ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 210 มีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง
ตอนที่ 210 มีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง
………………..
หลิวฉีกล่าวว่า ปู่ของเขาออกไปหาหัวหน้าตระกูลตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องปรึกษา “บางทีอาจเป็นเรื่องวางแผนไถหว่านพืชผลในฤดูใบไม้ผลิ”
เมื่อพูดจบ เขายังเหลือบมองฉินเหยาอย่างคาดหวัง ปีนี้ทุกคนต่างรอให้นางเป็นผู้นำชี้แนะวิธีเพาะปลูก หวังให้ได้ผลผลิตสูงถึงห้าร้อยจินต่อหมู่เช่นเดียวกับบ้านของนางเมื่อปีที่แล้ว
ฉินเหยาครุ่นคิดถึงเรื่องกักตุนเสบียง ไม่มีเวลามากล่าวอะไรกับหลิวฉีมาก นางคว้าหลิวจี้ที่กำลังคิดจะไปอาศัยบ้านผู้ใหญ่บ้านเพื่อกินข้าวเช้า ก่อนรีบตรงไปยังบ้านหัวหน้าตระกูล
อย่างที่คิดชายชราสองคนอยู่ด้วยกันจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้กำลังหารือเรื่องการเพาะปลูก
ฉินเหยาเดินเข้าประตูมา ยังมิได้ดื่มน้ำสักหยด ก็รีบกล่าวถึงความกังวลของนางเกี่ยวกับเสบียงสำรองที่แต่ละบ้านในหมู่บ้านมีอยู่น้อยเกินไป
“เจ้าคิดจะกักตุนเสบียงหรือ” ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลเอ่ยขึ้นพร้อมกัน สีหน้าของพวกเขาดูไม่เหมือนกับที่นางคิดไว้เลย มิใช่ความเหนื่อยหน่ายที่กลัวจะต้องยุ่งยาก ตรงกันข้าม ดวงตาของชายชราทั้งสองกลับเปล่งประกายขึ้นทันที
ฉินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวหยั่งเชิงว่า “หรือว่าท่านทั้งสองก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน?”
ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลรีบพยักหน้ารัวๆ ช่างเป็นความบังเอิญอันน่ายินดีจริงๆ!
ทั้งสองรีบดึงฉินเหยาให้นั่งลง ก่อนจะบอกนางว่า พวกเขากำลังเตรียมจะนำเงินที่นางมอบให้กองกลางของหมู่บ้านเมื่อปีที่แล้วจากการขายหิน มาใช้ซื้อเสบียงเพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้คนในหมู่บ้านที่กำลังลำบาก
ส่วนแผนการซ่อมถนนนั้น คงต้องเลื่อนออกไปก่อน
แต่พวกเขากลัวว่าตระกูลอื่นๆ จะไม่เห็นด้วยที่นำเงินไปซื้อเสบียงแทนการซ่อมถนน จึงกำลังหาทางออกกันอยู่พอดี
เงินจำนวนนี้ถูกเก็บสะสมมาจนถึงตอนนี้ ได้ทั้งหมดหนึ่งตำลึงหกเฉียน หากคิดตามราคาข้าวหยาบในปัจจุบันที่อยู่ที่สามเหวินต่อหนึ่งจินก็สามารถซื้อข้าวหยาบได้ห้าร้อยสามสิบสามจิน
หากเป็นเมื่อก่อน แม้จะมีใจจะทำแต่ก็คงไร้ซึ่งกำลัง
แต่ปีนี้เงินในกองกลางมีอยู่พอดีจึงคิดจะใช้มันช่วยเหลือคนในตระกูลก่อน
ฉินเหยามองหลิวจี้แวบหนึ่ง ดูเถิด นี่แหละคือวิสัยทัศน์ของผู้นำ!
ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลล้วนเป็นผู้มีวัยวุฒิและประสบการณ์ ย่อมคิดการณ์ไกลกว่าหนุ่มสาวในหมู่บ้าน ทางการบอกว่าในเดือนห้าหรือหกเสบียงที่ขาดไปก็จะมีมาทดแทนได้พอดี แต่ใครจะรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
สุดท้ายแล้ว ชีวิตของตนก็ต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก
เรื่องนี้กลับตรงกับความคิดของฉินเหยาโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสามปรึกษากัน หากจะกักตุนเสบียงก็ต้องตุนให้มาก ตุนกันทั้งหมู่บ้าน ยังจะกลัวว่าเสบียงไม่พออีกหรือ
เมื่อฉินเหยาเป็นผู้เสนอความคิดกักตุนเสบียงก่อน ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลก็ยิ่งมีความมั่นใจในชาวบ้านมากขึ้น ตอนเที่ยงจึงเรียกชาวบ้านที่ว่างเวียนมาเพื่อสอบถามความคิดเห็น
น่าเสียดาย สถานการณ์กลับแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง
บ้านที่มีเสบียงพอไม่อยากเสียเงินก้อนนี้
บ้านที่เสบียงขาดไปเล็กน้อยก็อยากไปขอยืมจากญาติพี่น้องแทน
ส่วนบ้านที่เสบียงไม่พอ ได้แต่ยิ้มขมขื่น บอกว่าพวกเขาอยากกักตุนเช่นกัน แต่ไม่มีเงิน
สุดท้ายทุกคนก็หันไปมองหัวหน้าตระกูลและผู้ใหญ่บ้าน ท่านว่าควรทำอย่างไรดี?
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางแบมือ “หมดหนทางแล้ว!”
อย่างไรเสีย สิ่งที่ควรเตือนพวกเขาก็ได้เตือนไปหมดแล้ว หากทุกคนไม่เต็มใจจะร่วมกันซื้อเสบียง ก็ทำได้แค่ให้แต่ละบ้านเตรียมการกันเอาเอง เคราะห์ดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเถิด
หัวหน้าตระกูลถอนหายใจยาว “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รู้จักเรียนรู้จากฉินเหนียงจื่อและหลิวจี้บ้างเล่า บ้านของพวกเขาก็หาได้ขาดแคลนเสบียงไม่ แต่ยังรู้จักกักตุนไว้บ้าง พวกเจ้าอย่าได้เสียดายเงินทองในมือแค่เล็กน้อย หากฤดูเก็บเกี่ยวในปีนี้ไม่ดีขึ้นมาเล่า”
ไร่นาถูกแมลงศัตรูพืชเล่นงาน เดิมทีก็ควรเตรียมใจรับมือกับผลผลิตที่ลดลงตั้งแต่เนิ่นๆ
บรรดาครอบครัวยากจนเหล่านั้นที่แต่เดิมก็เป็นผู้ที่อัตคัตที่สุดในหมู่บ้าน เมื่อได้ฟังก็ได้แต่แค่นยิ้มขมขื่น ด้วยสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ ต่อให้ต้องการกู้เงิน ก็ไม่มีผู้ใดยอมให้ยืม
ทำได้เพียงรอให้ผ่านฤดูไถหว่านไปก่อนแล้วค่อยเข้าเมืองไปหางานรับจ้างชั่วคราว ดูว่าจะพอหาเลี้ยงชีพได้หรือไม่
“ทุกคนล้วนเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน อีกทั้งบรรพบุรุษก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ย่อมควรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”
“แต่เดิม เงินจำนวนนี้ตั้งใจจะนำไปใช้ซ่อมแซมถนน ทว่าเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น การคิดเผื่อเอาไว้ล่วงหน้าย่อมดีกว่า ข้ากับผู้ใหญ่บ้านจึงอยากถามทุกคนว่า สามารถนำเงินก้อนนี้มาให้ครอบครัวเหล่านั้นยืมเพื่อซื้อเสบียงก่อนได้หรือไม่”
ครอบครัวเหล่านั้นหมายถึงครอบครัวใด ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเข้าใจแจ่มแจ้ง จึงหันไปมองบรรดาญาติร่วมตระกูลที่แม้แต่เสื้อผ้าหยาบๆ ก็ยังสวมใส่ไม่ครบ
ภายใต้การส่งสัญญาณอย่างชัดเจนของฉินเหยา หลิวจี้เป็นคนแรกที่ยกมือเห็นด้วย
เหล่าญาติผู้ยากไร้พากันมองเขาด้วยความประหลาดใจ คล้ายคาดไม่ถึงว่าเจ้าหลิวสามที่พวกเขาเคยดูแคลนมากที่สุด จะมีน้ำใจงดงามเช่นนี้
หลิวจี้ยืดอกขึ้น เอ่ยในใจว่าบิดาคนนี้หาใช่หลิวจี้คนเดิมอีกต่อไปแล้ว!
ตอนนี้เขาคือ หลิว ถงเซิง จี้!
หลิวเหล่าฮั่นมองดูบุตรชายคนที่สามของตนด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะยกมือขึ้นตามด้วยอีกคน “ครอบครัวของข้าก็เห็นด้วย”
หลิวต้าฝูเองก็เห็นด้วยเช่นกัน
เมื่อมีผู้เริ่มนำร่องก็มีอีกหลายครอบครัวยกมือขึ้นแสดงความเห็นชอบตามมา
สุดท้ายเสียงที่เห็นด้วยเป็นฝ่ายชนะ หัวหน้าตระกูลและผู้ใหญ่บ้านจึงนำเงินออกมาวางตรงหน้าคนในตระกูลและชาวบ้านทั้งหลาย นำไปให้ครอบครัวที่ยากจนที่สุดยืมพร้อมทั้งลงลายมือชื่อและประทับตราเป็นหลักฐาน
แน่นอนว่าเงินก้อนนี้จะไม่ถูกมอบให้พวกเขาโดยตรง หมู่บ้านต้องจัดหาคนไปซื้อเสบียงมาก่อน แล้วจึงแบ่งให้ตามจำนวนเงินที่ยืมไป
แม้จะเรียกว่ายืมเงิน แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงการช่วยเหลือจากหมู่บ้านเท่านั้น
หากมีเงินใช้คืนได้ก็เป็นการดี แต่หากคืนไม่ได้ก็อย่าหวังมากนัก
ชาวบ้านหลายคนที่ลงคะแนนคัดค้านต่างไม่พอใจ เมื่อออกจากศาลบรรพชนแล้วก็ยังถกเถียงกันอยู่นานกว่าจะสงบลง
อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่ถูกเตือนสติจึงตัดสินใจทำตามคำของผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูล เตรียมสะสมเสบียงไว้บ้าง
ครอบครัวของหลิวเหล่าฮั่นยังไม่แน่ใจนักจึงชวนฉินเหยาสองสามีภรรยากลับไปที่เรือนเก่าเพื่อปรึกษาหารือกัน
เมื่อรู้ว่าทั้งสองคนยังไม่ได้กินข้าวเช้า นางเหอจึงลงมือทำอาหารให้ ทั้งคู่ได้รับข้าวต้มผักคนละชาม
หลิวจี้ที่เคยชินกับอาหารอันอุดมสมบูรณ์ของครอบครัว ตักข้าวต้มขึ้นมากินอย่างไร้รสชาติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกลืนลงไปจนหมดชาม
หลังจากกินเสร็จ หลิวเหล่าฮั่นก็กล่าวถึงสถานการณ์ของครอบครัว เสบียงของปีที่แล้วยังมีอยู่ หากไม่มีการเกณฑ์แรงงานก็พอกินไปถึงปีหน้าได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงยังไม่รู้ว่าควรสะสมเพิ่มอีกหรือไม่
ฉินเหยาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยิ่งนัก “กักตุน! กักตุนได้เท่าใดก็กักตุนให้มากที่สุด หากไม่มีเหตุอันใดก็เก็บไว้กินเอง แต่หากเกิดเรื่องขึ้นมาจะสามารถช่วยชีวิตได้”
บางทีอาจจะมีกำไรเล็กน้อยด้วยซ้ำ แต่คำพูดนี้ฉินเหยาไม่ได้กล่าวออกไป
เหล่าผู้คนในเรือนเก่าไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนนัก พูดมากไปอาจยิ่งทำให้พวกเขากังวลโดยไม่จำเป็น
หลิวเหล่าฮั่นเอ่ยถามฉินเหยาว่าคิดจะกักตุนเท่าใด
“ดูราคาธัญพืชในตอนนี้ก่อนเถอะ อย่างน้อยต้องกักตุนให้พอสำหรับหนึ่งปี”
ทุกคนคำนวณในใจ ปริมาณอาหารที่ครอบครัวของฉินเหยาต้องใช้ในหนึ่งปีนั้น ต้องมีถึงสามพันจิน
ปริมาณเท่านี้ยังสามารถซื้อหาได้ เพียงแต่หากคนอื่นต่างกักตุนด้วย ร้านข้าวในเมืองอาจจะขึ้นราคา
ไม่ถูกต้อง! ตอนนี้ราคาก็ขึ้นแล้ว ข้าวขาวหนึ่งจินต้องใช้เงินถึงสิบสองเหวิน
หลิวเหล่าฮั่นมองไปยังนางจาง นางจางกล่าวว่า “ครอบครัวของพวกเราสามารถนำเงินออกมาได้มากสุดสามตำลึง”
ความหมายก็คือพวกเขาต้องการกักตุนธัญพืชร่วมกับฉินเหยา
ฉินเหยาพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเข้าใจแล้วชี้ไปที่หลิวจี้โดยตรง “เจ้ารับหน้าที่จัดซื้อ”
หลิวจี้ที่กำลังเหม่อลอยมองฟ้า ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้ แววตาปรากฏความยินดีวาบผ่าน ก่อนจะรีบตอบรับทันที
นี่เป็นโอกาสดีที่จะซุกซ่อนเงินส่วนตัว!
ฉินเหยาจะปล่อยให้เขาสมหวังได้อย่างไร
นางส่งสายตาให้หลิวเหล่าฮั่นเป็นนัย หลิวเหล่าฮั่นจึงผลักหลิวเฝยไปอยู่ตรงหน้าหลิวจี้
“เจ้าสาม เจ้าช่วยดูแลเจ้าสี่ให้ดี สั่งสอนเขาให้มากหน่อย พวกเจ้าสองคนไปดูที่ตัวอำเภอก่อน หากไม่มีค่อยไปที่อำเภอข้างเคียง”
หัวใจของหลิวจี้สะดุดไปครู่หนึ่ง แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออก เขายกแขนโอบไหล่หลิวเฝยพลางกล่าวด้วยท่าทางสนิทสนมว่า “วางใจเถอะ ข้าจะสั่งสอนเขาให้ดี”
ทั้งสองรีบดึงฉินเหยาให้นั่งลง ก่อนจะบอกนางว่า พวกเขากำลังเตรียมจะนำเงินที่นางมอบให้กองกลางของหมู่บ้านเมื่อปีที่แล้วจากการขายหิน มาใช้ซื้อเสบียงเพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้คนในหมู่บ้านที่กำลังลำบาก
หากเป็นเมื่อก่อน แม้จะมีใจจะทำแต่ก็คงไร้ซึ่งกำลัง
ส่วนแผนการซ่อมถนนนั้น คงต้องเลื่อนออกไปก่อน
เงินจำนวนนี้ถูกเก็บสะสมมาจนถึงตอนนี้ ได้ทั้งหมดหนึ่งตำลึงหกเฉียน หากคิดตามราคาข้าวหยาบในปัจจุบันที่อยู่ที่สามเหวินต่อหนึ่งจินก็สามารถซื้อข้าวหยาบได้ห้าร้อยสามสิบสามจิน
แต่ปีนี้เงินในกองกลางมีอยู่พอดีจึงคิดจะใช้มันช่วยเหลือคนในตระกูลก่อน
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องการให้ยืมเสบียงก็ต้องมีเสบียงเสียก่อนจึงจะให้ยืมได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูล แต่ก็ไม่อาจบีบบังคับพวกร่ำรวยกว่าแบ่งเสบียงให้ชาวบ้านคนอื่นได้ ทำได้เพียงกล่าวให้กำลังใจเท่านั้น อย่างไรก็ยังต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแต่ละคน
หลิวเฝยสะบัดมือเขาออกทันที “อย่าแตะต้องข้า!”
เขาถอยออกไปสี่ถึงห้าเมตรด้วยท่าทีรังเกียจ ห่างจากหลิวจี้ไปไกล
นางเหอและนางชิวมองดูท่าทีเหมือนน้ำกับไฟของทั้งสองคนแล้วขมวดคิ้ว
สองคนนี้ไปด้วยกัน จะไหวแน่หรือ
ฉินเหยาส่งยิ้มปลอบประโลมพวกนาง เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องกังวลหรอก