ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 212 ขอทาน
ตอนที่ 212 ขอทาน
………………..
“หัดเรียนตัวอักษรจากจินเป่าให้มากหน่อย เจ้าอายุป่านนี้แล้ว แม้แต่ชื่อของตัวเองก็ยังเขียนไม่ได้ พูดออกไปเกรงจะเป็นเรื่องขบขัน” หลิวจี้กล่าวพลางเป่าหมึกบนจดหมายให้แห้งแล้วถือโอกาสสั่งสอน
เห็นหลิวเฝยยืนงงๆ ทำหน้าเหม่อเพราะโดนข่มเข้าให้ ในใจของหลิวจี้ก็ขำกลิ้งอย่างสะใจ แต่สีหน้ายังคงทำท่าทางจริงจังเต็มที่แล้วพูดต่อว่า
“พี่สามของเจ้าน่ะ ตอนนี้ผ่านการสอบรอบแรกแล้ว ถึงแม้สองบ้านเราจะแยกบ้านกันไปแล้ว แต่ในหมู่บ้านใครกันที่ไม่ถือว่าเรายังเป็นครอบครัวเดียวกัน? อีกหน่อยอย่างไรบ้านเราก็นับได้ว่าเป็นตระกูลบัณฑิต เขียนตัวอักษรไม่เป็นเลยจะได้อย่างไร”
หลิวเฝยรู้สึกต่ำต้อยอยู่เล็กน้อยจึงได้แต่ตอบรับเสียงอ่อย แต่ในใจก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของพี่สามเขานี้มันแปลกๆ อย่างไรชอบกล
ตระกูลบัณฑิตอย่างนั้นหรือ พวกเขาเนี่ยนะ…?
พวกเขาคู่ควรกับคำเรียกเช่นนั้นด้วยหรือ
ช่างเถอะ เรื่องของบัณฑิตไม่ต้องไปถามให้มาก ประเดี๋ยวจะเผลอแสดงท่าทีเป็นพวกบ้านนอกไม่รู้ความออกไป
สายฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายลงมาเป็นเส้นๆ ปกคลุมหมู่บ้านตระกูลหลิวไว้ด้วยม่านหมอกบางเบาชั้นหนึ่ง
ในท้องนาและตามไร่ล้วนเต็มไปด้วยชาวนาสวมงอบ ก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง
ฉินเหยาที่กำลังปรึกษาหารือกับช่างไม้หลิวเกี่ยวกับเรื่องกำลังการผลิตของหีบหนังสือพลังเซียน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกดังขึ้นว่า “อาสะใภ้สาม! มีจดหมายของท่าน!”
จดหมายหรือ
นี่ถือว่าเป็นของหายากในหมู่บ้านตระกูลหลิวเลยทีเดียวเชียว
ภายในหมู่บ้านมีเพียงไม่กี่คนที่รู้หนังสือ ฉินเหยาครุ่นคิดเพียงครู่ก็สามารถเดาได้ทันทีว่าผู้ส่งจดหมายมาให้นั้นคงเป็นพนักงานจัดซื้ออย่างหลิวจี้ส่งมาแน่นอน
นางวางงานในมือลงแล้วเดินออกไปข้างนอก หลิวฉีที่เพิ่งซื้อข้าวหยาบกลับมาจากข้างนอกกว่าห้าร้อยจินก็กำลังจูงเกวียนวัวของบ้านตัวเอง ยืนอยู่ใต้ซุ้มประตู
พอเห็นฉินเหยา เขาก็รีบส่งจดหมายในมือให้พลางกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าเจอสารถีจากหมู่บ้านเซี่ยเหอระหว่างทาง เขาบอกว่าจดหมายฉบับนี้เป็นของท่านอาสามที่ฝากคนจากอำเภอทางใต้ส่งมาให้ พอดีเจอข้าก็เลยให้ข้านำกลับหมู่บ้านมาให้”
ฉินเหยาขอบคุณแล้วรับซองจดหมายมา
หลิวฉียุ่งอยู่กับการนำเสบียงที่ซื้อกลับมาไปแจกจ่ายให้ครอบครัวที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้านเหล่านั้น เขาจึงยิ้มแล้วขอตัวจากไปก่อน
ฉินเหยาเปิดซองจดหมายออกดู กวาดตาอ่านตัวอักษรเพียงไม่กี่บรรทัดก็เผยสีหน้าจนคำพูด
จดหมายนี้เป็นของหลิวจี้ส่งมาจริง ในนั้นเต็มไปด้วยถ้อยคำคร่ำครวญ ว่าเขาต้องลำบากมากเพียงใดตลอดทาง แต่สุดท้ายก็ไม่ทำให้ผิดหวัง สามารถซื้อข้าวสาลีราคาถูกได้กว่าหมื่นจิน
แต่ตอนนี้เงินของเขาหมดเกลี้ยงแล้ว ได้อ้อนวอนขอให้คนอื่นช่วย และอีกฝ่ายก็ช่วยเพียงแค่ส่งเขากับเสบียงไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากอำเภอไคหยางไปห้าสิบลี้ ขอให้นางช่วยไปรับเขาหน่อย
ตอนท้ายของจดหมาย เขายังบ่นว่านางไม่อยู่ข้างกาย ทำให้เขาหวาดกลัวว่าตนจะถูกปล้นทรัพย์หรือแม้แต่ถูกฉุดคร่าไปทำไม่ดีมิร้าย ทำเอาฉินเหยาขมวดคิ้วแน่น พูดไม่ออก
ช่างไม้หลิวไม่ได้ยินเสียงอะไรจากหน้าประตูอยู่นานจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ฉินเหนียงจื่อ เกิดอะไรขึ้นรึ”
“ไม่มีอะไร ข้าขอกลับบ้านก่อนสักครู่” ฉินเหยาตอบพลางส่งสัญญาณให้เขาวางใจ จากนั้นถือจดหมายเดินกลับไปยังหมู่บ้านเพื่อหาลูกมือ
ผู้คนในหมู่บ้านเริ่มไถหว่านกันแล้ว
ปีนี้ทุกคนในหมู่บ้านได้หารือกันว่าจะกันที่นาแปลงที่ดีที่สุดไว้ เพื่อเพาะปลูกพันธุ์พืชร่วมกับฉินเหยาอย่างจริงจัง ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงเร่งไถนาและหว่านเมล็ดในพื้นที่ที่อยู่ไกลและแห้งแล้งก่อน
ฉินเหยาคิดจะขอยืมรถใช้อยู่เหมือนกัน แต่ทุกคนต่างก็ต้องใช้รถกันทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่านางคงยืมไม่ได้
สุดท้ายนางจึงทำได้เพียงไปที่เรือนเก่าแล้วเรียกหลิวไป่และหลิวจ้งให้ไปด้วยกัน ตรงไปยังตลาดเพื่อเช่ารถม้าแล้วขับออกไปยังโรงเตี๊ยมนอกชานเมืองเพื่อรอรับคน
ฉินเหยามาถึงก่อนเวลานัดหมายหนึ่งเค่อ จากนั้นอีกหนึ่งเค่อ หลิวจี้ก็ปรากฏตัวตามเวลาที่ระบุไว้ในจดหมาย ทำให้อารมณ์โกรธที่อยากจะซัดเขาสักหมัดของฉินเหยามลายหายไปไม่น้อย
ทำอะไรก็ต้องเหลือทางรอดไว้บ้าง หลิวจี้เองก็รู้สึกไม่มั่นใจอยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังทำท่าทีหนักแน่นไม่ไหวหวั่น รอบตัวมีผู้คนอยู่มากมาย ตราบเท่าที่เขาไม่ทำพลาดร้ายแรง ฉินเหยาก็คงไม่ลงมือแน่
ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางครั้งนี้ของเขา แม้ไม่มีผลงานใหญ่แต่ก็ลำบากไม่น้อย อย่างไรนางก็ควรจะปฏิบัติต่อเขาอย่างมีน้ำใจสักหน่อย
ค่ารถไปกลับทั้งสองเที่ยว รวมกันเป็นเงินหนึ่งตำลึงสองเฉียน
“กลับถึงบ้านแล้วเราค่อยมาคิดบัญชีกัน!” นางชี้นิ้วไปที่จมูกของหลิวจี้ ทิ้งคำพูดนี้ไว้ก่อนจะเรียกสารถีให้ช่วยขนย้ายเสบียงไปยังรถที่ตนเองนำมา
หลิวจี้รีบปรี่เข้ามาใกล้ เอ่ยว่า “เมียจ๋า เจ้าสบายใจเถิด ข้าจดบัญชีทั้งหมดเอาไว้แล้ว เจ้าสี่ก็ช่วยดูอยู่ด้วย ไม่มีทางผิดพลาดแน่”
หลิวเฝยที่โดนหลิวจี้ปั่นหัวจนมึนมาตลอดทาง ยังพูดกับฉินเหยาอย่างจริงจังว่า “พี่สะใภ้สาม ท่านวางใจเถอะ ข้าจับตาดูพี่สามอยู่ตลอด เขาอย่าคิดจะอมเงินไปได้แม้แต่เหวินเดียว!”
ฉินเหยามองเด็กหนุ่มใสซื่อตรงหน้าอย่างเห็นใจ ก่อนจะตบไหล่เขาเบาๆ แล้วเดินไปขนเสบียงต่อ
หลิวจี้ยืนมองอยู่ด้านข้าง เห็นฉินเหยาสามารถแบกถุงเสบียงขึ้นมาทีเดียวห้าหกถุง ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม “เมียจ๋า โชคดีจริงๆ ที่มีเจ้าอยู่ ถ้าไม่มีเจ้า เส้นทางขากลับข้าคงไม่กล้ากลับมาด้วยซ้ำ!”
“ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ตั้งแต่เข้าสู่เขตอำเภอไคหยาง ผู้คนที่ผ่านไปมาเมื่อเห็นเสบียงของพวกเราล้วนจ้องมองมาด้วยสายตาละโมบราวกับเสือเชียว”
ฉินเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่ได้เอ่ยแขวะการใช้สำนวนแปลกๆ ของเขา แต่กลับถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าไม่ได้พูดเกินจริงใช่หรือไม่”
หลิวจี้ยกมือขึ้นทำท่าสาบาน “ข้าไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าสาบานได้!”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางหลิวเฝย “หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองถามเขาดู”
คราวนี้หลิวเฝยไม่ได้ขัดแย้งกับหลิวจี้ เพราะเขาเองก็รู้สึกถึงสายตาร้อนแรงของผู้คนที่มองเสบียงเหล่านั้นเช่นกัน
แต่เดิมชาวนาส่วนมาก็ล้วนกินไม่อิ่มท้องกันอยู่แล้ว ดังนั้นหากเกิดเหตุไม่คาดฝันเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความหิวโหย
ในช่วงฤดูไถหว่านของทุกปี หลังจากฝ่าฟันฤดูหนาวมาได้ ชาวบ้านจำนวนมากก็มักออกมาหางานรับจ้างชั่วคราวเพื่อหาอาหารประทังชีวิต และผู้ที่ออกมาขอทานก็มีไม่น้อย
ฉินเหยาเคยเห็นคนมาขอทานในหมู่บ้านตระกูลหลิวอยู่หลายครั้ง ส่วนมากจะเป็นช่วงหลังฤดูไถหว่านจนถึงก่อนฤดูเก็บเกี่ยว หากบ้านใดพอมีเสบียงเหลือ ก็อาจแบ่งข้าวหยาบให้ครึ่งชามหรืออย่างน้อยก็แบ่งน้ำให้ดื่มสองสามอึก
ผู้คนในหมู่บ้านตระกูลหลิวล้วนมีความระแวดระวังต่อคนนอกอยู่เสมอ
เพราะเคยมีคนปลอมตัวเป็นขอทานเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อสอดแนมพวกเด็กและสตรี หากเผลอไผลเพียงนิด คนก็อาจจะถูกลักพาตัวไป
พวกเขาต่างรวมกลุ่มกันเป็นครอบครัว สามถึงห้าคนเดินทางไปด้วยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ
บางกลุ่มมีจำนวนมากถึงยี่สิบคน เกือบทั้งหมดมาจากหมู่บ้านเดียวกัน
เมื่อมองเห็นรถบรรทุกเสบียง แววตาที่เคยหม่นหมองก็พลันสว่างวาบขึ้น ต่างอยากก้าวเข้ามาขอทาน
ฉินเหยากวาดตามองอย่างเย็นชา มือจับด้ามดาบไว้แน่น กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้ผู้ที่คิดจะมาขอทานใจสั่นสะท้านขึ้นมาพร้อมกัน
เท้าที่ตั้งใจจะก้าวออกมากลับหดกลับไปตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ทำได้เพียงถอยไปยืนอยู่ริมทาง จ้องมองถุงเสบียงพวกนั้นนิ่ง แต่ไม่กล้าเข้าใกล้
หลังจากเดินทางมาถึงหมู่บ้านเซี่ยเหอ กลุ่มคนที่พาครอบครัวออกมาขอทานก็พลันหายไปแล้ว
หลิวจี้แกว่งต้นหญ้าที่เด็ดมาจากข้างทาง ยิ้มอย่างย่ามใจให้ฉินเหยา เห็นหรือไม่ ว่าข้ามองการณ์ไกลเพียงใด มิฉะนั้นหากต้องรับมือกับฝูงชนเหล่านี้ ข้าคงไม่อาจจัดการได้แน่
ฉินเหยามองเขาแวบหนึ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย นับว่าเจ้ายังพอมีสมองอยู่บ้าง
เสบียงหนึ่งหมื่นหนึ่งพันจิน บรรทุกเต็มเกวียนสิบเล่มได้เคลื่อนเข้าสู่หมู่บ้านตระกูลหลิว ก่อให้เกิดความฮือฮาเล็กน้อย
คิดไม่ถึงเลยว่าฉินเหยาจะกักตุนเสบียงไว้มากถึงเพียงนี้
แต่เมื่อนึกถึงปริมาณอาหารที่นางบริโภคก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมา
กระนั้น เมื่อได้เห็นเสบียงจำนวนมากถึงเพียงนี้ เหล่าชาวบ้านตระกูลหลิวก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ดี
ชาวบ้านที่ตั้งใจจะกักตุนเสบียงแต่ยังลังเล ไม่ได้ลงมือเสียที บัดนี้เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้รับแรงกระตุ้น ต่างพากันเริ่มกักตุนเสบียงตาม
ฉินเหยาเห็นภาพนี้ก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย
การที่พวกเขาคล้อยตามถือเป็นเรื่องที่ดี เมื่อทุกบ้านมีเสบียงสำรอง ทุกคนก็จะปลอดภัย
………………..