระกูลติงจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากเหล่าผู้อาวุโสและญาติผู้ใหญ่ในตระกูลติงโดยเฉพาะ
ส่วนเด็กสามสิบคนที่ได้รับสิทธิ์เข้าเรียนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายนั้น จะได้รับการสั่งสอนเบื้องต้นจากอาจารย์เฉิงในห้องเรียนที่อยู่ด้านข้างของสำนักศึกษา
อาจารย์ติงที่เคยพบกันมาก่อนนั้น จะมาปรากฏตัวบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ดังนั้น สถานการณ์ของสี่พี่น้องจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซานหลางและซื่อเหนียงเน้นการเรียนรู้พื้นฐานเป็นหลัก บรรยากาศการเรียนจึงค่อนข้างผ่อนคลาย
ส่วนบรรยากาศฝั่งต้าหลางและเอ้อร์หลางนั้นกลับเข้มงวดยิ่งนัก เพราะเหล่าเด็กๆ ตระกูลติงที่เข้าเรียนพร้อมกันนั้นล้วนมีพื้นฐานมาก่อนแล้ว ทำให้บทเรียนที่อาจารย์สอนมีความลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้น
ยิ่งไปกว่านั้น จุดประสงค์ของการเรียนคือเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสอบเคอจวี่ บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความจริงจังเคร่งเครียด
โชคดีที่สองพี่น้องเองก็พากเพียรอย่างยิ่ง หลังกลับถึงบ้านก็จุดตะเกียงอ่านหนังสือล่วงหน้า ทบทวนบทเรียนของวันพรุ่งนี้พร้อมกับเสริมความรู้ในส่วนที่ตนเองยังไม่เคยได้เรียนมาก่อน เพื่อเร่งตามให้ทันสหายร่วมชั้น
ในตอนนี้พวกเขาเพิ่งเข้าเรียนจึงยังไม่เห็นความแตกต่างของระดับความรู้มากนัก ขอเพียงเร่งศึกษาชดเชยให้ทันก็พอ
ต้าหลางเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ส่วนเอ้อร์หลางก็รู้จักปกปิดความสามารถของตนเอง ทำให้เหล่าลูกหลานตระกูลติงยังไม่ทราบถึงระดับของพวกเขา เวลาที่อยู่ร่วมกันจึงยังถือว่าเป็นไปอย่างราบรื่น
เมื่อพูดคุยกันจบและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ห้าแม่ลูกก็กลับเข้าห้องเด็ก ฉินเหยาหยิบตำราเรียนของพวกเขาขึ้นมา ช่วยสอนเสริมให้สี่พี่น้อง
ในช่วงกลางวัน สิ่งใดที่ท่านอาจารย์สอนในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เด็กๆ ฟังไม่เข้าใจ หรือส่วนที่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยตนเอง ตลอดจนเรื่องใดที่สามารถศึกษาล่วงหน้า ฉินเหยาก็ล้วนจัดแจงแบ่งหมวดให้พวกเขาอย่างชัดเจน ชี้แนะให้เรียนรู้ด้วยตนเอง และพยายามแปลความตัวอักษรอันน่าเบื่อเหล่านั้นให้มีชีวิตชีวาขึ้น เพื่อปลุกความสนใจของเด็กๆ ขึ้นมา
หากปลูกฝังนิสัยการเรียนรู้ด้วยตนเองที่ดีได้ ต่อไปนางก็ไม่ต้องปวดหัวกับการสอนการบ้านให้เด็กทั้งสี่อีกแล้ว!
นับตั้งแต่เด็กทั้งสี่ไปเรียนหนังสือ ฉินเหยาก็รู้สึกได้ชัดว่าเรี่ยวแรงของตนเริ่มถดถอย
นอนก็ดึก ตื่นก็เช้า ทุกวันยังต้องไปส่งและรับลูกๆ พอกลับถึงบ้านยังต้องเร่งทำหีบหนังสือเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวอีก
วันก่อนออกเดินทางไปส่งหีบหนังสือที่สำนักศึกษาตระกูลติง ฉินเหยาแวะเข้าหมู่บ้านก่อนเพื่อไปขอแรงญาติในตระกูลหลิวสองคนซึ่งที่บ้านเพิ่งเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเสร็จให้มาช่วยเกี่ยวข้าวให้
หมู่ละยี่สิบห้าเหวิน ไม่รวมค่าอาหารล้วนมอบหมายให้ทั้งสองทำทั้งหมด
เมื่อเกี่ยวเสร็จ พวกเขาก็ช่วยขนมากองไว้ที่ลานหน้าบ้าน จากนั้นนางจะค่อยๆ ขนเข้าบ้านเอง
เพื่อป้องกันฝนตก ฉินเหยาได้ให้คนมาช่วยสานเสื่อผึ่งแดดไว้ล่วงหน้าถึงสามผืน ข้าวสาลีที่สองคนนั้นเกี่ยวไว้ก็ใช้เสื่อเหล่านี้คลุมไว้ให้เรียบร้อยก็พอ
โชคดีนักที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด และในช่วงเก็บเกี่ยวก็หยุดติดต่อกันถึงสามวัน เด็กทั้งสี่จะได้กลับมาช่วยนางฟาดข้าวสาลี
หลังจากจัดการเรื่องในไร่เสร็จ นางก็กินอาหารง่ายๆ ที่ต้าหลางทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จากนั้นเร่งบังคับเกวียนวัว ขนหีบหนังสือยี่สิบใบมุ่งหน้าสู่เมืองจินสือ
หีบหนังสือสิบห้าใบนั้นเป็นของที่ลูกค้าสั่งไว้ ส่วนอีกห้าใบ นางตั้งใจจะลองนำไปขายในตัวเมืองดู
เมื่อฉินเหยามาถึงก็เป็นช่วงเที่ยงที่นักเรียนในสำนักศึกษากำลังพักกลางวันพอดี
เอ้อร์หลางกับต้าหลางคาดว่านางน่าจะมาถึงในช่วงเวลานี้ จึงเรียกเหล่าสหายที่สั่งหีบหนังสือไว้ให้ออกมารออยู่หน้าสำนักศึกษาด้วยกัน
ไม่นานนักก็เห็นเกวียนวัวคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างมั่นคง สองพี่น้องสบตากันด้วยความยินดี ต้าหลางก้าวไปต้อนรับ ส่วนเอ้อร์หลางก็บอกกับสหายร่วมชั้นว่าหีบหนังสือพลังเซียนของพวกเขามาถึงแล้ว
ฉินเหยาขับเกวียนวัวเข้ามาใกล้ เดิมทีคิดว่าสหายร่วมชั้นเหล่านี้คงเป็นเพียงเด็กอายุประมาณสิบปี คาดไม่ถึงว่าคนที่อายุมากที่สุดกลับดูเหมือนจะอายุสิบแปดสิบเก้าปีแล้ว
เด็กแปดขวบอย่างเอ้อร์หลางกลับเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนี้
มิน่าเล่า กำลังซื้อจึงมีไม่น้อยเลย ห้องเรียนหนึ่งมีนักเรียนเพียงยี่สิบกว่าคน แต่กลับมีถึงสิบห้าคนที่ซื้อหีบหนังสือพลังเซียน
ฉินเหยาจอดเกวียนวัวไว้ข้างทาง ต้าหลางเดินเข้ามาช่วย นางยิ้มพลางถามว่า “กินข้าวเที่ยงแล้วหรือยัง”
ต้าหลางพยักหน้า “กินแล้วขอรับ พอกินเสร็จก็คาดว่าท่านน่าจะใกล้มาถึงแล้ว เราจึงออกมารอ”
“แล้วซานหลางกับซื่อเหนียงเล่า” ฉินเหยาถามต่อ พลางผูกเชือกวัวไว้กับต้นไม้ข้างทางเพื่อป้องกันอันตราย
ต้าหลางอธิบายว่า “พวกเขากำลังคัดอักษรอยู่ ตอนบ่ายต้องส่งให้ท่านอาจารย์ตรวจ ข้ากับเอ้อร์หลางจึงไม่ได้เรียกพวกเขามา”
อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นปีแรกที่มีราชโองการให้ศึกษาเล่าเรียนได้ ถือว่าเป็นเรื่องดีมากแล้ว การที่ตระกูลติงจะเป็นห่วงว่าคนนอกจะส่งผลกระทบต่อลูกหลานของตนก็สามารถเข้าใจได้
เอ้อร์หลางนำกลุ่มเด็กหนุ่มเดินเข้ามา ฉินเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลง เพียงยิ้มให้พวกเขา แล้วหยิบรายการสั่งซื้อออกมา จากนั้นก็ส่งมอบหีบหนังสือพลังเซียนให้แต่ละคนตรวจสอบว่ามีตำหนิหรือไม่
เหล่าเด็กหนุ่มเฝ้ารอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ได้รับหีบหนังสือพลังเซียนที่ตนสั่งซื้อ ต่างก็พากันยินดีตื่นเต้น ทันทีที่ได้รับของก็นำไปทดลองใช้ภายใต้คำแนะนำของต้าหลางและเอ้อร์หลาง
ช่างไม้หลิวขัดเงาล้อไม้และที่จับแบบดึงออกจนเรียบลื่นเป็นอย่างยิ่ง การดึงออกและการหมุนจึงเป็นไปอย่างราบรื่น
หากเป็นถนนที่เรียบดีก็สามารถเข็นไปข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่บนถนนที่มีหลุมบ่อบ้าง การลากไปก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
แต่แล้วนักเรียนคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “หากมันสามารถสะพายขึ้นบ่าได้เหมือนหีบหนังสือแบบเดิมก็คงจะดี”
ฉินเหยาได้ยินดังนั้นก็นึกขึ้นได้ ใช่แล้ว! เกือบลืมไปเลยว่า สำหรับนักเรียนที่มีอายุมากขึ้น สายสะพายนั้นเป็นสิ่งจำเป็น
หีบหนังสือพลังเซียน หากเพิ่มสายสะพายที่สามารถถอดเข้าออกได้ ก็คงจะไร้เทียมทานเลยทีเดียว!
ทว่า หีบหนังสือชุดนี้กำลังจะส่งมอบจึงไม่มีเวลาเพิ่มสายสะพายแล้ว ฉินเหยาคิดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเสนอความคิดให้กับนักเรียนคนนั้น
“สหายผู้นี้ ความคิดของเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก เอาเช่นนี้ เจ้าลองกลับไปให้คนในบ้านช่วยทำเชือกตาข่ายขึ้นมาสักผืน มันสามารถใช้คล้องเข้ากับหีบหนังสือได้อย่างง่ายดายมากแล้วผูกสายสะพายให้พอเหมาะ ก็จะสามารถถอดเข้าออกได้ตลอดเวลา หากต้องเดินทางในวันที่ฝนตกหรือทางเฉอะแฉะ ก็สามารถสะพายขึ้นหลังได้”
พูดจบ ฉินเหยาก็หยิบหีบหนังสือจากมือของนักเรียนคนอื่นมาถือไว้ ก่อนจะชี้ไปยังหลุมกลมลึกที่อยู่ด้านบนของหีบหนังสือ
“พวกเจ้าดูตรงนี้ ที่ตรงนี้เอาไว้เสียบด้ามร่ม เวลาฝนตกก็เสียบร่มไว้ตรงนี้ ทั้งคนทั้งหีบหนังสือก็จะไม่เปียกฝน”
เนื่องจากหีบหนังสือนี้ถูกดัดแปลงมาจากแบบดั้งเดิม ช่างไม้หลิวจึงตั้งใจเผื่อที่ไว้สำหรับเสียบร่มตั้งแต่เริ่มออกแบบแล้ว
เมื่อเหล่านักเรียนได้ยินว่านอกจากจะเสียบร่มได้ ยังสามารถออกแบบสายสะพายให้กับหีบหนังสือได้เอง ก็เกิดความรู้สึกตื่นเต้นราวกับได้ครอบครองของพิเศษเฉพาะตนเอง
เมื่อยืนยันว่าหีบหนังสือไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว นักเรียนแต่ละคนก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อชำระเงินส่วนที่เหลือ
เงินห้าร้อยกว่าเหวินนั้น เพียงพอให้ครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านตระกูลหลิวซึ่งมีห้าชีวิตซื้อเนื้อหมูได้ถึงยี่สิบห้าจิน แต่นักเรียนเหล่านี้กลับจ่ายมันออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ใช้จ่ายกันราวกับซื้อของเล่นสิบเหวินเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียงไม่กี่คนที่ใช้เงินเหรียญ ส่วนใหญ่ล้วนจ่ายกันด้วยเงินหกเฉียน โชคดีที่ฉินเหยาเตรียมเงินเหรียญไว้เพียงพอสำหรับทอน มิเช่นนั้นคงไม่มีเงินทอนให้แน่
หีบหนังสือพลังเซียนสิบห้าใบถูกส่งออกไป คิดเป็นเงินแปดตำลึงสามเฉียนกับเจ็ดสิบเหวิน
เวลาพักเที่ยงนั้นสั้นนัก พอรับหีบหนังสือเสร็จ นักเรียนแต่ละคนก็หอบหีบหนังสือพลังเซียนกลับเข้าไปด้านในอย่างยินดีทันที
ฉินเหยากำชับต้าหลางและเอ้อร์หลางให้รอตนเองมารับในช่วงบ่าย นางยังต้องไปตั้งแผงที่ตลาดในเมืองอีก
สองพี่น้องตื่นเต้นยินดี รีบรับคำโดยไม่รอช้า
ฉินเหยามองส่งทั้งสองเข้าสำนักศึกษาไปแล้ว จึงควบเกวียนวัวบรรทุกหีบหนังสือที่เหลืออีกห้าใบ มุ่งหน้าไปยังถนนในเมือง
ครั้นผ่านหน้าจวนตระกูลติง นางก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลี้ยวไปยังประตูหลัง เคาะห่วงทองเหลืองบนบานประตู
จางปาผู้คุ้มกันประจำจวนเปิดประตูออกมา พอเห็นว่าเป็นฉินเหยาก็ตาโตด้วยความประหลาดใจ “ฉินเหนียงจื่อ ท่านมาแล้วหรือ!”
จากนั้นก็รีบเปิดประตูหลังจนสุด ไม่ต้องวิ่งเข้าไปแจ้งผู้ใดก็เชื้อเชิญฉินเหยาให้เข้าไปโดยตรง
………………..