ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 216 ทางด่วนในยุคโบราณ
ตอนที่ 216 ทางด่วนในยุคโบราณ
………………..
หลิวต้าฝูเองก็เป็นคนใจร้อน แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ฉินเหยาตอบตกลงแล้วนางย่อมไม่กลับคำ แต่เช้าวันถัดมาก็ยังมารออยู่ที่ปากเข้าหมู่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่
เมื่อเห็นฉินเหยาขับรถม้าพาต้าหลาง จินเป่า และเด็กทั้งห้าคนออกมา เขาก็ตะโกนขึ้นคำหนึ่งทันทีแล้วเร่งรถม้าของตนตามหลังไป
เขายังนำผลไม้สดใหม่ไปส่งให้โรงเตี๊ยมหลายแห่งในตัวอำเภอ ทำงานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นมีฉินเหยาเดินทางไปด้วยกัน บนท้องถนนย่อมปลอดภัยมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ฉินเหยาเพียงแค่ส่งเด็กๆ ไปที่หมู่บ้านเซี่ยเหอ ไม่เคยพบเจอกับชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นที่มาขอทานตามทาง
วันนี้เมื่อนางมาส่งเด็กๆ ถึงเมืองจินสือด้วยตนเองก็เห็นคนขอทานสองสามกลุ่มระหว่างทาง
เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่คล้ายชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงนี้ แต่ทุกคนล้วนมีถุงผ้าที่ปะแล้วปะอีกสะพายติดตัว เป็นเครื่องมือจำเป็นสำหรับการขอทานโดยแท้ คนมีประสบการณ์แค่มองก็รู้ทันทีว่ามาทำสิ่งใด
เมื่อพบรถม้าที่มีคนโดยสาร พวกเขามักจะหลีกทางให้ ต้าหลางบอกว่า ตอนที่สารถีพาพวกเขาไปสำนักศึกษา คนเหล่านี้ไม่เคยขวางรถเลย อาจเป็นเพราะเห็นว่าพวกเขาเป็นเด็กและไม่มีอะไรให้กระมัง
ฉินเหยาส่งเด็กๆ ถึงหน้าสำนักศึกษาตระกูลติง มองดูพวกเขาเดินเข้าสำนักศึกษา จึงค่อยหันรถกลับมายังถนนหลวงไปรวมตัวกับหลิวต้าฝู ทั้งสองมุ่งสู่อำเภอไคหยางด้วยกัน
ยิ่งเข้าใกล้อำเภอไคหยางมากเท่าไหร่ จำนวนคนเร่ร่อนขอทานบนถนนก็ยิ่งมีมากขึ้น ตอนแรกยังพอเข้าใจถ้อยคำที่พวกเขาพูด พอเดาได้ว่าเป็นสำเนียงจากหมู่บ้านหรือเมืองใกล้เคียง
ทว่าเมื่อเดินทางถึงอำเภอไคหยางก็พบผู้คนที่พูดด้วยสำเนียงแปลกถิ่น มีคำกล่าวว่า สิบลี้สำเนียงเปลี่ยน ร้อยลี้ประเพณีต่าง ฉินเหยาจึงฟังคนเหล่านั้นพูดแทบไม่เข้าใจ
ภายใต้สถานการณ์ของแคว้นเซิ่งเช่นนี้ การเกิดประชากรเคลื่อนย้ายจำนวนมากไม่ใช่เรื่องดี
ตามปกติแล้ว ตลอดชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่แทบจะไม่เคยออกจากหมู่บ้านเล็กๆ ของตนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“พวกเขามาจากที่ใดกัน” ฉินเหยาถามอย่างสงสัย
หลิวต้าฝูซึ่งมีประสบการณ์โชกโชน คาดเดาว่า “ฟังจากสำเนียงแล้ว น่าจะมาจากทางเหนือที่ไกลกว่านี้”
นางรู้เพียงว่าบ้านเกิดของเจ้าของร่างเดิมอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อก่อนมีญาติพี่น้องอยู่บ้างและญาติพี่น้องชื่ออะไรบ้าง
สิ่งที่เหลือเลือนรางไปตามกาลเวลาจนจำไม่ได้อีกต่อไป
ส่วนตัวนางเอง เส้นทางที่ไกลที่สุดที่เคยเดินทางก็คือจากหมู่บ้านตระกูลหลิวไปยังอำเภอไคหยาง
นางรับปากหลิวต้าฝูว่าจะช่วยคุ้มกันหลิวลี่ไปยังเมืองหลวงของจังหวัดจื่อจิง ดังนั้นเมื่อถึงตัวอำเภอแล้ว นางจะต้องไปซื้อแผนที่ที่ร้านหนังสือเสียก่อน
จริงสิ เถ้าแก่อู่เคยไปเมืองหลวงของมณฑล หากครานั้นระหว่างทางกลับหมู่บ้านผ่านโรงโม่ที่เมืองจินสือค่อยไปหาเขาเพื่อขอคำปรึกษาจะได้มั่นใจมากขึ้น
ไม่มีระบบนำทางอัจฉริยะอย่างจีพีเอส ฉินเหยาจึงทำได้เพียงแยกแยะทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ และทิศใต้เอาเอง
หลิวต้าฝูเห็นว่านางไม่คุ้นเคยกับโลกภายนอก เขาจึงเล่าให้นางฟังว่าทางเหนือของอำเภอไคหยางมีที่ใดบ้าง พร้อมกับลองหยั่งเชิงว่านางสามารถแยกแยะทิศทางได้จริงหรือไม่
อย่าให้ถึงตอนนั้นแล้วพาหลิวลี่ของบ้านเขาไปลำบากลำบนเข้าเล่า
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาสงสัยของหลิวต้าฝู ฉินเหยาก็เงยหน้ามองฟ้าอย่างอับจนถ้อยคำ แม้จะไม่มีแผนที่แคว้นเซิ่ง แต่นางก็เป็นคนที่สามารถเดินทางในป่าดงดิบได้อย่างอิสระ เขาช่างวิตกจนเกินเหตุจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงหยั่งเชิงกันไปมาเพราะความไม่วางใจไปตลอดทาง ในที่สุดก็เข้าสู่ตัวอำเภอไคหยาง
หลิวต้าฝูนั้นจะไปส่งผักยังโรงเตี๊ยมหลายแห่ง ส่วนฉินเหยาจะไปที่ร้านหนังสือเพื่อซื้อแผนที่ระหว่างรอ ทั้งสองตกลงกันว่าจะไปพบกันที่หน้าที่ว่าการยามบ่าย
ฉินเหยาเหยียบย่างเข้าสู่ประตูใหญ่ของร้านหนังสือเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้นางเคยซื้อเครื่องเขียนจากแผงลอยหน้าร้านหนังสือเท่านั้น
ทันทีที่นางก้าวเข้าไปก็พบว่ามีบัณฑิตอยู่ในร้านประปราย พวกเขาหันขวับมามองนางด้วยความตกตะลึง ราวกับว่าการมีสตรีก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อยิ่งนัก
ฉินเหยาไม่เกรงกลัวสายตาเช่นนี้แต่ไหนแต่ไร ตรงกันข้ามนางกลับจ้องกลับไปตรงๆ ภายใต้สายตาที่มั่นใจและแข็งแกร่งของนาง บัณฑิตหลายคนก็รีบก้มหน้าลงด้วยความลนลาน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนางด้วยความสงสัย ใคร่รู้นักว่านางจะทำสิ่งใด
มุมปากของฉินเหยายกยิ้มบาง นางมิได้เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วร้าน หากแต่ตรงไปที่โต๊ะคิดเงินแล้วเอ่ยถามว่า “มีแผนที่เส้นทางของแคว้นเซิ่งหรือไม่”
เมื่อได้ยินฉินเหยากล่าวว่าจะไปยังเมืองหลวงของมณฑลอย่างจังหวัดจื่อจิง เขาก็ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วบอกให้นางรอสักครู่
จากนั้นภายใต้สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยของฉินเหยา เขาก็หยิบกระดาษกับพู่กันออกมา ฝนหมึกแล้วจรดพู่กันวาดเส้นทางบนกระดาษให้นาง
ฉินเหยามอง ‘แผนที่’ ที่เจ้าของร้านส่งมาให้ซึ่งมีขนาดเพียงสองฝ่ามือ บนนั้นมีเส้นคดเคี้ยวคล้ายงู ตรงกลางเส้นวาดสัญลักษณ์ต้นไม้ จากนั้นก็ใช้วงกลมแทนสถานีพักม้าหลวง วาดไว้ริมสองฝั่งถนน
พูดตามตรง แค่แรกเห็น ฉินเหยาก็รู้สึกได้ถึงความไม่จริงจังแล้ว
แต่เจ้าของร้านกลับชี้ไปที่แผนที่อย่างมั่นใจแล้วบอกนางว่า “หากจะไปยังเมืองหลวงของมณฑลอย่างจังหวัดจื่อจิง จากอำเภอไคหยางให้เดินทางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ตามถนนหลวง ทุกสามสิบลี้จะมีสถานีพักม้า ระหว่างทางจะผ่านสถานีพักม้าสิบสองแห่ง…”
เขาชี้ไปที่วงกลมบนแผนที่ “หากผ่านสถานีพักม้าได้ก็แสดงว่าไม่ได้เดินทางผิด”
“ต้นไม้ตรงนี้คือทางแยกใหญ่ ตรงกลางถนนมีป้ายไม้ชี้ทาง เจ้าเพียงเลือกเส้นทางจินหยางก็ใช้ได้แล้ว…”
เขายังบอกฉินเหยาด้วยว่า สามารถสังเกตเนินดินรูปสี่เหลี่ยมคางหมูริมถนนได้ เนินดินเหล่านี้เรียกว่าโหว แต่ละเนินดินห่างกันห้าลี้ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินว่าเดินทางมาไกลแค่ไหนแล้ว เหลือระยะทางอีกเท่าไหร่ถึงจะถึงสถานีพักม้าแห่งถัดไปเป็นต้น
ฉินเหยาคิดในใจว่า นางได้เรียนรู้อีกแล้ว
สิ่งที่เรียกว่าถนนหลวงก็เทียบเท่ากับทางด่วนในยุคปัจจุบัน สถานีพักม้าหลวงก็เทียบเท่ากับจุดพักรถบนทางด่วน
และระหว่างทางก็จะมีการติดตั้งป้ายบอกทางมากมาย ถนนที่คนและม้าสัญจรบ่อยๆ จะเรียกว่าทางอะไรสักอย่าง หรือถนนอะไรสักอย่าง ส่วนถนนที่ค่อนข้างกว้างจะเรียกว่าคังและจวง ทางแยกเยอะๆ จะเรียกว่าขุย ส่วนทางเล็กๆ จะเรียกว่า จิ้ง ซี หรือ ชง
แม้เจ้าของร้านจะไม่อาจวาดแผนที่ที่มีมาตราส่วนแม่นยำให้ฉินเหยาได้ แต่ตราบใดที่ฉินเหยาเดินทางตามแผนที่ที่เขาวาด นางก็จะสามารถไปถึงจุดหมายได้อย่างแน่นอน
“มีแผนที่บอกทางที่ใหญ่กว่านี้หรือไม่” ฉินเหยาถามด้วยความแปลกใจ
เจ้าของร้านพยักหน้า แน่นอนว่ามี “แต่ราคาสูงมากนะ”
เขาสงสัยว่าฉินเหยาจะซื้อแผนที่ให้สามีที่กำลังจะไปสอบที่เมืองหลวงของมณฑล อีกทั้งเสื้อผ้าของนางนั้นดูแล้วเรียบง่ายมาก เพราะกลัวว่านางจะต้องจ่ายเงินแพงเกินไปจึงเสนอแผนที่ที่เขาวาดให้แทน
แผนที่วาดด้วยมือนั้นราคาย่อมเยา เพียงจ่ายค่ากระดาษกับพู่กันแค่สิบเหวินเท่านั้นก็พอ
อีกทั้งผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะถามทางจากคนที่รู้จักกันอยู่แล้ว น้อยคนนักที่จะตั้งใจมาซื้อแผนที่จากร้านหนังสือ
แต่สิ่งที่ฉินเหยาคิดคือ นางสามารถนำกลับบ้านไปให้เด็กๆ ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ เพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับแคว้นของตนเอง นางรับรู้ถึงความหวังดีของเจ้าของร้าน จึงไม่รังเกียจหากเขาจะได้กำไรมากขึ้นสักหน่อย
“ข้าอยากดูหน่อยได้หรือไม่” ฉินเหยาถามอย่างสุภาพ
เจ้าของร้านถามด้วยความสงสัย “ฮูหยินอ่านออกด้วยหรือ”
ฉินเหยายิ้มบางเบาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
เจ้าของร้านมองนางด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้นแล้วให้นางรอสักครู่ ตนจะไปหาแผนที่มาให้
ขณะค้นหาแผนที่ เจ้าของร้านก็หันกลับมามองฉินเหยาหลายครั้ง ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าดูประหลาดใจแต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก
แผนที่นำทางนั้นเป็นสมุดเล่มหนา เนื่องจากกระดาษแผ่นใหญ่นั้นมีราคาสูงมาก การตัดเป็นแผ่นเล็กๆ จึงคุ้มค่ายิ่งกว่า
อย่างไรก็ตาม แผนที่เล็กๆ ก็วาดสิ่งที่ควรวาดไว้ครบถ้วน ไม่กระทบต่อการดู
ขณะที่ฉินเหยากำลังพลิกดูสมุดแผนที่อย่างระมัดระวัง เจ้าของร้านก็ถามขึ้นมาว่า “ฮูหยินใช่วีรสตรีปราบโจรหรือไม่”
ฉินเหยาช้อนตามองเขาแล้วพยักหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “ข้าแซ่ฉิน ท่านเรียกข้าว่าฉินเหนียงจื่อก็พอแล้ว”
การเรียกนางว่าวีรสตรีนั้นทำให้นางรู้สึกเก้อกระดากอยู่บ้าง